ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 121 เทพสงครามของพวกเขากลับมาแล้ว
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 121 เทพสงครามของพวกเขากลับมาแล้ว
สีหน้าเขาดูมืดมนและเย็นชา มองไปทางกู้โม่เฟิง ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเย็นชา “พี่สามต้องให้ข้ามาเชิญด้วยหรือ?”
กู้โม่เฟิงสั่งให้องครักษ์อีกคนหนึ่งลากองครักษ์อยู่ในสภาพใกล้ตายออกมา และตามเขาออกจากกระโจมด้วยเสียงอันเย็นชา
วิธีอันเด็ดขาดในการทำสิ่งต่าง ๆ ของหนานหว่านเยียนทำให้รองแม่ทัพกวนรู้สึกตื่นเต้น
คิดมิถึงว่าพระชายาอี้ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออันย่ำแย่ จะกลับกลายเป็นสตรีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ นางเป็นผู้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและรอบรู้ นางเหมาะสมกับท่านอ๋องของพวกเขาจริงๆ !
กู้โม่หานและคนอื่น ๆ มอบกระโจมนั้นกับหนานหว่านเยียนเพื่อใช้ในการรักษา จากนั้นเขาก็สั่งให้ทหารรูปร่างกำยำแข็งแกร่งเฉลียวฉลาดสองสามคนเข้าไปข้างใน ให้พวกเขาร่วมมือกับหนานหว่านเยียนอย่างเต็มที่
กู้โม่หานหันหลังให้ มือกำกระบี่ยาวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาแข็งทื่อ
ถึงเวลาชำระบัญชีแล้ว!
สายตาของเขามองไปทางทหารที่อยู่ด้านหลังกู้โม่เฟิง ท้ายที่สุดดวงตาของเขาก็จับจ้องยังใบหน้าของกู้โม่เฟิง “ผู้ใดทำร้ายเหล่าเสิ่นกับพรรคพวกทั้งสามคน?! จงก้าวออกมา!”
เหล่าทหารที่อยู่เบื้องหลังกู้โม่เฟิงมิกล้าที่จะหายใจแรง แต่อาศัยอำนาจของกู้โม่เฟิงในการปกป้องพวกเขา จึงมิมีใครก้าวออกมายอมรับความผิด
รองแม่ทัพกวน เดินเข้ามาหากู้โม่หานด้วยความโมโหพร้อมใบหน้าอันเคร่งขรึม
“ทูลท่านอ๋อง เป็นรองแม่ทัพอวี๋และผู้บังคับบัญชาของเขา ภายใต้คำสั่งของอ๋องเฉิงพ่ะย่ะค่ะ!”
กู้โม่หานยิ้มอย่างเย็นชา นกที่โดดเด่นจะถูกยิง จังหวะพอดีทีเดียว เขาต้องการให้กู้โม่เฟิงได้ลิ้มรสอันแสนเจ็บปวดนี้ด้วย!
“ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? จงไปลากตัวมันมาให้ข้า!”
กู้โม่เฟิงมิยินยอม เขาชี้หน้าของรองแม่ทัพกวนอย่างเย่อหยิ่งและดูถูก “รองแม่ทัพกวน ข้าขอเตือนให้เจ้าระมัดระวังคำพูดของเจ้าเสีย มิฉะนั้น…… ”
กู้โม่หานเอ่ยขึ้นขัดจังหวะอย่างเย็นชาว่า “มิเช่นนั้นจะเป็นเช่นไร? ทหาร! ทำตามกฎค่ายทหาร! ลากตัวรองแม่ทัพอวี๋และคนเหล่านั้นมาโบยร้อยไม้! หากพวกเจ้าปล่อยให้พวกเขาเดินออกจากสนามฝึกนี้ได้ ข้าจะเอาเรื่องพวกเจ้า!”
