ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 157 ทำไมเจ้าไม่ดื่มน้ำแกง
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 157 ทำไมเจ้าไม่ดื่มน้ำแกง
นางยังพูดไม่ทันจบ กู้โม่หานก็ดื่มจนหมดถ้วย ไม่เหลือสักนิด
หมดกัน เจ้าถูกรางวัลใหญ่แน่
กู้โม่หานหันไปมองดูหนานหว่านเยียน พร้อมถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “อย่าอะไร?”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วแน่นจนจะชนกันเป็นเส้นตรงแล้ว แอบกัดฟัน แล้วหันไปพูดกับกู้โม่หานอย่างยิ้มแย้มว่า “อย่ารีบร้อน ไม่มีใครแย่งเจ้า”
ท่าทีกู้โม่หานยิ่งแปลก หนานหว่านเยียนทานยาพิษหรือ?
รู้จักเป็นห่วงเขาด้วย
หนานชิงชิงมองดูอยู่ด้านข้าง สีหน้ายังคงอ่อนหวาน หน้าตายิ้มแย้ม ในใจกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตอย่างเยือกเย็น
เป็นหลานสะใภ้เหมือนกัน ทำไมไทเฮาคนเฒ่าคนนี้ ถึงได้หลงรักแต่หนานหว่านเยียน เพิกเฉยนางอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้แม้แต่น้ำแกงไก่ก็ไม่มีของนาง
ไทเฮาเห็นหนานหว่านเยียนพูดเตือนกู้โม่หานอย่างอ่อนโยน ก็ผงกหัวมองดูหนานหว่านเยียนอย่างพอใจ รอยยิ้มยิ่งมีเมตตามากขึ้น
“ทำไมเยียนเอ๋อร์ไม่ดื่มล่ะ? หรือรังเกียจห้องเครื่องทำได้ไม่อะไร?”
หนานหว่านเยียนกระตุกมุมปาก เห็นทีไทเฮาไม่คิดที่จะปล่อยนางไปง่ายๆ จึงพูดขึ้นว่า “เพคะ เดี๋ยวหลานสะใภ้ค่อยดื่ม”
นางเหลือบมองดูหนานชิงชิงด้านข้างที่แอบซ่อนความอิจฉาตาร้อน จู่ๆก็พูดขอบคุณขึ้นมาว่า “หลายวันมานี้หลานสะใภ้สูญเสียกำลังอยู่ในค่ายทหารอย่างมากจริงๆ น้ำแกงนี้ช่วยบำรุงหลานสะใภ้ได้ดีจริงๆ ขอบพระทัยเสด็จย่าอย่างมาก”
“แต่ว่าพูดถึงค่ายทหาร ไม่รู้ว่าอ๋องเฉิงได้เคยบอกพี่สาวไหม….พวกทหารในค่ายทหารพวกนั้นบาดเจ็บสาหัส ในฐานะที่อ๋องเฉิงเป็นแม่ทัพ ไม่ถามไถ่เลย คงไม่ค่อยดีมั้ง?”
หนานหว่านเยียนยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมา เป่าอยู่สักพัก ไม่ยอมดื่มลงไป แล้วก็ถามหนานชิงชิงขึ้นมา
ไทเฮาที่นั่งตรงตำแหน่งสูง มองดูอยู่อย่างร้อนใจ ในใจร้องตะโกนขึ้นว่า “ดื่ม รีบดื่ม ไอโย้วเจ้าดื่มลงไปเร็วๆสิ ถามมากมายขนาดนั้นทำไม?”
กู้โม่หานขมวดคิ้ว
อยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆหนานหว่านเยียนถึงได้พูดถึงเรื่องค่ายทหารขึ้นมา?
