ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่74 มู่เซียวหยาน! ฉันกำลังมีความรัก!
ตอนที่74 มู่เซียวหยาน! ฉันกำลังมีความรัก!
ตั้งแต่แรกเริ่มจวบจนตอนนี้ สีหน้าการแสดงออกของหลี่ถงซียังคงเรียบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน
เธอเอาแต่จับจ้องไปยังชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินที่เคยซื้อให้อย่างตั้งอกตั้งใจ เขาดูหล่อมากเลย
คำพูดของฉีเล่ยที่ดุนักศึกษาเหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู ที่ว่า ‘เศษเงินต่อเดือนที่ได้มาจากกระเป๋าพวกคุณ มันน้อยจนผมไม่เห็นค่ามันด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่อยากมากสอนล้วนมาจากจรรยาบรรณและเจตจำนงของตัวผมเอง’ ประโยคดังกล่าวเปรียบเสมือนคมมีดที่ทิ่มแทงทะลุขั้วหัวใจ
หลี่ถงซีรู้สึกอย่างกับว่ามีบางอย่างได้กระทบหัวใจของเธอโดยตรง
มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างมาก
ฉีเล่ยรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่า มีคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่จากนอกห้องเรียน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร ตราบใดที่มีใครก็ตามเข้าใกล้ในรัศมี50เมตร ต่อให้อีกฝ่ายจะตีนเบาแค่ไหนหรือกลั้นหายใจ เขาก็จะรู้ตัวทันที
ฉีเล่ยหันศีรษะส่งยิ้มให้หลี่ถงซีที่แอบมองอยู่ด้านนอกเล็กน้อย ก่อนจะหันมากล่าวกับนักศึกษาว่า
“ตอนนี้ผมจะให้โอกาสพวกคุณได้เลือกเอง จงจำเอาไว้นะครับว่า พวกคุณมีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าเลือกที่จะให้ความร่วมมือกับผม ผมเองก็จะตั้งใจสอนพวกคุณอย่างสุดความสามารถ แต่หากเลือกที่จะออกจากห้องเรียน ก็อย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก ต่อให้ในอนาคตพวกคุณกลับตัวกลับใจแล้วก็ตาม หรือยังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก ผมจะไล่พวกคุณออกไปทันที”
“ทักษะทางการแพทย์ของผมมันไม่ใช่ของราคาถูกพอที่จะขอร้องให้พวกคุณต้องเรียน ผมต้องการแค่คนที่มาด้วยใจจริงเท่านั้น”
ทุกคนนั่งเงียบไม่มีใครต้องการเดินจากห้องเรียนไปสักคน
ทันใดนั้นนักศึกษาหนุ้มคนนั้นก็กวาดสายตามองไปโดยรอบและตะโกนขึ้นว่า
“มีใครอยากออกไปพร้อมฉันบ้าง! ไปเดินห้างกัน! เดี๋ยวฉันเลี้ยงสเต็กพวกนาย!”
ในอดีต เขามักจะชอบตะโกนชวนเพื่อนๆ โดดเรียนอยู่เป็นประจำ และทุกครั้งก็จะมีพวกเพื่อนๆ ร่วมชั้นพยักหน้าตอบด้วยความดีอกดีใจ ท้ายที่สุดแล้ว มีนักศึกษาไม่มากนักที่มีฐานะมากพอจะกินสเต็กร้านหรูได้ ทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะได้กินของแพงๆ
อย่างไรก็ตามแต่…ครั้งนี้เขาจำต้องผิดหวัง เพราะไม่มีใครตอบรับเขาเลยสักคน
นักศึกษาชายคนนั้นได้ค้นพบสิ่งที่ตนเองหวาดกลัวที่สุดแล้ว นั้นคือการถูกทอดทิ้งจากเพื่อนร่วมชั้น
ทว่าเขาไม่แม้แต่เลือกที่จะโทษตัวเองด้วยซ้ำ กลับหันหน้าจ้องตาฉีเล่ยเขม็งและกรนเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า
“ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น คอยดูได้เลย!”