เขาทนมิได้อีกต่อไป ครั้งนี้กู้โม่เฟิงนับว่าสะกิดต่อมเขาเข้าอย่างจัง
จู่ๆ ใบหน้าของกู้โม่เฟิงก็เปลี่ยนเป็นสีดำราวเหากถ่าน เขากล่าวกับกู้โม่หานอย่างเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธว่า “กู้โม่หาน หากเจ้ากล้าแตะต้องคนของข้า ข้าจะมิมีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
“ก็เพียงแค่การฝึกธรรมดาเท่านั้น คนของเจ้าทักษะย่ำแย่ กระบี่มิมีตาเมื่ออยู่ในสนามรบ ดังนั้นการบาดเจ็บจึงเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้ากลับมิมีเหตุผลและใช้อำนาจของเจ้าในทางที่ผิด!”
ยิ่งกู้โม่หานหยิ่งผยองมากเท่าไร กู้โม่เฟิงก็จะยิ่งทำให้เขารู้สึกย่ำแย่มากขึ้นเท่านั้น!
“เรื่องปกติ?” กู้โม่หานโกรธมาก กระบี่ในมือของเขาชี้ไปทางกู้โม่เฟิง “กู้โม่เฟิง ข้าคิดถึงความเป็นพี่น้องของเรา ดังนั้นเจ้าใช้โอกาสกดดันข้า สะกัดขาข้า ทว่าเรื่องเหล่านี้ข้าล้วนมิเคยเอ่ยติดใจเอาความเจ้า!”
“เหล่าเสิ่นและพรรคพวก คนใดบ้างที่มิได้ผ่านความเป็นความตายเพื่อซีเหย่? พวกเขาเป็นทหารที่ยืนหยัดเพื่อปกป้องประเทศของเรามิใช่หรือ?!”
“กู้โม่เฟิง เจ้ามิสนใจต่อความปลอดภัยของอาณาจักร เจ้าทำร้ายเสียจนพวกเขามีสภาพเช่นนี้ ซ้ำยังมีหน้ามาเอ่ยวาจาเช่นนี้อีก! ข้าว่าจิตใจเจ้านั้นช่างโหดเหี้ยมต่ำช้าไร้เยียวยา!”
กู้โม่หานเอ่ยอย่างลึกล้ำ น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง ทุกประโยคเต็มไปด้วยความเคารพและความห่วงใยเพื่อนทหารทุกนาย
เขามองไปรอบๆ ชำเลืองมองเหล่าทหารที่น้ำตาซึม ก่อนเอ่ยอย่างเฉียบขาดว่า “ข้า ในนามของกู้โม่หานเทพสงครามแห่งแคว้นซีเหย่! ในฐานะผู้บัญชาการค่ายเสินเชื่อข้าขอออกคำสั่ง!”
“รองแม่ทัพกวน จงไปนำตัวทหารไร้ยางอายเหล่านั้นมาหาข้า!”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทุกคนก็ดูกระตือรือร้น
พวกเขากัดฟันด้วยดวงตาแดงก่ำ ราวกับว่าในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยก็มาถึง
กู้โม่หาน เสมือนมังกรกระหายเลือด เปล่งวิญญาณอันน่าเกรงขามและความสง่างามออกมา
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง!” รองแม่ทัพกวนซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้า เขาเรียกทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาเพื่อกุมตัวรองแม่ทัพอวี๋และคนอื่นๆ ของกู้โม่เฟิง
อ๋องเฉิงหาเรื่องกับตังเอง หลายปีที่ผ่านมานี้เขาก่อเรื่องโดยมิเกรงกลัวผู้ใด กู้โม่หานแสร้งทำเป็นเมินเฉย ท้ายที่สุดแล้วหากกู้โม่เฟิงมิได้กระทำอย่างเกินเหตุเกินควร เขาก็ได้แต่เพิกเฉย
แต่วันนี้การกระทำของกู้โม่เฟิงเกินควรแล้ว ทำให้กู้โม่หานโกรธอย่างยิ่ง
ท่านอ๋องของพวกเขายังคงเป็นเทพสงครามที่พร้อมบุกน้ำลุยไฟไปทุกแห่งหน!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ผู้สนับสนุนกู้โม่หานทั้งหลายก็เชิดหน้าขึ้นสูงแล้วก้าวไปข้างหน้าพร้อมกระบองอาวุธ
รองแม่ทัพอวี๋ตื่นตระหนก หันไปขอความช่วยเหลือจากกู้โม่เฟิง “อ๋องเฉิง! โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเฉิง!”
