ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่93 แม่ป่วยเหรอ?
ตอนที่93 แม่ป่วยเหรอ?
เมื่อได้เห็นสีหน้าที่เฉยเมยของหลี่ถงซีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีเล่ยก็ไม่มั่นใจว่า เป็นเพราะหญิงสาวไม่ใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ หรือเป็นเพราะเธอมีอาการป่วยทางจิตที่นานเกินไป จนส่งผลให้หญิงสาวไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่เป็นอยู่ออกมาทางสีหน้าได้
“ผมว่าพวกเราควรจะจัดการสะสางปัญหาเรื่องนี้ให้ชัดเจนซะที?”
“ทำยังไง?”
“ก็ประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่า ความจริงพวกเราสองคนเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน แล้วก็บอกความจริงทั้งหมดให้ทุกคนได้รู้”
ฉีเล่ยเอ่ยแนะนำหญิงสาวต่อว่า “หลังจากความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย คนที่ไปเที่ยวพูดเรื่องอาจารย์คบหากับลูกศิษย์ ก็จะได้หยุดพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องกันซะที เรื่องอื้อฉาวบ้าๆนี่ก็จะได้จบลง!”
“แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?” หลี่ถงซีเงยหน้าขึ้นถามฉีเล่ยทันที
“ก็ถ้าไม่อธิบายความจริงให้ทุกคนเข้าใจ เรื่องนี้ก็ต้องส่งผลกระทบถึงชื่อเสียงของคุณไม่ใช่เหรอ?”
“ก่อนเรื่องนี้พวกเขาก็ว่าฉันเย็นชาเป็นน้ำแข็ง แต่ตอนนี้ก็ว่าฉันคบหากับลูกศิษย์ทำเรื่องผิดศีลธรรม เดี๋ยวหมดเรื่องนี้ไป ก็มีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก” หลี่ถงซีตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“…..” ฉีเล่ยได้แต่นิ่งเงียบไม่สามารถโต้เถียงได้
เพราะไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องมีคนพูดเพ้อเจ้อไร้สาระไม่หยุดอยู่ดี อยู่นิ่งๆไม่มีเรื่องอื้อฉาว คนก็มองว่าผิดปกติ แต่พอมีเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา คนก็มองว่าผิดปกติอีก หลังจากแก้ข่าวเรื่องนี้ ข่าวใหม่ก็จะเกิดขึ้นตามอีก หากมัวแต่ตามแก้ข่าวไร้สาระ ชีวิตก็คงจะมีแต่เรื่องวุ่นวายมากทีเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงเปลี่ยนเรื่องคุย เขาหันไปถามหลี่ถงซีเรื่องอื่นแทน “คุณรู้จักหลินชูวโม่ไหม?”
ในที่สุดใบหน้าของหลี่ถงซีก็กลับมามีอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับย้อนถามชีเล่ยกลับไปแทน “ทำไม? นายรู้จักเธองั้นเหรอ?”
“ก็ไม่เชิง วันนี้ผมบังเอิญไปเดินชนเธอเข้าน่ะสิ… แต่ก็ชนเข้าแค่ครั้งเดียว”
“ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเธอใช่ไหม?” หลี่ถงซีร้องถามขึ้นทันที
“ทำไมถามแบบนั้น?” ฉีเล่ยอยากจะรู้คำตอบมาก
“ก็… เธอไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไรนัก”
“ไม่ดียังไง?”
“เอ่อ…”
“คุณไม่กล้าพูดงั้นเหรอ?”
