ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 154 ข้าขอเตือนเจ้า อย่าทำอะไรไปเรื่อย
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 154 ข้าขอเตือนเจ้า อย่าทำอะไรไปเรื่อย
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเข้าวัง? กู้โม่หาน ตามเจ้าเข้าวังไปทำไม? ไหนบอกว่าจะทานอาหารค่ำไม่ใช่หรือ?”
กู้โม่หานขี้เกียจสนใจนาง จึงเพียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในวังส่งคนมา ไทเฮามีรับสั่งให้เราเข้าวัง ตอนนี้”
ตอนนี้?
ทำไมไทเฮาใจร้อนขนาดนี้?
หนานหว่านเยียนหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าก็ค่อนข้างไม่เข้าใจ
แต่นางหันเหลือบไปมองกู้โม่หาน พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “รู้แล้ว ข้าไปเตรียมตัวแปบหนึ่งเดี๋ยวจะรีบออกมา”
เห็นท่าทีหนานหว่านเยียนแล้ว กู้โม่หานรู้สึกค่อนข้างหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หนานหว่านเยียนผลักประตูเข้าไปในห้อง ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะถอดถอนหายใจ
เสียดายจริงๆ เข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮาพร้อมกับกู้โม่หาน เป็นโอกาสดีที่จะจัดการนังชาเขียว
แต่เสียดาย ไทเฮาไม่ได้ให้หยุนอี่ว์โหรวเข้าวังไปด้วย ไม่อย่างนั้น….
ยาเม็ดแห่งความจริงของนาง ก็จะสามารถได้ใช้แล้ว
หนานหว่านเยียนเปลี่ยนสวมชุดสีเขียวอ่อนอย่างเรียบง่าย ติดกิ๊บหนีบผม “โหย่วฟ่งไหลยี่(ปิ่นหงส์)” ที่ไทเฮาประทานให้แล้วก็ออกมา
เป็นครั้งแรกที่กู้โม่หานเห็นหนานหว่านเยียนสวมชุดสีอ่อนแบบนี้ จนนิ่งอึ้งไป
หนานหว่านเยียนยิ้มแย้ม ราวกับไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด ทำให้รู้สึกอยากมองขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เห็นท่าทีของเขาแล้ว หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังไม่รีบไป? ให้ไทเฮารอนาน เดี๋ยวเจ้าน่าดูแน่
ผู้ชายคนนี้ชักช้า ไม่รู้ว่านิ่งอึ้งทำอะไรอยู่
กู้โม่หานได้สติกลับมา ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ตนเองเป็นอะไรไป
เขาทำหน้าบึ้งตึง พร้อมพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ไม่ดูเลยว่าใครกันที่ชักช้า”
ผู้หญิงคนนี้ ชอบเป็นผู้ร้ายฟ้องร้องก่อนอยู่ตลอด
หนานหว่านเยียนส่งเสียงเมิน หันหน้าเดินออกจากเรือนไป กู้โม่หานก็ส่งเสียงเมิน พร้อมเดินตามไป
หลี่หมัวมัวยืนรออยู่ด้านนอกอย่างยิ้มกริ่ม เรียกทักทายนางกับกู้โม่หานขึ้นรถม้า ตนเองเดินตามอยู่ด้านหลัง
ภายในรถม้า กู้โม่หานไม่พูดไม่จา สายตาจับจ้องมองผู้หญิงด้านข้าง
หนานหว่านเยียนสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่จับจ้องมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ยกมือกอดอกเหลือบมองดูเขา พร้อมพูดหาเรื่องขึ้นมาก่อนว่า “มองอะไร? ข้าขอบอกไว้ก่อน ครั้งนี้นังชาเขียวของเจ้าไม่อยู่ ข้าทำอะไรนางไม่ได้”
กู้โม่หานถูกพูดพาดพิง จึงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “ข้ามองดูเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ หลงตัวเอง”
เขาเพียงแค่กำลังคิดถึงเรื่องลูกทั้งสองคน คิดอยู่อย่างเพลินไปหน่อย
วันนี้ เดิมเขาวางแผนที่จะฉวยโอกาสตอนทานอาหารค่ำ ทดสอบชาติกำเนิดของลูกสาวทั้งสองคนอย่างเงียบๆ….
ไม่คาดคิดว่าจู่ๆไทเฮาจะตามเข้าวัง ทำลายแผนของเขาวุ่นวายหมด
แต่ก็ไม่เร่งรีบในตอนนี้ ยังไงกระดาษทดสอบก็อยู่ในมือโอกาสหน้ายังมีโอกาสอีกเยอะแยะ
หนานหว่านเยียนหัวเราะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็ไม่แน่ เผื่อเจ้าหลงใหลเสน่ห์ของข้า จินตนาภาพข้า….ยังไงเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้งแล้ว”
นางยิ่งพูดจาไม่น่าฟัง ชายพรหมจารีตัวน้อยผู้ไร้เดียงสาคนนี้ก็ยิ่งไม่สนใจนาง ยิ่งรังเกียจนาง
แต่ในหัวสมองกู้โม่หาน กลับปรากฏภาพระหว่างเขากับหนานหว่านเยียนใกล้ชิดกันอย่างมากมาย
ทันใดนั้น เข้าเริ่มหายใจค่อนข้างถี่รุนแรง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหนานหว่านเยียนหรือเพราะอะไร
เขาเบือนหน้าหลบสายตาไปทางอื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “เหลวไหล อย่าคิดว่าวันนี้เจ้าแต่งตัวเป็นเหมือนนกยูงเขียว แล้วข้าจะอยากมองเจ้า”
นกยูงเขียว?
