ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 153 หนานหว่านเยียนตามข้าเข้าวัง
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 153 หนานหว่านเยียนตามข้าเข้าวัง
เซียงเหลียนเข้ามาในเรือนเซียงหลินด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นหนานหว่านเยียนหยอกล้อเล่นกับลูกทั้งสองอยู่ในลาน แม่ลูกสามคนหัวเราะกันอยู่อย่างอ่อนโยน
ภาพที่ดูมีความสุขนั้น ทำให้เซียงเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงตอนที่ตนเองกับเซียงอวี้อยู่ด้วยกันตอนเด็ก
นางถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็พูดกับหนานหว่านเยียนอย่างเคารพว่า “พระชายา ท่านอ๋องมีรับสั่งว่า เย็นนี้จะมาทานข้าวพร้อมท่านกับพวกคุณหนูที่เรือนเซียงหลิน”
“กู้โม่หานจะมา?”
ได้ยินแบบนี้ หนานหว่านเยียนเลิกคิ้ว สายตาฉายแววแปลกประหลาด
เขาจะมาทำไม?
ดวงตาของนางเคลื่อนไหว คิ้วขมวดแน่น ระแวดระวังขึ้นมา
หรือกู้โม่หานยังไม่หยุด ยังคิดที่จะมาวุ่นวายกับพวกลูกสาวของนาง?
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่กลัว
ยังไงกู้โม่หานก็ทำอะไรไม่ได้
คิดได้แบบนี้ หนานหว่านเยียนค่อยวางใจ
นางกอดซาลาเปาแนบอกไว้แน่น ปลายคางสัมผัสบนหัวซาลาเปาอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นก็ให้เขามา แค่ทานข้าวเอง”
ซาลาเปาเคลื่อนไหวอยู่ในอ้อมอกของหนานหว่านเยียน ดวงตากลมโตกะพริบไหว พร้อมพูดขึ้นอย่างไร้เดียงสาว่า “ท่านแม่ คืนนี้ลุงชั่วร้ายจะมาหรือ?”
เกี๊ยวน้อยที่อยู่ด้านข้างก็หูผึ่งขึ้นมา ได้ยินว่ากู้โม่หานจะมา ถึงสีหน้าจะไม่พอใจ แต่ในใจกลับค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ
“เชอะ งั้นข้าจะไม่นั่งใกล้เขา ข้าจะนั่งกับท่านแม่”
หนานหว่านเยียนหัวเราะ โลกของเด็กๆนั้นช่างน่ารักบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจริงๆ
นางลูบแก้มเกี๊ยวน้อยอย่างรักใคร่ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนรักว่า “ได้ พวกเจ้าล้วนนั่งใกล้แม่ แม่กอดคนหนึ่งด้วยมือซ้ายและอีกคนหนึ่งด้วยมือขวา ให้เขานั่งตรงข้ามดีไหม?”
เกี๊ยวน้อยยิ้มหัวเราะอย่าอ่อนหวาน เอียงหัวมองดูหนานหว่านเยียน พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ ท่านแม่ดีที่สุดเลย”
ซาลาเปาก็พยักหัว ยื่นมือน้อยอ้วนท้วนไปหาเกี๊ยวน้อย
เกี๊ยวน้อยรีบคว้าจับไว้ แล้วหันมาพูดกับหนานหว่านเยียนว่า “ท่านแม่ พวกเราอยากไปเล่นตรงเรือนด้านหลังกับพี่เซียงอวี้ ได้ไหมคะ?”
