ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่92 ถอนตัว
ตอนที่92 ถอนตัว
เมื่อฉีเล่ยเดินออกมาถึงสี่แยกนอกมหาวิทยาลัย เขาก็พบรถ BMW ของหลี่ถงซีจอดรออยู่ก่อนแล้ว
การที่ฉีเล่ยขอให้หลี่ถงซีมารอเขาอยู่ที่นี่ เดิมทีก็เพื่อหลบหลีกสายตาของคนอื่นๆ ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของหญิงสาว แต่ฉีเล่ยกลับลืมไปว่า หลี่ถงซีนั้นเป็นคนที่ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน
อีกทั้งสถานที่นัดหมายก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัยไปมากนัก สองข้างทางยังเป็นถนนใหญ่ ตลอดถนนสายนั้นก็มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายหนังสือ และร้านขายของอื่นๆเรียงรายอยู่เต็มไปหมด รวมถึงป้ายรถประจำทางด้วย บรรดานักศึกษาล้วนแล้วแต่ต้องออกมาเดิน และออกกันอยู่ในบริเวณนี้กันทั้งนั้น เมื่อสังเกตเห็นว่า รถ BMW ของหลี่ถงซีจอดอยู่ ทุกคนต่างก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างของตนเอง และรีบหันไปมองกันเป็นตาเดียว
หลี่ถงซีขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์สาวที่โด่งดังในหมู่อาจารย์ด้วยกัน และเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัย อีกทั้งข่าวร้อนแรงของเธอก็เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน จึงยิ่งได้รับความสนใจมากเข้าไปอีก แม้ว่าจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกคนต่างก็จับจ้องมองอย่างไม่ให้คลาดสายตา หลี่ถงซีซึ่งจอดรถรออยู่ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ ‘เรื่องอื้อฉาว’ ขึ้นมาได้ทันที
กระทั่งฉีเล่ยเองที่กำลังเดินตรงไปที่รถ ยังถึงกับขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว!
นั่นเพราะทุกคนในบริเวณนั้น ต่างก็จ้องมองการเขาอยู่แทบทุกฝีก้าว และเวลานี้ เขาก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกและความเจ็บปวดของเหล่าคนดัง ที่ต้องถูกผู้คนจับตามองอยู่ทุกย่างก้าว
ทันทีที่เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ฉีเล่ยก็รีบเอ่ยถามหญิงสาวทันที “คุณอึดอัดใจมากไหม?”
“ไม่หนิ”
หลี่ถงซีส่ายหน้าไปมา พร้อมกับยื่นมือออกไปสตาร์ทรถทันที
ความจริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะต้องรอฉีเล่ยแล้วล่ะก็ เธอคงจะเหยียบคันเร่งหนีออกไปจากตรงนี้ตั้งนานแล้ว เธอไม่ใช่คนโง่ มีหรือที่จะไม่รู้ว่ากำลังถูกคนรอบข้างจับตามอง และแน่นอนว่า เธอรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจอย่างมากที่ต้องตกเป็นป้าสายตาแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้น หลี่ถงซีก็ไม่ต้องการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกไป เธอจึงได้แต่พยายามสะกดอารมณ์ที่แท้จริง และความรู้สึกที่ไม่สบายใจนั้นไว้
และเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ฉีเล่ยจะออกมา จะได้กลับบ้านกันเสียที!
แต่จะว่าไป นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยในอดีต!
นี่ฉันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆเหรอ?