สีหน้าหนานชิงชิงย่ำแย่ ใครๆต่างก็รู้ ช่วงก่อนอ๋องเฉิงทำขายหน้าอยู่ในค่ายทหาร หนานหว่านเยียนเป็นหนึ่งในคนที่มีผลงานไม่น้อย
นางมองดูหนานหว่านเยียนที่กำลังจะดื่มน้ำแกง ไม่รู้ทำไมถึงได้โกรธโมโหขึ้นมา เอื้อมมือไปแย่งถ้วยน้ำแกงของหนานหว่านเยียนมา แล้วก็ดื่มจนหมด
วินาทีนั้น สายตาหนานหว่านเยียนฉายแววหัวเราะเย้ย
เมื่อกี้ที่นางเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็เพราะตั้งใจพูดให้หนานชิงชิงฟัง
ยังไง “พี่สาวคนดี” คนนี้ เป็นคนกระหยิ่มใจ ทนกับการถูกดูถูกแบบนี้ไม่ได้ ขจัดปัญหาให้นางได้อย่างทันท่วงที
อีกอย่าง ในเมื่อนางล่อหนานชิงชิงออกจากถ้ำแล้ว งั้นก็จะต้องทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด
อีกอย่าง ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับหนานชิงชิง สาเหตุของการลอบสังหารเจ้าของร่างเดิม นางจะต้องสืบอย่างกระจ่าง
สีหน้าไทเฮากลายเป็นสีดำราวกับก้นหม้อทันที จ้องมองหนานชิงชิงด้วยความไม่พอใจ
หนานชิงชิงคนนี้ ยิ่งอยู่ยิ่งก้าวร้าว ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น แม้แต่น้ำแกงที่เตรียมไว้ให้กับหนานหว่านเยียนก็กล้าแย่งไปดื่ม
หนานชิงชิงกลับเช็ดปากเหมือนอย่างไม่ได้ทำผิดอะไร ยิ้มอย่างสุภาพเรียบร้อย
“เสด็จย่า ข้าเห็นว่าน้องสาวไม่ชอบดื่มน้ำแกงนี้ ดังนั้น ข้าเพิ่งคลอดเสี่ยวซื่อจือ(ลูก)ได้ไม่นาน ควรที่จะบำรุงร่างกาย ยังไงก็เป็นความหวังดีของเสด็จย่าไทเฮา จะสิ้นเปลืองไม่ได้”
หนานหว่านเยียน นังสารเลวคนนี้ กล้าเอาเรื่องค่ายทหารมาท้าทายนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำแกงถ้วยนี้ นางดื่มแทนนางเสียเลย
ลูกนอกคอกที่นังสารเลวคลอด ไม่มีสิทธิ์ได้รับสิ่งที่ดีไปกว่านาง
ไทเฮาสีหน้าบึ้ง น้ำเสียงไม่พอใจแต่ก็พูดตำหนิตรงๆว่า “พระชายาเฉิง นี่เพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วัน ไม่ระวังของกินเลยนะ น้ำแกงไก่นั้นช่วยบำรุงอย่างมาก หากดื่มไปเรื่อย จะได้ผลเสียมากกว่าประโยชน์”
หากไม่เห็นว่าตอนนี้หนานชิงชิงร่างกายอ่อนแอ นางคงอาละวาดไปแล้ว
หนานชิงชิงได้ยินแล้วก็หัวเราะในใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก
เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา นางรู้ว่าไทเฮาคิดเข้าข้างแต่หนานหว่านเยียน ไม่จำเป็นต้องถือสาคนแก่คนหนึ่ง
หนานหว่านเยียนเรียบร้อยแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา
กู้โม่หานมองดูหนานชิงชิง แล้วก็มองดูหนานหว่านเยียน แล้วก็มองดูถ้วยน้ำแกงที่หนานหว่านเยียนบ่ายเบี่ยงไม่ยอมดื่ม ด้วยท่าทีแปลกประหลาด
หรือว่าน้ำแกงนี้….มีปัญหาอะไร?