หนานหว่านเยียนยิ้มหัวเราะ วางหนานหว่านเยียนไว้บนพื้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ไปสิ พาล่าปู๋ล่าไปด้วยนะ”
สองพี่น้องกระโดดโลดเต้นไปหาล่าปู๋ล่า เซียงอวี้วิ่งตามหลัง พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกคุณหนูช้าหน่อย อย่าหกล้มกันนะ”
หนานหว่านเยียนจ้องมองดูเงาร่างสองพี่น้องหายลับไป แล้วยกแขนเรียวขึ้นมาเท้าคางอย่างครุ่นคิด
ยาเม็ดแห่งความจริงที่เหลือของนางนั้น ช่วงนี้คงไม่ได้ใช้แล้ว
แต่ว่าก็ดี นางก็ไม่อยากให้โอกาสหยุนอี่ว์โหรวอีก
ในเมื่อจะตบหน้านังชาเขียว งั้นก็ต้องตบอย่างสุดแรง ให้นางไม่มีทางเอาคืนถึงจะสะใจ
ไม่อย่างนั้น ต่อให้ป้อนยาให้นางกิน หากนางสามารถรอดไปได้เหมือนอย่างวันนี้อีก ก็จะไม่มีความหมายอะไรแล้ว
หนานหว่านเยียนคิดไปคิดมาแล้วก็หาวขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “เซียงเหลียน อีกนานแค่ไหนจะถึงเวลาทานข้าวเย็น?”
“เรียนพระชายา น่าจะอีกประมาณสองชั่วยาม”
หนานหว่านเยียนยกมือกุมปาก ฟุบนอนหลับตาอยู่บนโต๊ะ พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นยังมีเวลา หลังจากธูปครึ่งดอกค่อยปลุกข้านะ ข้าค่อยไปเตรียมอาหารเย็น”
พูดเสร็จ นางก็ไม่ให้เซียงเหลียนได้มีโอกาสพูด แล้วก็นอนหลับไปเสียแบบนี้แล้ว
เซียงเหลียนก็จนใจ อากาศไม่ร้อนไม่หนาว เป็นช่วงเวลาที่อาจเป็นหวัดได้ง่ายมาก
ช่างเถอะ ไปหาผ้าคลุมมาสักผืนดีกว่า
……
เวลานี้ กู้โม่หานก็กลับมายังจวนอ๋องแล้ว
เมื่อกี้ตอนอยู่ระหว่างทาง เขาครุ่นคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็คิดออกว่าจะทำยังให้สองพี่น้องไม่หวาดกลัว และสามารถทำให้พวกนางยอมอ้าปากให้กับตนเอง
กู้โม่หานค่อนข้างภาคภูมิใจ มุมปากกระตุกยิ้มขึ้นมา ในใจก็ผ่อนคลาย
เวลานี้ พ่อบ้านกาวเดินมาบอกว่า “ท่านอ๋อง”
ได้ยินเสียงเรียก กู้โม่หานตื่นตัวขึ้นมาเหมือนอย่างถูกไฟช็อต ใบหน้ากลับมาเย็นชาเหมือนอย่างปกติ
กู้โม่หานยืนเอามือไพล่หลัง พร้อมถามขึ้นว่า “มีอะไร?”
พ่อบ้านกาวโค้งคำนับ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มว่า “บ่าวมาถามแทนพระชายารองหยุนว่า นางคิดถึงท่านแล้ว คืนนี้จะค้างที่เรือนจู๋หลานไหม?”
ไปเรือนจู๋หลาน?
กู้โม่หานขมวดคิ้ว อ้าปากขึ้นมา แต่สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ข้าไปถามด้วยตนเอง”
เขาเคยรับปากนางว่าจะร่วมนอนกับนาง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกค่อนข้างปฏิเสธอย่างบอกไม่ถูก
กู้โม่หานรู้สึกผิด แต่ตอนนี้เรื่องลูกสาวสำคัญกว่าทุกสิ่ง ต้องให้อี่ว์โหรวอดทนอีกหน่อยแล้วแหละ
นางน่าจะเข้าใจ
กู้โม่หานสะบัดแขนเสื้อ กำลังจะไปเรือนจู๋หลาน ก็มองเห็นบ่าวใช้คนหนึ่งรีบมารายงานอย่างเร่งรีบว่า “ท่านอ๋อง ในวังส่งคนมา”
“ในวัง?”
กู้โม่หานกับพ่อบ้านกาวต่างหรี่ตาลง เวลานี้ ในวังจะมีใครมา?