ระหว่างที่ขับรถออกไป หลี่ถงซีก็ได้แต่นึกใคร่ครวญอยู่ภายในใจไปด้วย
วันนี้หลี่ฮั่วเฉินกลับจากที่ทำงานแต่เช้า และตอนนี้ก็กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สวนหน้าบ้าน โดยมีเฉินกวงเลขาของเขายืนอยู่ข้างๆด้วย
วันแรกที่ฉีเล่ยมาถึงปักกิ่ง เขาก็ได้พบกับเฉินกวงเป็นคนแรก และเฉินกวงเป็นคนขับรถไปรับเขาที่สนามบิน และเมื่อได้เห็นฉีเล่ยอีกครั้ง เฉินกวงก็รีบทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีครับคุณฉี กลับมาแล้วเหรอครับ! ผมได้ยินว่าคุณเข้าไปทำงานในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ฉีเล่ยเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยกมือขึ้นตบไหล่เฉินกวงเบาๆ ฉีเล่ยรู้สึกถูกชะตากับชายหนุ่มคนนี้ไม่น้อย แม้จะเคยพบเจอกันเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม
เฉินกวงหัวเราะออกมา แต่เมื่อหันไปเห็นหลี่ถงซีเข้า เขาก็ถึงกับหัวเราะค้าง ก่อนจะร้องทักทายหญิงสาวตะกุกตะกัก
”คะ.. คุณหนูหลี่.. กะ.. กลับมาแล้วเหรอครับ?”
“อืมม” หลี่ถงซีตอบกลับห้วนๆด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย
“อาวุโสหลี่ ทำไมวันนี้ถึงได้กลับเร็วนักล่ะครับ?” ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
ปกติหลี่ฮั่วเฉินจะมีงานยุ่งมาก เพราะนอกจากต้องคอยบริหารดูแลมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแล้ว ก็ยังต้องดูแลโรงพยาบาลในเครือควบคู่กันไปด้วย ที่ผ่านมา ฉีเล่ยกลับถึงบ้านแล้ว แต่ชายชรายังคงทำงานอยู่เลย
ฉีเล่ยสังเกตเห็นว่า สีหน้าของหลี่ฮั่วเฉินวันนี้ไม่สู้ดีนัก และดูเหมือนกับคนที่กำลังฝืนยิ้มเสียมากกว่า
ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
คนอย่างผู้เฒ่าหลี่มักจะไม่ยอมแสดงความรู้สึกทุกข์ใจออกมาทางสีหน้า เขาสามารถเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภายในก้นบึ้งของหัวใจได้อย่างแนบเนียน จนยากที่จะหาใครจะสังเกตเห็นได้ แต่เมื่อใดที่เขาไม่สามารถเก็บซ่อนมันไว้ได้ นั่นย่อมหมายความว่า ปัญหาที่เผชิญอยู่นั้นต้องใหญ่โตไม่น้อยทีเดียว
แต่ดูเหมือนหลี่ฮั่วเฉินพยายามที่จะเก็บงำซ่อนเร้นไว้เท่าที่จะสามารถทำได้ ด้วยการพูดกลบเกลื่อนว่า
“ฮ่าๆๆ ฉันก็แค่กำลังคิดเรื่องภายในครอบครัวเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง เธอเองก็เหมือนกันฉีเล่ย ควรต้องวางแผนให้ดีตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น เมื่อถึงวัยแก่ตัว ก็จะได้ไม่ต้องทำงานหนักให้ลำบากอีก สามารถหยิบเงินทองที่เก็บสะสมไว้มาใช้ได้”
เมื่อเห็นว่าชายชรายังคงเลี่ยงไม่ยอมพูด ฉีเล่ยจึงต้องถามออกไปตรงๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”
มือข้างที่ถือบัวรดน้ำอยู่ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ในที่สุดชายชราก็ถอนหายใจออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ เธอนี่ช่างสังเกตจริงๆเลยนะ!”
จากนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็วางบัวรดน้ำไว้ที่แปลงดอกไม้ แล้วจึงหันไปพูดกับฉีเล่ยว่า “วันนี้ผู้บริหารระดับสูงมาพบฉัน พวกเขาขอให้ฉันถอนตัวจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ล่วงหน้า”
“ถอนตัวเหรอครับ?” ฉีเล่ยถามย้ำพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหาก่อน ก่อนจะพูดต่อว่า
“ก็ดีเหมือนกันนี่ครับ ลดตำแหน่งไปสักตำแหน่งสองตำแหน่ง อาวุโสก็จะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น”
“มันก็จริง! แต่ตำแหน่งของฉันก็สามารถยกให้ตาแก่หลินได้นี่ หรือถ้าเขาไม่เต็มใจอยากจะรับ ก็ยังมีคนอื่นๆที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แต่จำเพาะเจาะจงจะต้องมาเป็นหูหวงฉันกับเขาไม่ค่อยจะถูกกันนัก!”
“หูหวงจะมารับตำแหน่งต่อเหรอครับ?”
ฉีเล่ยร้องถามออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เท่าที่เขารู้มา หูหวงไม่ใช่คนดีอะไรนัก และดูเหมือนที่ผ่านมาก็จะคอยสร้างปัญหาให้กับหลี่ฮั่วเฉินไม่น้อย ฉะนั้น เรื่องที่หลี่ฮั่วเฉินถูกร้องขอให้ออกจากตำแหน่งเร็วขึ้นนั้น บอกยากว่าหูหวงจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่?
“ผู้บริหารระดับสูงที่มาคุยกับฉัน พวกเขาได้เปรยให้ฟังว่า จะให้หูหวงมารับตำแหน่งแทน ความจริงพวกเขามาคุยเรื่องนี้กับฉันหลายรอบแล้ว แต่ฉันยังนิ่งเฉยไม่ทำอะไร เพราะไม่ต้องการยกตำแหน่งให้กับหูหวงและคนพวกนั้น แต่ครั้งนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหูหวงไปทำยังไง ท่าทีของคนพวกนั้นจึงเปลี่ยนจากการปรึกษาเป็นยื่นคำขาดแทน”
“แล้วความสามารถทางการแพทย์ของหูหวงเป็นยังไงบ้างครับ?” ฉีเล่ยถามขึ้น
หลี่ฮั่วเฉินส่ายหน้าไปมา “ก็ไม่ได้เก่งมากมายอะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตำแหน่งที่ฉันดำรงอยู่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะทางการแพทย์ที่สูงส่งอะไร เน้นเรื่องการบริหารจัดการ แต่ปัญหาคือเขาไม่ใช่คนดีอะไรนัก นายเองก็เคยเห็นแล้ว!”
“แล้วไม่สามารถคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้เขาขึ้นมาแทนปู่ได้เลยเหรอคะ?”
หลี่ถงซีพูดขัดจังหวะขึ้นมา ในระหว่างที่ฉีเล่ยกับหลี่ฮั่วเฉินกำลังสนทนากันอยู่นั้น หญิงสาวยังคงไม่ได้เดินเข้าไปภายในบ้าน แต่ได้ยืนหลบอยู่ข้างๆ ฟังทั้งคู่พูดคุยกัน
หลี่ฮั่วเฉินส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า “คงจะไม่ได้ เพราะดูเหมือนผู้บริหารระดับสูงจะตัดสินใจไปแล้ว อีกอย่างโรงพยาบาลนี้ก็ไม่ใช่โรงพยาบาลเล็กๆ แต่เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง การจะแต่งตั้งคนใหม่มาแทนปู่ ก็ต้องผ่านการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขลงมา ปู่ทำได้เพียงแค่แนะนำคนที่เหมาะสมเท่านั้น แต่คนพวกนั้นก็คงจะไม่รับฟังปู่แน่!”
ฉีเล่ยถามขึ้นทันที “หูหวงคงอยากจะใช้โรงพยาบาลหาเงินมากสินะครับ?”
“ใช่!”
