ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 169 ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบนาง
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 169 ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบนาง
ที่แตกต่างไปจากสถานการณ์อ่อนไหววางแผนปัดแข้งปัดขากันในตำหนักหยูซิน ในตำหนักหลวนเฟิ่ง ไทเฮาได้ส่งข้ารับใช้ที่เหลือออกไป เหลือเพียงกู้โม่หานและหลี่หมัวมัวสองคน
กู้โม่หานใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว เคาะนิ้วชี้ลงบนโต๊ะทำงาน
ไทเฮาเห็นท่าทีสุขุมเยือกเย็นของเขา ก็เกิดโมโหขึ้นมา
“ข้าหมายถึงเจ้านะ เป็นเด็กที่สอนไม่รู้ความจริงๆ!”
“เยียนเอ๋อร์ดีกับเจ้าขนาดนี้ ทั้งอ่อนโยนและเชื่อฟัง ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบนาง? ฮองเฮาเรียกนางไป เจ้าอยู่ในฐานะสามีก็ไม่ได้พูดเลยว่าจะตามไปดู”
กู้โม่หานไม่ตอบอะไร แค่เหลือบมองไทเฮาอย่างเฉยเมย พลางลดสายตาลงเงียบไม่พูดจา
ไทเฮาหายโมโหแล้ว ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าบนใบหน้าชราของนาง
“เจ้าหก แม้จะเป็นคำพูดคร่ำครึธรรมดา แต่ข้าก็ยังต้องเกลี้ยกล่อมเจ้าว่า อย่าไปทำให้ใครเสียใจง่ายๆ”
“บนโลกนี้ความจริงใจหายากที่สุด เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?”
กู้โม่หานเชยตาขึ้น พลางขมวดคิ้วแน่น
เหตุใดคำพูดของไทเฮาจึงมีผลเหมือนกับที่หนานหว่านเยียนพูดกับหยุนอี่ว์โหรวในวันนั้น มีความมหัศจรรย์ต่างถ้อยคำแต่ไพเราะดุจเดียวกันหรือ?
ไทเฮาเห็นเขายังคงยืนเป็นท่อนไม้อยู่ตรงนั้น ก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ
“รีบลุกขึ้น ไปตำหนักฮองเฮาพาเยียนเอ๋อร์กลับจวนอ๋องเดี๋ยวนี้!”
พูดจบนางก็เรียกหลี่หมัวมัวไปส่งแขก กู้โม่หานยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูก “ขับไล่” ออกจากตำหนักหลวนเฟิ่ง
กู้โม่หานยืนอยู่ที่ประตูตำหนักหลวนเฟิ่ง “หลานทูลลา”
ไทเฮาโกรธจัด เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลังจากกู้โม่หานอยู่พักหนึ่ง ก็มุ่งหน้าไปที่ตำหนักหยูซิน
ขณะที่เดินผ่านอุทยานหลวง เขาเกือบชนกับคนข้างหน้าที่หัวมุม
เสียงทุ้มแต่มีพลังถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง “เจ้าหก รีบร้อนไปไหนหรือ?”
พอกู้โม่หานเห็นคนคนนั้นชัดเจน ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเขาทันที “ลูกเผลอชนเสด็จพ่อ ขอพระราชทานอภัยจากเสด็จพ่อด้วย”
ในขณะนี้กู้จิ่งซานสวมเสื้อคลุมมังกรสีทองเข้ม เปี่ยมไปด้วยความสง่างามน่าเกรงขาม
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่ากำลังจะไปไหน?”
“เมื่อคืนนี้เสด็จย่าเรียกลูกและพระชายาเข้าวัง เช้าตรู่วันนี้ เสด็จแม่ก็เรียกหาพระชายาด้วยเหมือนกัน” กู้โม่หานกล่าว
“ลูกเห็นเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว พระชายายังไม่กลับมา เลยอยากจะไปดูที่ตำหนักหยูซินเสียหน่อย”
กู้จิ่งซานโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ หัวเราะอย่างสง่าผ่าเผย
“เจ้าจะไปทำไม มันเรื่องของผู้หญิง ไม่มีเหตุผลที่ผู้ชายจะเข้าไปยุ่งเลยสักนิด?”
“จะว่าไปแล้ว นางเป็นพระชายาของเจ้า ในฐานะสะใภ้ของราชวงศ์ หากเรื่องเล็กน้อยยังทำได้ไม่ดี มันคือความบกพร่องในหน้าที่ของนางเอง! “
“มานี่ ไปนั่งดื่มชากับข้าที่ศาลาข้างหน้าดีไหม?”
กู้โม่หานสีหน้าลังเล “พ่ะย่ะค่ะ”
เขาขมวดคิ้วมองไปทางตำหนักหยูซิน แต่ก็ยังถูกบังคับให้อยู่ต่อ
จะบอกว่าไม่เป็นห่วงก็เป็นเรื่องโกหก เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาก็ไม่ชอบหนานหว่านเยียน ไหนจะมารดาของกู้โม่เฟิงอีก นางมีเรื่องบาดหมางใจต่อเขาเช่นกัน
หนานหว่านเยียน ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะถูกฮองเฮากลั่นแกล้ง…
อีกด้านหนึ่ง ณ ตำหนักหยูซิน
คำพูดของหนานชิงชิงทำให้บรรยากาศกระโดดไปถึงจุดสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย หนานหว่านเยียนแอบชำเลืองมองหนานชิงชิงอย่างแนบเนียน นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ
เก่งมากนะ เป็นผู้หญิงน้ำนิ่งไหลลึก
เป็นไปดังคาด สีหน้าของฮองเฮาบูดบึ้ง โจมตีหนานหว่านเยียนเป็นครั้งที่สอง
“ชิงชิงพูดถูก ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน พระชายาอี้เรียนวิชาแพทย์มาจากที่ไหนกันแน่”
“ในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ ไม่ควรอาศัยว่าตนมีความสามารถโดดเด่นเพียงเล็กน้อยก็นึกทำอะไรตามอำเภอใจ เป็นหญิงควรสงบเสงี่ยมอยู่ในกรอบประเพณี แต่พระชายาอี้มักก่อความวุ่นวายในจวนอ๋องไปทั่ว!”
“อย่ามัวแต่พูดถึงเรื่องนี้เลย ครั้งนี้ข้าเองก็ได้ยินเรื่องค่ายเสินเชื่อ เจ้าเห็นร่างกายของชายอื่นในเวลากลางวันแสกๆ หากเรื่องตลกเช่นนี้แพร่ออกไปภายนอก จะไม่ทำให้ราชวงศ์ของเราอับอายขายหน้าแย่หรือ?”
หนานชิงชิงแสร้งทำเป็นพูดแก้ต่างให้หนานหว่านเยียน พูดสอดขึ้นมา “แต่ว่าเสด็จแม่ น้องหญิงก็ทำเพื่ออ๋องอี้ ทหารที่บาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นลูกน้องของอ๋องอี้ หากไม่ใช่น้องหญิงไปได้ทันเวลา เกรงว่าจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี…”
ฮองเฮาพยายามออกเสียง
“แล้วยังไงล่ะ? เป็นผู้หญิงก็ไม่ควรออกไปอย่างเอิกเกริกให้อับอายขายหน้าผู้คน หมอกองทัพในค่ายเสินเชื่อเป็นแค่ของประดับหรือไง?!”
เจียงหรูเยว่ยินดียินร้ายไปกับหายนะของผู้อื่น แทบจะหัวเราะออกมาอย่างรื่นรมย์ “ฮองเฮาพูดถูก พระชายาอี้ทำอะไรเหิมเกริมเกินไป”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนยังอยู่ในจวนอ๋อง…” ทีแรกเจียงหรูเยว่อยากพูดเรื่องชายชู้ แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งหมื่นปีต้องการฆ่าคนของกู้โม่หาน ก็พยายามเก็บกดไว้
หนานชิงชิงวาดยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรต่ออย่างมีปฏิภาณ เพราะเป้าหมายของนางสำเร็จแล้ว
สวีหว่านหยิงโมโหเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็ถูกหนานหว่านเยียนห้ามไว้
นางเห็นหนานหว่านเยียนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ถ่อมตัวหรือจองหอง พูดด้วยน้ำเสียงทะนงองอาจไม่ยอมให้ใครขัดจังหวะได้
“ลูกทำทุกอย่างมีสติรู้ผิดรู้ชอบอยู่เสมอ การช่วยเหลือผู้คน มันเป็นสัญชาตญาณของหมอ ลูกไม่มีข้อยกเว้นใดๆ”
“ในฐานะหมอ ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางเพศ หากเสด็จแม่คิดว่าควรแยกแยะชายหญิง เช่นนั้นบรรดาหมอหลวงชายในสำนักหมอหลวง ในวังหลวงแห่งนี้ ก็สามารถรักษาได้เฉพาะฮ่องเต้รวมถึงอ๋องและขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นเองหรือ?”
“ในเมื่อผู้หญิงเป็นหมอช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ จะอับอายขายหน้า เช่นนั้นการที่พวกผู้ชายจะตรวจรักษาพวกผู้หญิงนั้น ยิ่งไม่สมควรหรือ หากเรื่องแพร่ออกไป จะไม่ยิ่งกลายเป็นเรื่องราวอื้อฉาวของราชวงศ์หรอกหรือ?”
หนานหว่านเยียนพูดจาฉะฉานอย่างมีเหตุผล ไม่มีใครจับจุดบกพร่องได้
ในเวลานี้ฮองเฮาหน้าตาบูดบึ้ง นางออกแรงนิ้วมือจับเก้าอี้หงส์
“ดีมาก ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะคารมคมคายถึงเพียงนี้!”
“ไม่รู้จักละอายใจยังพอทน แต่ยังกล้ามาแหกปากเถียงข้างๆ คูๆ กับข้า เจ้าอยู่ในฐานะพระชายาของราชวงศ์ ไม่ใช่หมอเท้าเปล่าในชนบท หากทำเช่นนี้ต่อไปไม่ต้องกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่หรอกหรือ?!”
หนานหว่านเยียนมองฮองเฮาด้วยท่าทีปกติ พลังไม่ได้ด้อยกว่าเจ้าแห่งวังทั้งหกเลย
“ลูกไม่คิดว่าการช่วยเหลือคนจะเป็นเรื่องผิดอะไร ท่านอ๋องยังรอลูกอยู่ ถ้าเสด็จแม่ไม่มีอะไรแล้ว ลูกขอทูลลา”
“หยุดนะ!” ฮองเฮาเห็นนางกำลังจะไป ก็ออกคำสั่งด้วยแววตาคมกริบ “พระชายาอี้! ข้าขอออกคำสั่งเจ้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการรักษาอีก…”