ยังมิทันพูดจบ กู้โม่หานก็คว้ากระบองทุบเข้าที่หน้าอกของรองแม่ทัพอวี๋อย่างจัง “ปัง!”
“ช่วยเจ้า? ใครจะช่วยเจ้าได้! ตอนที่เจ้ากับเหล่าเสิ่นออกไปต่อสู้พร้อมกัน ตอนที่พวกเจ้าลอบทำร้ายพวกเขา เจ้าคิดสิ่งใดอยู่?”
รองแม่ทัพอวี๋ร้องออกมาโหยหวน ทันทีหลังจากนั้น ไม้กระบองอีกอันก็ฟาดลงมาที่ร่างของเขา “สถานการณ์ปัจจุบันของเหล่าเสิ่นเป็นอย่างไรเจ้ารู้หรือไม่! อวี๋เฉิง เจ้าฆ่าฟันพวกเดียวกันเอง เจ้าควรรู้ว่าจะจบลงเช่นวันนี้!”
ไม้สุดท้ายที่ฟาดลงไป กู้โม่หานใช้กำลังเต็มที่ ตีไปยังขาของเขา “พลั่ก!” “ค่ายเสินเชื่อนี้มิมีคนใจร้ายโหดเหี้ยมเช่นเจ้า!”
แม้ว่ารองแม่ทัพอวี๋จะเป็นผู้ฝึกกังฟู แต่เมื่อถูกผู้ทรงพลังอย่างกู้โม่หานฟาดลงมาที่ร่างกาย เขาก็มิสามารถทนไหว หลังจากเสียงกรีดร้องโหยหวน เขาก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก
ขาทั้งสองข้างหักงอเนื่องจากถูกกู้โม่หานฟาดอย่างโหดเหี้ยม เผยให้เห็นกระดูกสีขาวอันน่าสะพรึงกลัว
รองแม่ทัพอวี๋ร้องเสียงหลงแล้วสลบไปทันที!
รองแม่ทัพกวนดีใจแทบยกมือขึ้นปาดน้ำตา!
อ๋องอี้สนับสนุนพวกเขา!
ในที่สุดค่ายทหารที่ถูกกดดันมานานถึง 5 ปีก็กำลังจะเปลี่ยนไป!
กู้โม่หานเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยเมย เขาหันศีรษะไปส่งกระบองไป ให้รองแม่ทัพกวน “ไปจัดการต่อจากนี้แทนข้า! หากมิถึงร้อยไม้ จงอย่าได้หยุด!”
ความเยือกเย็นรอบตัวเขากำลังครอบคลุมไปทั่วค่าย
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง!” รองแม่ทัพกวนรับกระบองทหารไปและเหวี่ยงมันใส่รองแม่ทัพอวี๋ที่หมดสติโดยมิลังเล
ทหารอีกหลายนายผลัดกันลงโทษตัวการที่สร้างเรื่องและทำร้ายเพื่อนทหารของพวกเขา
กู้โม่เฟิงโกรธและคำรามด้วยความโมโห “หยุด! พวกเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่!”