เวลานี้ ไทเฮาหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “ทานข้าวเถอะ”
เรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ต่อให้สั่งคนเอาน้ำแกงมาใหม่ ต่อให้เป็นคนโง่ก็ดูออกว่ามีปัญหาแน่
ถึงจะเป็นเพื่อนการรับประทานอาหารง่ายๆเฉพาะคนในครอบครัว แต่บนโต๊ะอาหารมีอาหารมากมายครบถ้วนทุกอย่าง หนานหว่านเยียนมองดูอาหารรสเลิศตรงหน้า ใช้ตะเกียบคีบกึ๋นไก่ผัดเห็ดโคนใส่ถ้วยกู้โม่หาน พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องท่านเยอะหน่อย เห็ดโคนดีต่อสุขภาพ”
แสดงละครก็ต้องสมบทบาท ต่อหน้าผู้อุปการะต้องว่าง่าย
กู้โม่หานมองดูหนานหว่านเยียนอย่างลึกซึ้ง ขมวดคิ้วเข้มแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ตักน้ำแกงฟักทองให้หนานหว่านเยียนหนึ่งช้อน
“เจ้าชอบทานของหวาน อันนี้น่าจะถูกปากเจ้า ยังมีลูกชิ้นอันนี้….”
หนานหว่านเยียนขนลุกขึ้นมา กู้โม่หานอ่อนโยนเอาใจใส่แสดงได้สมบทบาทยิ่งกว่านางเสียอีก ช่างทำให้ยากที่จะรับได้ ขนลุกชนซู่ไปหมด
พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็รังเกียจซึ่งกันและกัน ในสายตาคนอื่น กลับเป็นการพลอดรักกัน ในที่สุดไทเฮาก็วางใจแล้วไม่น้อย มีความอยากอาหารมากและกินได้ตามปกติขึ้นมา
แต่ภาพนี้เหมือนดั่งหนาม ทิ่มแทงใจหนานชิงชิงเข้าอย่างแรง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นางกับกู้โม่หานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่คุยกัน
แต่ตอนนี้…..
หนานชิงชิรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมหนาม จากนั้น นางยื่นมือไปคีบกุ้งนึ่งบนโต๊ะ
ภาพนี้กู้โม่หานมองเห็นพอดี เขาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย มองดูหนานชิงชิงที่ไม่สนใจอะไรแวบหนึ่ง
หนานชิงชิงแกะกุ้งอย่างไม่ชำนาญ ดูก็รู้ว่าถูกเลี้ยงมาอย่างดี หรือปกติไม่เคยกินกุ้ง
นางเอาเนื้อกุ้งเข้าปาก สั่นปลายลิ้น กลั้นการเคี้ยวแล้วก็กลืนลงคอไป
หนานชิงชิงแพ้กุ้งมาตั้งแต่เด็ก วันนี้ไม่รู้ทำไม ถึงได้เอาแต่กินกุ้ง
นางแพ้ก็ช่างเถอะ แต่จะให้ลูกที่บริสุทธิ์เดือดร้อนไปด้วยหรือ?
ถ้าเป็นเมื่อก่อนกู้โม่หานคงไม่สนใจ แต่ตอนนี้ทนดูไม่ได้จริงๆ จึงพูดห้ามหนานชิงชิงแกะกุ้งทานอีกว่า
“พี่สะใภ้สามไม่ต้องทานกุ้งอีกแล้ว กุ้งไม่ดีต่อสุขภาพของเสี่ยวซื่อจือ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ กู้โม่หานเริ่มศึกษาเรื่องพวกนี้เพื่อเด็กสองคนนั้น ผักเนื้อของเรือนเซียงหลิน ปกติเขาจะแอบสั่งพ่อบ้านกาวนำไปให้ ล้วนดีต่อสุขภาพแม่และลูก
ตอนนี้หนานชิงชิงทานไปเรื่อย ไม่เห็นลูกอยู่ในสายตาเลย
ไทเฮาอารมณ์ดิ่งลง หัวใจหนักอึ้ง
หนานหว่านเยียนก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ นางรู้สึกว่าระหว่างหนานชิงชิงกับกู้โม่หานนั้นต้องมีอะไรกันแน่ๆ…