หนานหว่านเยียนเหมือนถูกแทงกลางใจอย่างไร้ร่องรอย แอบกัดฟันเงียบๆ สีหน้ากลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“เจ้าจะไปรู้อะไร นี่เป็นชุดแม่ลูก เจ้าลูกสองคนขอร้องข้า ให้ข้าที่เป็นแม่คนนี้สวมชุดเหมือนอย่างพวกเขา”
“คนบางคน อย่าเพราะกินองุ่นไม่ถึง แล้วเที่ยวพูดว่าองุ่นนั้นเปรี้ยว”
ชุดแม่ลูก?
ได้ยินคำนี้ กู้โม่หานอดไม่ได้ที่จะมองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง
เมื่อสายตามองไปเห็นข้อเท้าขาวผ่องดั่งหยกของนาง เขากลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็หันหน้าไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ยื่นมือไปดึงชายกระโปรงของนางลงมา
แล้วปลายเล็บกลับสัมผัสถูกผิวของหนานหว่านเยียนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หนานหว่านเยียนขนลุกขนซู่ไปหมด หดเท้ากลับมาทันที พร้อมพูดกับเขาด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “เจ้าทำอะไร?”
กู้โม่หานก็คิดไม่ถึงว่าจะสัมผัสถูกนาง เวลานี้จึงแทบอยากหารูมุดดินหนีไป
แต่เขาจะไม่ยอมเสียหน้าให้กับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด
เขากัดฟัน เงยหน้าขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังเผยสายตาราวกับไม่เห็นด้วย
“เป็นผู้หญิงเผยข้อเท้าออกมา เหมาะสมตรงไหน”
พูดเสร็จ เขาไอแห้งๆขึ้นมาแล้วเบือนหน้าหนีไป
แต่ว่าคราวนี้ ทำให้เขามองเห็นว่า…..ภาพลวดลายปักตรงหน้าอกหนานหว่านเยียน เป็นลวดลายเดียวกับสองพี่น้องเป๊ะเลย
หนานหว่านเยียนเห็นสายตาของเขาจ้องมองดูหน้าอกตน จึงรีบยกมือขึ้นมาปิด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าดูอะไร ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าอย่าคิดทำอะไรไปเรื่อยนะ”
กู้โม่หานอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เชอะ ก็ดูตัวเองก่อนว่า เจ้ามีอะไรให้ข้ามอง?”
“ข้าเพียงแค่ดูเสื้อผ้าบนตัวเจ้า หลงตัวเอาอะไร? รอเมื่อข้าได้พวกนางมาเป็นลูกสาวแล้ว ถึงตอนนั้นข้าสวมชุดแคว้นซีเหย่ที่ดีที่สุดเหมือนอย่างพวกนาง”
ต่อให้หนานหว่านเยียนเอาเงินหนึ่งหมื่นตำลึงไปแล้วยังไง?
อย่างนางที่มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ ไม่นานก็ใช้หมด
กลับกัน หากต่อไปสองพี่น้องอยู่กับเขา ถึงจะสามารถมีกินมีใช้อย่างไม่มีวันหมด
คิดได้แบบนี้ กู้โม่หานเงยหน้าสูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เห็นกู้โม่หานเงียบ หนานหว่านเยียนส่งเสียงเมิน แล้วก็ไม่เสแสร้งอีกต่อไป
นางวางมือที่กุมหน้าอก ชายหางตามองดูกู้โม่หาน พร้อมพูดเย้ยหยันว่า “ฝันกลางวันอีกละ”
ลูกสาวของนาง ไม่มีทางให้เป็นลูกสาวของเขาแน่นอน
ทั้งสองคนต่างไม่พอใจซึ่งกันและกัน จึงต่างหันหน้าออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง ไม่พูดคุยกันอีก
ระยะทางมาถึงวังไม่ถือว่าไกล รถม้าหยุดตรงหน้าประตูวังอย่างเชื่องช้า
กู้โม่หานลงมาจากรถม้าก่อน เดินหน้าไปอย่างไม่หันหน้ากลับมา ส่วนหนานหว่านเยียนเดินอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน
ไม่ว่าใครที่มองเห็น ท่าทีสองสามีภรรยาคู่นี้นั้นไม่ลงรอยกัน ยังกลัวโลกไม่รู้แบบนั้นด้วย
หลี่หมัวมัวเดินตามอยู่ด้านหลัง เห็นแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
นางอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนหนานหว่านเยียนว่า “พระชายา ขออภัยที่บ่าวละลาบละล้วง….อยู่ภายในวังนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าไทเฮาเหนียงเหนียง สามีภรรยารักใคร่กันถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุด”
“หากไทเฮาเหนียงเหนียงเห็นว่าท่านกับท่านอ๋องเป็นแบบนี้ เกรงว่าจะโกรธโมโห ถึงตอนนั้น….”