“…”
เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวที่อายไม่กล้าจะพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา ฉีเล่ยก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า จิตใจของหญิงสาวมีการกระเพื่อมไหว ไม่ได้แน่นิ่งเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งนั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อาการของหญิงสาวค่อยๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
หากกดดันมากไปก็จะกลายเป็นการต่อต้าน ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นภายในใจของหลี่ถงซีนั้น ยังคงโอนเอนไม่มั่นคง หากปล่อยให้ความไว้วางใจนี้ถูกทำลายลง แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่ออาการเจ็บป่วยทางใจของเธอ อาจทำให้อาการป่วยของหญิงสาวกำเริบขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้ และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ความพยายามที่ผ่านมาของทั้งเขาและเธอ ก็จะกลายเป็นการสูญเปล่า
…….………..…
คลาสเรียนในบ่ายวันศุกร์
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อน ฉีเล่ยจึงได้เตรียมตัวเตรียมใจไปก่อนจะเดินเข้าห้องสอน แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเดินเข้าไปข้างใน ก็ทำให้เขาอดที่จะตกใจอีกครั้งไม่ได้
นั่นเพราะภายในห้องเรียนขนาดใหญ่นั้น ไม่เพียงอัดแน่นไปด้วยผู้คน แต่เมื่อมองไปรอบๆ ฉีเล่ยยังพบว่า หลายคนถึงกับยกเก้าอี้เข้ามาเอง เพราะเก้าอี้ในห้องนั้นนั่งกันเต็มจนไม่มีเหลือ
โห่วเจียนได้ย้ายคลาสเรียนไปแล้ว เขาหายไปหนึ่งคน แต่กลับมีนักศึกษาใหม่เข้ามาเพิ่มอีกว่าสองร้อยคนแทน…
และเวลานี้ ภายในคลาสเรียนก็มีนักศึกษาเพิ่มจากจำนวนเดิมถึงสามเท่าตัว
ฉีเล่ยก้าวขึ้นไปบนเวทีด้านหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาแก้เก้อ ก่อนจะร้องบอกกับนักศึกษาทุกคนในห้องว่า “ถ้าพวกคุณต้องการจะเข้ามาฟังการบรรยาย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ว่าพวกคุณจะมาจากสายไหน ทุกคนต่างก็จ่ายค่าเล่าเรียนให้กับทางมหาวิทยาลัยไปแล้ว เพราะฉะนั้น พวกคุณทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ามานั่งฟังการบรรยายของผม”
ฉีเล่ยหยุดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ถ้าพวกคุณมาที่ห้องนี้ เพื่อที่จะมานั่งดูผม ผมคงต้องขออนุญาตเก็บเงินเพิ่ม ความหล่อของผมควรจะต้องมีมูลค่าบ้างไม่ใช่เหรอ? ใช่ว่าจะมาขอดูกันฟรีๆได้!”
“ฮ่าๆๆๆ”
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับอารมณ์ขันของฉีเล่ย
บรรยากาศในคลาสเรียนเป็นไปอย่างผ่อนคลายสบายๆ และนั่นยิ่ทำให้ฉีเล่ยกลายเป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักศึกษา บางคนถึงกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปของเขาที่ยืนสอนอยู่บนเวทีไว้
ฉีเล่ยยกมือขึ้นโบกไล่ พร้อมกับพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงได้กลายเป็นที่นิยมชื่นชอบของนักศึกษา แต่ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ สิ่งแรกที่ผมต้องทำในฐานะครูก็คือการสอน เพราะฉะนั้น ใครที่เข้ามาในห้องเพียงแค่ต้องการจะมาดูผม ขอเชิญออกจากคลาสเรียนของผมได้แล้ว และสามารถกลับมาใหม่ได้หลังจบคลาส!”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของเหล่านักศึกษาดังขึ้นอีกระลอก
“อาจารย์ฉีคะ อาจารย์ใช่เด็กหนุ่มในรูปที่ลือกันว่าเป็นแฟนของอาจารย์หลี่ป่าวคะ? หนูดูรูปที่โพสอยู่ในกระทู้ของทางเวปไซต์ เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าเมือนอาจารย์มากเลยค่ะ!” นักศึกษาสาวคนหนึ่งร้องตะโกนถามออกมา
เหอจื่อที่นั่งอยู่แถวแรกตามเคย ได้แต่จ้องมองใบหน้าของฉีเล่ยแน่นิ่ง และเธอก็กำลังรอคอยคำตอบของอาจารย์หนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ เวลานี้ มือทั้งสองข้างของเธอกำชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ใช่!”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับส่ายหน้า “ผมกับอาจารย์หลี่ไม่ใช่แฟนกัน อาจจะสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนปกติ แต่ไม่ใช่คนรักอย่างแน่นอน!”