เพิ่งพูดเสร็จ กู้โม่หานเงยหน้าขึ้น ก็เห็นด้านหลังบ่าวใช้มีคนคนหนึ่งตามมา
เป็นหลี่หมัวมัวประจำตัวไทเฮา
หลี่หมัวมัวถวายความเคารพกู้โม่หาน พร้อมพูดขึ้นว่า “บ่าวถวายความเคารพท่านอ๋อง บ่าวมาตามรับสั่งของไทเฮา”
“ไทเฮาเหนียงเหนียงมีรับสั่งให้ท่านกับพระชายา เข้าวังไปเข้าเฝ้า”
กู้โม่หานหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “ตอนนี้? ขอถามหลี่หมัวมัวว่า มีเรื่องอะไรหรือถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?”
ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกับนานหว่านเยียน และก็ไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถเดือดร้อนไปถึงไทเฮา
หลี่หมัวมัวมองดูกู้โม่หานอย่างยิ้มแย้ม บนใบหน้าชรานั้นยากที่จะมองเห็นถึงความดีร้าย
“ท่านอ๋องเข้าวังไปก็จะรู้เอง แต่ว่าตอนนี้ ท่านอ๋องพาบ่าวไปหาพระชายาก่อนไหม?”
ข่าวเล่าข่าวลือในจวนอ๋องอี้นี้เป็นที่ร่ำลือออกไปไวมาก
เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงไม่กี่วันมานี้ ไทเฮาก็รู้เรื่องพอสมควรแล้ว
และครั้งนี้ที่ตามอ๋องอี้สองสามีภรรยาเข้าวัง ก็เพราะอยากเห็นด้วยตาตนเองว่าหนานหว่านเยียนสบายดีไหม
กู้โม่หานรู้ว่าฝ่าฝนคำสั่งไม่ได้ จึงพาหลี่หมัวมัวมายังเรือนเซียงหลินด้วยสีหน้าเย็นชา
มาถึงหน้าประตูเรือน กู้โม่หานคิดขึ้นมาได้ว่ายังมีลูกสาวสองคนอยู่ด้วย สายตาเขาสั่นไหว จู่ๆก็ยื่นมือขวางหน้าหลี่หมัวมัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไปตามเอง”
“ยังไงก็เป็นพระชายาของข้า”
เด็กสองคนนั้นเป็นลูกสาวของเขาแน่ เพียงผลทดสอบออกมา เขาก็จะประกาศให้โลกรู้ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกสาวสองคน ให้พวกนางได้มีหน้ามีตา ไม่ใช่ปิดซ่อนตัวพร้อมแบกรับคำด่าว่าเป็นลูกนอกคอก
ดังนั้นตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะให้หลี่หมัวมัวรู้มากไป
พูดเสร็จ เขาสั่งให้อวี๋เฟิงเปิดประตู
อวี๋เฟิงเพียงเปิดแง้มอย่างเข้าใจ กู้โม่หานรีบก้าวเข้าไป
หลี่หมัวมัวยังไม่ทันชะเง้อดู อวี๋เฟิงก็ปิดประตูแล้ว
“หมัวมัวกรุณารอด้านนอกเรือนสักครู่”
ภายในเรือนเซียงหลิน ซ่อนบรรพบุรุษน้อยสองคนไว้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมพระชายาถึงไม่ยอมให้คนอื่นรู้ว่ามีพวกนางอยู่ แต่ยังไงก็ระวังไว้จะดีกว่า
ถึงหลี่หมัวมัวจะสงสัย แต่ยังไงนางก็เป็นคนในวัง เรียนรู้ที่จะปกปิดความรู้สึก จึงก็ไม่พูดอะไรมาก
กู้โม่หานเข้าไปในเรือน ก็เห็นหนานหว่านเยียนฟุบนอนอยู่บนโต๊ะใต้ต้นฮวาย
ขนตาของนางงอนยาว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ กำลังงีบหลับอยู่
เขากระตุกคิ้ว เดินไปผลักหัวของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องนานแล้ว รีบเตรียมตัวเข้าวังไปกับข้า”
หนานหว่านเยียนตกใจตื่น ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “ธูปครึ่งดอกไวขนาดนี้เลยหรือ?”
นางยืดตัวขึ้นอย่างงัวเงีย บิดขี้เกียจ กลับเห็นชายคนหนึ่งเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งยืนอยู่ตรงหน้า
นางรีบตื่นขึ้นมาทันที คิดถึงคำพูดของเขาเมื่อกี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวังขึ้นมาทันที
“เมื่อกี้เจ้า….”