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นอาวุโสก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ความชั่วร้ายของคนเราถูกปกปิดไว้ได้ไม่นานนักหรอกครับ มนุษย์เรายากที่จะปกปิดความชั่วร้ายของตัวเองไว้ได้ตลอด แล้วเมื่อไหร่ที่พบจุดอ่อนของเขา ก็ค่อยใช้มันดึงเขาให้ลงจากตำแหน่ง”
ความทะเยอทะยานผิดๆ มักมีระยะเวลาสั้น ชัยชนะที่ได้มาจากวิธีการที่ไม่ถูกต้องย่อมไม่ยั่งยืน หากใครต้องการชัยชนะที่ยืนยาว ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยคุณธรรมนำทั้งสิ้น
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น!”
หลี่ฮั่วเฉินดูเหมือนจะหนักอกหนักใจกับเรื่องนี้มาก และได้บอกกับฉีเล่ยว่า “หูหวงเป็นคนที่ทำอะไรค่อนข้างระมัดระวังตัวมาก ใครๆต่างก็รู้ว่าเบื้องหลังของเขาไม่ได้สะอาดสะอ้านอะไร แต่ก็ไม่มีใครมีหลักฐานที่จะสามารถเอาผิดเขาได้เลย”
ฉีเล่ยได้แต่ปลอบชายชรากลับไปว่า “คนทำชั่ว สวรรค์ย่อมจับตามอง อย่ากังวลใจไปดีกว่าครับ!”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ได้ขึ้นไปพักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปช่วยฝังเข็มให้กับหลี่ถงซีต่อ
หลังจากทำการฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็จัดการเก็บกล่องเข็มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฝังเข็มอีกสักสองครั้ง เส้นลมปราณและตับของคุณก็น่าจะกลับสู่สภาพปกติแล้วล่ะ หลังจากนั้นก็รักษาต่อด้วยยาสมุนไพรจีน”
หลี่ถงซีปิดเสื้อนอนลงตามเดิม พร้อมกับถามฉีเล่ยน้ำน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่จำเป็นต้องฝังเข็มอีกแล้วเหรอ?”
ภายในใจของหญิงสาวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ดื่มชา..” หลี่ถงซีร้องบอกฉีเล่ยที่กำลังลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง
“อะไรนะ?” ฉีเล่ยหันหลังกลับไปถามด้วยความไม่เข้าใจ เพราะหญิงสาวพูดห้วนๆสั้นๆ จนเขาไม่ต้องการว่าเธอต้องการอะไรกันแน่
“มาดื่มชากันก่อน อย่าเพิ่งรีบไป”
หลี่ถงซีร้องบอกฉีเล่ยอีกครั้ง จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความเขินอาย หญิงสาวรู้ดีว่า ในบรรยากาศที่ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันสองต่อสองแบบนี้ การขอให้เขาอยู่ต่อจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควร
เมื่อคิดได้ว่าไม่ควร หญิงสาวก็เกิดอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ
“ได้สิ ดื่มชาก็ดื่มชา” ฉีเล่ยใช้เวลาคิดแค่เดี๋ยวเดียว ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
หลี่ถงซีดูเงอะๆงะๆขณะชงชา เพราะเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับมันนัก ไม่ได้ชงชาดื่มเองบ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าท่าทางที่ดูตั้งอกตั้งใจของหญิงสาว และความสวยของเธอ ก็สามารถชดเชยทักษะการชงชาที่ไม่ช่ำชองนั้นได้สนิท
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ไปนั่งดื่มชากันอยู่ที่ระเบียงด้านนอกด้วยกัน
ฉีเล่ยรู้ดีว่า หากไม่มีความจำเป็น หลี่ถงซีก็แทบจะไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อนเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาจึงต้องเป็นผู้เปิดบทสนทนาขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก
“คุณเห็นโพสต์ในเวปไซต์ของทางมหาวิทยาลัยบ้างไหม?”
“เห็นแล้ว!” หลี่ถงซีพยักหน้าตอบ พร้อมกับยกกาน้ำชาเทเติมลงไปในถ้วยชาของฉีเล่ย