“ผมไม่เชื่อหรอกอาจารย์! ที่ผู้หญิงกับผู้ชายจะเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท แต่ไม่ใช่คู่รัก ยุคนี้ ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายยังมีมิตรภาพที่บริสุทธิ์แบบนั้นเหลืออยู่เหรอครับ?” นักศึกษาหนุ่มด้านล่างเริ่มส่งเสียงก่อนกวนอย่างซุกซน
ฉีเล่ยฟังแล้วได้แต่ตอบกลับไปว่า “นี่นายเองก็มีเพื่อนผู้หญิงตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ? แล้วนายต้องมีอะไรกับเพื่อนผู้หญิงของนายทุกคนรึเปล่า? อีกอย่าง ถ้าระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายมีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ไม่ได้อย่างที่นายพูด แล้วถ้านายต้องตกหลุมรักเพื่อนนักศึกษาหญิงในคลาสทุกคน นายไม่ต้องกลายเป็นคนไร้ศีลธรรมไปแล้วเหรอ?”
“เอ่อ..” นักศึกษาหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้เถียงฉีเล่ยได้
ฉีเล่ยพูดต่อทันที “อ่อ แล้วเรื่องข่าวลือที่ทุกคนกำลังสงสัย ผมอยากให้พวกคุณเลิกสนใจ แล้วก็เลิกยุ่งได้แล้ว! พวกคุณลองคิดดู ถ้าอาจารย์หลี่เป็นแฟนผมจริงๆ ผู้หญิงสวยขนาดนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ยอมรับว่าเธอเป็นแฟน ถ้าข่าวลือนั่นเป็นความจริง และที่สำคัญ ผมก็ไม่ใช่คนชั่วช้าที่จะไม่ยอมรับ แล้วปล่อยให้ผู้หญิงต้องเผชิญกับข่าวลือบ้าๆนั่นตามลำพัง แล้วถ้าผมไม่กล้าแม้แต่จะออกมายอมรับเพื่อปกป้องแฟนตัวเอง ผมก็สมควรที่จะเป็นผู้ชายหน้าตัวเมียไร้ความรับผิดชอบสินะ?”
แปะๆๆๆ
เสียงปรบมือของบรรดานักศึกษาสาวดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้อง นั่นเพราะคำพูดของฉีเล่ยได้ทำให้พวกเธอประทับใจเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ฉี ไหนๆอาจารย์ก็โสดอยู่ มาเป็นแฟนกับหนูมั๊ยคะ?” นักศึกษาสาวใจกล้าคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
ต่อหน้าอาจารย์หนุ่มๆ นักศึกษาสาวมักจะชอบฉวยโอกาสพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้ แต่ถ้าคุณจริงจัง นักศึกษาสาวเหล่านั้นก็จะรีบถอยหนีทันที
“เดี๋ยวๆ นั่นเธออายุเท่าไหร่กัน?”
ฉีเล่ยสังเกตเห็นว่า นักศึกษาสาวใจกล้านั้นไม่ได้อยู่ในคลาสของเขาตั้งแต่แรก น่าจะเป็นนักศึกษาจากคณะอื่นมานั่งฟังบรรยายด้วยเท่านั้นเอง
“อะไรคะอาจารย์ หนูโตแล้วนะ!” นักศึกษาสาวร้องตะโกนตอบหลินหนาน พร้อมกับลุกขึ้นยืนแอ่นอกอย่างท้าทาย
เท่านั้นล่ะ เสียงกรีดร้อง และเสียงผิวปากก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง
ฉีเล่ยถึงกับต้องหันไปตบกระดานด้านหลังเสียงดัง พร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า “เอาล่ะๆ สนุกสนานกันพอแล้ว ผมขอบอกกับทุกคนอีกครั้งว่า ผมไม่ใช่แฟนของอาจารย์หลี่ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองยังโสดนะครับ! เอาล่ะ เริ่มเข้าสู่บทเรียนกันได้แล้วทุกคน ส่วนใครที่มาดูเอามันส์ก็เชิญออกจากห้องได้แล้ว การแสดงจบลงแล้ว!”
แต่กลับไม่มีนักศึกษาคนไหนเดินออกเลยแม้แต่คนเดียว
ฉีเล่ยรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ นี่ถ้าต่อไปยังมีนักศึกษาเข้ามาฟังบรรยายมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ต้องไปใช้ห้องประชุมในการสอนเลยเหรอ?
คลาสหลักสูตรการสอนวินิจฉัยโรคในบ่ายวันศุกร์นี้ จบลงในสองคาบสุดท้ายของช่วงบ่าย ฉีเล่ยจึงสามารถเดินไปรอหลี่ถงซีเพื่อกลับบ้านพร้อมกันได้
แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะเดินออกจากคลาสนั้น เหอจื่อก็รีบลุกขึ้นวิ่งตามไปทันที
“อาจารย์ฉี!!” หญิงสาวร้องตะโกนเรียกจากด้านหลัง
ฉีเล่ยหันหลังกลับไปพร้อมกับร้องถามว่า “มีอะไรเหรอ?”
หญิงสาวคนนี้มีความรู้ในเรื่องการแพทย์แผนจีนค่อนข้างสูงเป็นพิเศษ ด้วยพรสวรรค์ของเหอจื่อในด้านนี้ ฉีเล่ยจึงตั้งใจที่จะส่งเสริมให้เธอเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเธอเอง ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องเสียดายเป็นอย่างมาก
อีกทั้งที่ผ่านมา แม้เหอจื่อจะถูกเขาดุซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมย่อท้อ ดูเหมือนเธอจะรัก และหลงไหลในการแพทย์แผยจีนอย่างมากทีเดียว
“อาจารย์ฉี คืนนี้อาจารย์ว่างป่าวคะ?”
เหอจื่อยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นรูปพระจันทร์ยิ้ม ที่แก้มขาวนวลทั้งสองข้างปรากฏลักยิ้มบุ๋มให้เห็นอย่างชัดเจน
ฉีเล่ยร้องถามด้วยความตกใจ “นี่แม่เธอป่วยงั้นเหรอ?”
“……”
แม่ป่วยๆ อะไรก็แม่ป่วยอยู่นั่นล่ะ? แม่ใครจะป่วยได้ทุกวัน!
เหอจื่อได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่ปากก็ร้องตอบฉีเล่ยไปว่า “ไม่ค่ะอาจารย์ฉี แม่ของหนูสบายดี!”
“อ้าว งั้นมีเรื่องอะไร?”
“คืออย่างนี้ค่ะอาจารย์ วันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนในคลาสที่ชื่อว่าจ้าวหยวนหยวน เธอได้จองห้องคาราโอเกะไว้ แล้วก็เชิญเพื่อนๆไปร่วมเกือบหมด เธออยากให้อาจารย์ได้ไปสนุกผ่อนคลายบ้าง..”
ปกติแล้ว นักศึกษามักจะไม่ชวนอาจารย์ไปร่วมงานวันเกิดนัก เพราะพวกเธอยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว อาจารย์อาจจะไปสร้างความอึดอัดให้กับงาน ทำให้งานกร่อยได้
แต่ฉีเล่ยนั้นก็ไม่ได้อายุมากจนถึงขั้นแก่กว่านักศึกษามากเท่าไหร่ อีกทั้งยังได้รับความนิยมชมชอบจากนักศึกษาในคลาสมาก การได้รับเชิญจากนักศึกษาให้ไปร่วมงานฉลองวันเกิดด้วย เขาในฐานะอาจารย์ จึงรู้สึกว่านี่เป็นการบ่งบอกถึงการเป็นที่ยอมรับของตนเองในหมู่นักศึกษา