“เชิญ”
ฉีเล่ยคลี่ยิ้มให้เป็นคำตอบและเดินออกไปเปิดประตูห้องเรียนให้
“เชิญออกครับ”
นักศึกษาหนุ่มคนนั้นเอื้อมมือไปดึงแขนแฟนสาวอย่างแรงด้วยความโกรธจัด เขาต้องการออกจากที่บ้าๆ แห่งนี้ไปพร้อมกับเธอ ทว่าสุดท้ายกลับถูกแฟนสาวสะบัดมืออย่างแรงพร้อมตะคอกใส่ว่า
“ฉันไม่ไป! ฉันยังอยากเรียน! ถ้าอยากออกก็ออกไปคนเดียวเถอะ!”
“ได้! ได้! ได้เลย! พวกมึงทั้งหมดคอยดูเถอะ!”
นี่เป็นครั้งแรกของนักศึกษาหนุ่มคนนี้ที่ถูกแฟนสาวปฏิเสธ เขาลุกขึ้นยืนพร้อมชี้หน้าด่าทุกคนด้วยถ้อยคำหยาบคาย พลางรู้สึกเสียดายเงินไม่น้อยที่ผ่านมาต้องเสียเพื่อเลี้ยงสุนัขไม่เชื่องแบบนี้
“พล่ามเสร็จรึยังวะ! รีบๆ ไสหัวออกไป! คนอื่นเขาจะเรียนกัน!”
นักศึกษาหนุ่มร่างกำยำทรงสกินเฮดที่เอ่ยปากท้าทายอาจารย์ฉีเล่ยก่อนหน้า ตอนนี้กลับแปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายเดียวกับฉีเล่ยโดยสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้เขามีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับสิวที่ขึ้นเยอะเป็นพิเศษ จนสุดท้ายได้อาจารย์ฉีเล่ยช่วยวินิจฉัยและบอกว่า เกิดจากการทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ พร้อมเขียนใบสั่งยาให้เสร็จสรรพ
นักศึกษาหนุ่มคนนี้ชี้หน้าใส่นักศึกษาหนุ่มร่างกำยำทรงสกินเฮด แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเจออีกฝ่ายถกแขนเสื้อเบ่งกล้ามใส่ก็ถึงกับผวารีบวิ่งจากออกไปด้วยความโมโห
หลังจากที่อีกฝ่ายได้จากออกไปแล้ว ฉีเล่ยก็ปิดประตูห้องและเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า
“มีใครอยากจะออกอีกไหม? ถ้าไม่…นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกคุณคือลูกศิษย์ของผม และผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตอันสดในของพวกคุณทุกคน”
“อาจารย์ ผมไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ ต่อให้โดนอาจารย์กระทืบจนตาย!”
“ใช่แล้วครับ! ไม่ใช่ว่าสมองพวกเรามีแต่ศักศรีไร้สาระ พวกเราพยายามอย่างหนักตลอดสามปีที่ผ่านมาในช่วงมอปลาย ทั้งหมดก็เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ดังนั้นใครบ้างไม่อยากเรียนทักษะและประสบการณ์จากแพทย์ที่มีฝีมือจริงๆ แบบอาจารย์!”
“เอ่ออ…อาจารย์ค่ะ อาจารย์ไม่เพียงแค่เก่ง…แต่ยังหล่อมากอีกด้วย หนูขอแค่ได้เจอหน้าอาจารย์ทุกวันก็มีความสุขแล้วค่ะ อิอิ”
“….”
ฉีเล่ยที่ได้ยินว่า หลายคนอยากเรียนรู้ทักษะและฝีมือของเขายังพอทำเนา แต่จะมาเรียนเพราะอยากเจอหน้าเขาแบบนี้มันแปลกๆ อยู่นะ เขาส่ายหัวพลางยิ้มขื่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้และกล่าวว่า
“ก็อย่างที่บอกไป ยังออกไปตอนนี้ทันนะ เพราะเกณฑ์การวัดคะแนนของผมค่อนข้างโหด ถ้าใครทำคะแนนปลายภาคเรียนได้ไม่ถึง90%ขึ้นไป ผมก็จะไล่พวกคุณออกไปอยู่ดี”
“เอ่อ…”
“อาจารย์ ไม่โหดเกินไปหน่อยเหรอครับ?”
“โหอาจารย์! ละเว้นผมสักคนได้ไหม? ทั้งชีวิตผมยังไม่เคยทำคะแนนได้เกิน90%มาก่อนเลย!”
ท่ามกลางเสียงประท้วงของบรรดานักศึกษา ฉีเล่ยเคาะกระดาษดำเสียงดังสนั่นคลาส ก่อนตวาดน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นว่า
“เงียบ! สำหรับเรื่องนี้ไม่มีผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น! ผมก็เลยถามพวกคุณก่อนยังไงว่า จะเลือกทางไหน!”
“สิ่งที่พวกคุณกำลังเรียนอยู่ในขณะนี้คือการแพทย์แผนจีน!”
ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า
“คนเรียนสายคำนวณถ้าตอบผิดก็ยังแก้คำตอบได้ คนเรียนสายศิลปะ ถ้าโครงร่างไม่สมบูรณ์ยังเปลี่ยนเฟรมวาดใหม่ได้ หรือแม้แต่คนเรียนด้านเทคโนโลยี เขียนโค้ดผิดก็ยังปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์ได้ แต่พวกคุณทุกคนกำลังเรียนการแพทย์! ถ้าพวกคุณวินิจฉัยอาการผิดพลาดและสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าให้ผู้ป่วย และหากเกิดพวกเขาตายขึ้นมาจะทำยังไง! มันใช่เรื่องที่ย้อนกลับไปแก้ไขหรือเริ่มใหม่ได้งั้นเหรอ?!”
“ไม่ครับ/ไม่ค่ะ!”
บรรดานักศึกษาประสานเสียงตอบโดยพร้อมเพรียง
“ก็ดีที่ยังรู้”
ฉีเล่ยพยักหน้าและกล่าวขึ้นต่อว่า
“โยนหนังสือเรียนพวกนี้ทิ้งไปให้หมด แล้ววันหน้าก็ไม่จำเป็นต้องแบกพวกมันมาให้หนักกระเป๋าอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สิ่งที่พวกคุณทุกคนจะได้เรียนรู้ต่อจากนี้คือ แก่นแท้แห่งศาสตร์แพทย์แผนจีน!”
ปัง!
นักศึกษาทุกคนพร้อมใจกันโยนหนังสือเล่นบนโต๊ะทิ้งไปทันที และหยิบสมุดจดบันทึกของตัวเองขึ้นมาเตรียมจดสิ่งที่ฉีเล่ยกำลังจะสอนต่อจากนี้
แค่คาบแรกกับอาจารย์คนนี้ มันก็น่าตื่นเต้นเกินจะหักห้ามแล้ว
หลังจากเสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ฉีเล่ยก็เก็บหนังสือที่นำมาจากออกไปโดยตรง
“นี่เธอ~ อาจารย์ฉีโคตรหล่อเลยอ่ะ แถมยังดูแมนเกินร้อย ฉันไม่มีทางทำคะแนนสอบต่ำกว่า90%แน่! แต่…ฉันไม่มั่นใจเท่าไหร่เลยว่าจะทำได้… เราควรทำยังไงกันดี?”
นักศึกษาสาวคนหนึ่งคว้าแขนเสื้อของนักศึกษาสาวร่วมโต๊ะข้างๆ กันทันและกรีดร้องลั่นด้วยความงองแง
“หยุดบ่นได้แล้วน่า! อาจารย์ฉีเขาหล่อจริงๆนั่นแหละ เฮ้ออ…ผู้ชายแบบนี้ไม่เหลือถึงมือพวกเราหรอก”
นักศึกษาสาวสาวอีกคนจากโต๊ะข้างๆ กล่าวตอบ
“นี่พี่เซิง พี่คิดว่าโห่วเจียนจะทำอะไรอาจารย์ฉีไหมหลังจากนี้? พวกเราต้องระวังหมอนั่นให้ดี ต่อไปมันอาจทำเรื่องที่คาดไม่ถึงกับอาจารย์ฉีก็ได้นะ!”
