ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 168 ความบาดหมางระหว่างท่านอ๋องและพระชายา
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 168 ความบาดหมางระหว่างท่านอ๋องและพระชายา
ฮองเฮายกตนข่มอีกฝ่าย พูดจาไม่เข้าประเด็นแต่กลับคุกคามอย่างรุนแรง
เจียงหรูเยว่ชอบราดน้ำบนกองไฟ ตอนนี้ก็ไม่รู้จักอาย ใส่ไฟเข้าไปอีก
“ใช่แล้วพระชายาอี้ สิ่งแรกที่ท่านทำเมื่อเข้ามาในวังไม่ใช่มาเข้าเฝ้าฮองเฮา มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
หญิงสาวสูงศักดิ์อีกนางเหน็บแนมอย่างจองหอง
“ในฐานะสะใภ้เหมือนกัน พระชายาเฉิงทำได้ดีกว่าพระชายาอี้ในจุดนี้มาก สตรีนางนี้ ควรตั้งใจปรนนิบัติพ่อแม่สามี เป็นผู้ช่วยสามีและอบรมสั่งสอนบุตรอยู่ที่บ้าน”
สวีหว่านหยิงขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ นางอยากจะพูดแทนหนานหว่านเยียน แต่เกิดมาเป็นคนอ่อนโยนพูดไม่เก่ง ดังนั้นจึงยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ต่างอย่างไร
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของหนานชิงชิง แต่ความเย็นชากลับพาดผ่านหัวใจของนาง
หนานหว่านเยียนได้อำนาจจากไทเฮาแล้วไงล่ะ?
นังแก่ไทเฮานั่นไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี ต่อไปต้องพึ่งพาฮองเฮา
การจะจัดการกับหญิงชั่วผู้นี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรอกหรือ?
หนานหว่านเยียนก็ไม่รีบร้อนปฏิเสธ นางคุกเข่าจนเมื่อยแล้ว จึงลุกขึ้นยืน
จากนั้นก็ก้มตัวประสานมือคำนับ ดูท่าทางประหม่าเป็นอย่างยิ่ง “ลูกสำนึกผิดแล้ว ช่างอกตัญญูยิ่งนักที่ไม่มาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ให้ตรงเวลา ลูกไม่เคยคิดดูหมิ่นเสด็จแม่เลย”
“เมื่อวานเสด็จย่าไทเฮาเรียกพบอย่างกะทันหัน คืนที่เข้ามาในวัง ลูกจึงไม่อยากรบกวนเสด็จแม่ จึงอยู่ในตำหนักหลวนเฟิ่งกับท่านอ๋องตลอด”
“ยิ่งไปกว่านั้นคืนนั้นเสด็จย่าพยายามจับคู่ลูกกับท่านอ๋อง ลูกไม่อาจปล่อยให้เสด็จย่าเสียความตั้งใจ”
ทันใดนั้นนางก็มองไปที่ใบหน้านิ่งเฉยของหนานชิงชิง “เมื่อคืนนี้เสด็จพี่ก็อยู่ที่ตำหนักหลวนเฟิ่งด้วย เรื่องนี้เสด็จพี่น่าจะรู้ดี”
หนานชิงชิงถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไม่ทันรู้ตัว เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ก้าวออกมา กล่าวกับฮองเฮาเสียงอ่อนด้วยความยำเกรง
“เพคะ เมื่อคืนพระชายาอี้ถูกเสด็จย่าไทเฮาเรียกตัวไว้จริงๆ ทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเข้าเฝ้าเสด็จแม่ล่าช้าออกไป”
นางไม่เหมือนกับหยุนอี่ว์โหรว ในเวลานี้นางสุขุมเยือกเย็น ไม่มีความกังวลใดๆ ว่าฮองเฮาจะตำหนินาง
ฮองเฮาชำเลืองมองหนานชิงชิง จากนั้นพูดกับหนานหว่านเยียนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรให้คนนำจดหมายมาส่ง พระชายาอี้ เจ้าอยู่ในฐานะสะใภ้ของราชวงศ์ กฎเกณฑ์ง่ายๆ แค่นี้คงไม่ใช่ไม่รู้หรอกนะ? ข้าอยู่ในฐานะเจ้าแห่งวังทั้งหก แต่เจ้ากลับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป บอกว่าข้าไร้ความสามารถ มันจะส่งผลเสียถึงจวนอ๋องอี้และจวนเฉิงเซี่ยง ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย”
หนานหว่านเยียนเม้มปากเงียบ สองคนนี้สมรู้ร่วมคิดกัน ไม่มีทางปล่อยให้นางหนีไปง่ายๆ แน่
ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นหนานหว่านเยียนดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดหน้า ขอบตาแดงก่ำน้ำตาคลออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ลูกไม่ดีเอง แต่เสด็จพี่กับเสด็จแม่ก็น่าจะรู้ว่า ท่านอ๋องมีท่าทียังไงกับลูก”
“เมื่อคืนเสด็จย่าช่วยลูกไว้หนหนึ่ง หากลูกยังปฏิเสธอีก จิตใจตัวเองเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นไร แต่หากทำลายความตั้งใจของเสด็จย่า มันจะเป็นการอกตัญญูจนเกินไป”
“เสด็จย่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของท่านอ๋อง หากนางป่วยเพราะโมโหลูก ลูก…ลูกทนไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นัยน์ตาของฮองเฮาก็ดุดันขึ้นมา
นางไม่คิดว่าหนานหว่านเยียนจะเสแสร้งดัจจริตได้ถึงเพียงนี้!