คาดมิถึงว่ามิใช่แค่มิมีใครหยุด แต่ทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเมื่อครู่ กลับย้ายไปยืนข้างกู้โม่หาน
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นที่ขุ่นเคืองเนื่องจากกู้โม่หานเป็นคนเลือดร้อน พวกเขามิได้เชื่อฟังกู้โม่เฟิงจากใจจริง
แต่วันนี้กู้โม่หานปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ความรักและความชอบธรรมของเขาทำให้พวกเขาพากันหันมองด้วยความชื่นชม เชื่อมั่นในตัวกู้โม่หานอย่างสมบูรณ์!
แน่นอนว่าพวกเขาต้องกลับไปอยู่ฝั่งของกู้โม่หานอีกครั้ง!
ดวงตาของกู้โม่เฟิงเป็นสีแดงเรื่อ เมื่อเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาถูกทุบตีอย่างมิมีชิ้นดี ทั้งผู้คนที่อยู่รอบตัวเขายังถูกคนของกู้โม่หานปราบปรามจนพวกเขามิกล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงโมโหขึ้นทันที
“กู้โม่หาน! เจ้าช่างหยิ่งยโสยิ่งนัก! ข้าจะฟ้องเสด็จพ่อว่าเจ้าใช้วิธีลงโทษตามอำเภอใจ!”
“เหล่าทหารถูกเจ้าทุบตีเสียจนมิมีชิ้นดี! เจ้ารอการสอบสวนจากท่านพ่อเถอะ!”
เขาต้องการทำให้ชีวิตของกู้โม่หานเลวร้ายยิ่งกว่าตายทั้งเป็น เรื่องนี้จะชักช้ามิได้!
กู้โม่หานยิ้มอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อของเขา จากนั้นปลายกระบี่ก็พุ่งสู่ท้องฟ้า
“กู้โม่เฟิง หากเจ้ามีความกล้าพอก็จงไป ข้าจะไปกับเจ้าเอง เช่นนั้นมาดูกันว่าผู้ใดมีเหตุผลมากกว่ากันเมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ?!”
กู้โม่เฟิงหน้าเขียวหน้าเหลืองด้วยความโกรธ เขากัดฟันกรอด “ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ข้ามิคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถเช่นนี้!”
ดวงตาของกู้โม่หานนั้นน่ากลัวมาก
“หากเจ้ามิบีบบังคับข้า ข้าคงมิเป็นเช่นนี้!”
กู้โม่เฟิงมิได้รับประโยชน์ ทั้งยังถูกกู้โม่หานกดดันกลับมาจนเกือบจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโมโห
ช่วงนี้ชื่อเสียงของหนานหว่านเยียนดีขึ้นทุกวัน เมื่อนางกลับบ้านเกิดหลังจากมิได้กลับมาห้าปี ยังได้รับการดูแลจากไทเฮา ร่วมกับกู้โม่หานสร้างชื่อเสียงเกินเขา
ในราชสำนัก ยังมีพวกโง่เง่ามากมายที่เอ่ยชื่นชมหนานฉีซานและกู้โม่หาน!
เมื่อเขาหงุดหงิด จึงต้องการเดินทางมาที่ค่ายทหารเพื่อจับผิดกู้โม่หาน
ตอนแรกเขาคิดว่ากู้โม่หานรักสันโดษมิชอบระรานผู้ใด แต่ใครจะรู้ว่ากู้โม่หานจะก้าวร้าวเช่นวันนี้ กดดันทหารของเขาได้อย่างสมบูรณ์!
กู้โม่เฟิงราวกับยกก้อนหินขึ้นใส่ขาตนเอง ความรู้สึกย่ำแย่นี้เขาสัมผัสได้อย่างถ่องแท้
เขารู้ว่ามิมีประโยชน์ที่จะอยู่ในค่ายเสินเชื่ออีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงโบกมือสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความโมโห ตะโกนใส่กู้โม่หานว่า “กู้โม่หาน เจ้าจงตั้งตารอไว้ให้ดี! ข้าจะเข้าวังบัดเดี๋ยวนี้!”