ทันใดนั้นนักศึกษาสาวสามคนนั้นก็วิ่งขึ้นมาตรงแถวเรียนที่นักศึกษาหนุ่มร่างกำยำทรงสกินเฮดนั่งอยู่
ชายหนุ่มร่างกำยำทรงผมสกิลเฮดคนนี้มีชื่อว่า จินเซิง เขาส่ายหัวและตอบว่า
“เออ ก็ลองดูสิ ถ้าหมอนั่นกล้า ฉันนี่แหละจะเป็นคนหักขามันให้พิการเลยคอยดู!”
พอเห็นผู้หญิงกลุ่มนั้นในคลาสทำหน้าเงาะแงะออดอ้อนพล่ามถึงความรักที่มีต่ออาจารย์ฉี เหอจื่อก็ปั้นหน้ารังเกียจและลุกขึ้นเดินจากห้องเรียนออกไปโดยตรง
หลังจากเดินจากอาคารเรียนมาแล้ว เหอจื่อก็เดินไปนั่งพักบริเวณม้านั่งริมสระบัว เธอนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสีครามอยู่สักครู่ เหมือนว่าคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบหยิบมือถือในกระเป๋าเสื้อออกมาและกดโทรออกทันที
คล้อยหลังโทรติด เธอก็ตะโกนใส่มือถือขึ้นคำแรกทันทีว่า
“มู่เซียวหยาน! ฉันกำลังมีความรัก! นี่มันรักแรกพบชัดๆ เลย!”
ผู้หญิงที่อยู่ปลายสายผงะทันทีด้วยความตกใจและตะคอกสวนกลับไปทันทีเจือน้ำเสียงโมโหว่า
“ไอ้เด็กคนนี้! ใครสั่งสอนให้เรียกแม่ตัวเองด้วยชื่อจริงกันห๊ะ!? ถ้ายังกล้าเรียกฉันด้วยชื่อนี้อีกล่ะก็ เชื่อไหมว่าแกไม่ได้ค่าขนมเดือนนี้แน่นอน!”
“ไม่ ไม่ ไม่ ที่ผ่านมาไหนบอกให้แม่ด้วยชื่อจริงไม่ใช่รึไง?”
เหอจื่อเบะปากใส่พลางเป่าลูกโปร่งหมากฝรั่งเล่น
แม่และพ่อของเหอจื่อตกหลุมรักกันตั้งแต่ยังวัยรุ่น และตั้งท้องก่อนแต่งงานเสียอีก แม่ของเธอให้กำเนิดเหอจื่อตอนอายุแค่19ปี เวลาทั้งสองคนนี้ไปไหนมาไหน มันไม่เหมือนคู่แม่ลูกสักเท่าไหร่ แต่เหมือนพี่สาวพาน้องสาวออกมาเดินเล่นมากกว่า
เมื่อเหอจื่อโตขึ้นมาประมาณหนึ่ง เวลามู่เซียวหยานพาลูกสาวออกไปเดินเล่น เธอมักจะกำชับกับเหอจื่อล่วงหน้าตลอดว่า ให้เรียกเธอว่า ‘พี่สาว’ ไม่ก็ ‘พี่มู่’ แต่ห้ามเรียกว่า ‘แม่’ เด็ดขาด
เหอจื่อไม่พอใจอย่างมากก็เลยเลือกที่จะเรียกชื่อจริงของแม่มาโดยตลอดตั้งแต่นั้น ซึ่งแม่ลูกคู่นี้ก็มักจะทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ทว่าเหอจื่อยังคงหัวรั้นไม่เปลี่ยนใจ
จะว่าก็เป็นครอบครัวที่แปลกมาก