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าข้อแก้ต่างเหล่านี้ คือการบอกว่าไทเฮาอยู่เหนือกว่านาง หากนางยังตำหนิต่อไป มันคือการกลับตาลปัตร ดูถูกไทเฮา
เจียงหรูเยว่ยังฟังไม่เข้าใจความหมายของหนานหว่านเยียน ก็แทบรอไม่ไหวที่จะหาเรื่องนางอีกครั้ง
“ในเมื่อพระชายาอี้รู้ว่าตัวเองไม่เป็นที่โปรดปราน ก็ควรให้ความสำคัญกับ ฮองเฮา”
“แต่…ในฐานะที่เจ้าเป็นพระชายา ชอบเสนอหน้าอยู่เสมอก็อีกเรื่อง แต่การเที่ยวอวดอ้างวิชาแพทย์งูๆ ปลาๆ ของตัวเองออกไปข้างนอก ไม่คิดว่าเป็นการโอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ? สตรีผู้นี้ต้องใช้ความอ่อนโยนเพื่อดึงดูดผู้ชาย เช่นเดียวกับพระชายาเฉิงของเรา”
หนานหว่านเยียนชำเลืองมองเจียงหรูเยว่อย่างเย็นชา
ในฐานะผู้ที่ออกหน้าออกตา ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมืออยู่เสมอ คราวก่อนยังไม่ได้บทเรียนจากเรื่องของหยุนอี่ว์โหรว แต่คราวนี้ถึงคราวหนานชิงชิง นางกระตือรือร้นหาเรื่องให้กับตัวเองอีกแล้ว
โง่เกินเยียวยา!
ในเวลานี้ จู่ๆ พระชายาสิบก็เดินเข้ามา
“เสด็จแม่ได้โปรดเห็นแก่ที่พี่สะใภ้หกได้เคยช่วยชีวิตลูกไว้ อย่าติดใจเอาความพี่สะใภ้หกอีกเลย”
“พี่สะใภ้หกเป็นทั้งสวยและใจดี มีความรู้วิชาแพทย์ ไม่ใช่คนชอบเสนอหน้าเหมือนที่คนรอบข้างพูดแน่นอน การที่สตรีมีทักษะไม่ใช่เรื่องน่าอาย คุณหนูเจียงได้โปรดอย่าพูดไม่คิด”
ไม่ง่ายเลยที่นางจะแข็งแกร่ง จ้องเขม็งใส่เจียงหรูเยว่ด้วยดวงตาดำขลับแวววาว แม้เจียงหรูเยว่จะโกรธ แต่ตรงหน้าคือพระชายาสิบ นางล่วงเกินไม่ได้
ทำได้เพียงยืนบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่กับที่
หนานหว่านเยียนไม่คาดคิดว่าพระชายาสิบจะพูดแก้ต่างแทนนาง
ฮองเฮาเชยตาขึ้นมองสวีหว่านหยิงที่ยืนนิ่ง จากนั้นก็มองพิจารณาหนานหว่านเยียน กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ข้าลืมความสามารถของพระชายาอี้ไปแล้ว!”
หนานหว่านเยียนไม่มีความประหม่า ยิ้มสบายๆ “ลูกรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น”
ความเย็นชาฉายผ่านดวงตาเฉยเมยของหนานชิงชิง
ทันใดนั้นนางก็จับมือของหนานหว่านเยียน น้ำเสียงห่วงใยเอาใจใส่เหมือนพี่สาว
“น้องหญิงอย่าดูถูกตัวเอง เมื่อก่อนพี่เองก็อยากถามน้องเช่นกัน แต่เราสองคนไม่ได้พบหน้ากันง่ายๆ เลยไม่มีเวลาพูดคุยเรื่องวิชาแพทย์ของเจ้า”
“เจ้าน่ะ ไม่เพียงแต่รักษาใบหน้าของตัวเองจนหายดี แต่ยังช่วยเหลือน้องสะใภ้สิบอีก เมื่อไม่นานมานี้ ยังไปที่ค่ายเสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือทหารจำนวนนับไม่ถ้วน”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าไปเรียนรู้วิชาแพทย์เหล่านี้มาจากไหน?”
ในตำนักใหญ่ไม่มีใครไม่รู้ เรื่องกู้โม่เฟิงถูกหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานตบหน้า
กู้โม่เฟิงเป็นโอรสของ ฮองเฮา
เป็นไปดังคาด ทันทีที่นางพูดจบ บรรยากาศในตำหนักหยูซินก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที…