ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 171 นางจะขอหย่า
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 171 นางจะขอหย่า
ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ ๆ กู้โม่หานก็รู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจถี่ขึ้น
ผ่านไปไม่นาน องค์ชายสิบสามก็พ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่หายใจหอบอย่างทรมานอีกแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรง หนานหว่านเยียนจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ่อนเยาว์ของเขา ในดวงตามีคลื่นสั่นไหวอย่างแรงกะพริบผ่านไป
พอสวีหว่านหยิงเห็นเช่นนี้ก็รีบหมุนตัวมา จับมือเล็ก ๆ ของเขาเอาไว้ น้ำตาร้อนผ่าวเอ่อล้นเต็มดวงตา “ดีจังเลย น้องสิบสามเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เมื่อกี้ทำให้พี่สะใภ้สิบตกใจแทบแย่!”
องค์ชายสิบสามยื่นมือสั้น ๆ ราวรากบัวออกไป ทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่คอยปลอบใจสวีหว่านหยิง
จากนั้น เขาก็เงยหน้าที่อ่อนเยาว์ขึ้นมา แล้วยิ้มให้กับหนานหว่านเยียนและกู้โม่หาน “ขอบคุณพี่สะใภ้หก ขอบคุณเสด็จพี่หกด้วยขอรับ!”
กู้โม่หานยักคิ้วเรียวราวดาบขึ้นทีหนึ่ง พยายามข่มอารมณ์ในใจลงไป แล้วตอบกลับไปอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าขอบคุณพระชายาก็พอแล้ว นางเป็นคนช่วยเจ้าไว้”
หนานหว่านเยียนมองกู้โม่หานทีหนึ่ง สายตาของทั้งคู่ประสานเข้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนออกไป
สถานการณ์ตรงหน้ายังดูไม่ค่อยดีนัก หวังว่ากู้โม่หานจะไม่ฉีกหน้านางนะ
พอเห็นว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ ในที่สุดกู้จิ่งซานก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง ใจทั้งดวงที่แกว่งอยู่ในตอนแรกก็วางลงได้สักที
“พระชายาอี้ ตอนนี้ร่างกายของเจ้าสิบสามเป็นอย่างไรบ้าง? มีอันตรายอะไรหรือเปล่า?”
หนานหว่านเยียนจ้องมองสวีหว่านหยิงแบบความหมายแอบแฝงทีหนึ่ง จากนั้นสายตาก็ไปตกอยู่ที่ตัวองค์ชายสิบสาม ขภ
“อาการหอบหืดขององค์ชายสิบสามเป็นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พออาการกำเริบซ้ำขึ้นมาจึงค่อนข้างยากลำบาก วันนี้น่าจะเป็นเพราะตกใจตอนอยู่ในท้องพระโรง และมีความกดดันสูงก็เลยทำให้อาการกำเริบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางรักษาหาย”
กู้จิ่งซานหาหมอหลวงและหมอในยุทธภพมาดูมากมาย ต่างก็พูดว่าโรคขององค์ชายสิบสามไม่มีทางเยียวยาได้แล้ว แต่ตอนนี้หนานหว่านเยียนกลับพูดมาแบบนี้ ตาเขาเป็นประกายขึ้นมาและรีบถามต่อว่า “จะรักษายังไง?”
กู้โม่หานจ้องมองหนานหว่านเยียน บนใบหน้าที่งดงามของนางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก “ลูกจะต้องทำการรักษาองค์ชายสิบสามตามลำพัง ถึงจะสามารถเข้าใจสาเหตุที่เกิดภูมิแพ้และตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบได้”
“จากนั้น ตอนปกติก็ทำการรักษาอาการอักเสบไป และรักษาม้ามกระเพาะและลดเสมหะควบคู่ไปกับแพทย์แผนจีน พอรักษาไปนาน ๆ เข้า ก็จะหายขาดได้ เสด็จพ่อไม่ต้องเป็นกังวลพระทัยหรอกนะเพคะ”
หนานชิงชิงยังคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ พอหนานหว่านเยียนมีท่าทางมั่นอกมั่นใจ และเห็นเป็นเรื่องง่าย ๆ สายตาก็เย็นชาและโหดเหี้ยมลง
นางไปหาฮองเฮาตั้งแต่เช้า แล้วเล่าเรื่องความอัปยศอดสูที่กู้โม่เฟิงต้องเจอในค่ายทหารให้กับฮองเฮาฟัง
ฮองเฮาก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที นางจะทนเห็นลูกชายตัวเองถูกสองสามีภรรยากู้โม่หานกดขี่ได้ยังไง ดังนั้น ก็เลยเรียกตัวหนานหว่านเยียนเข้าวังมา แล้วจะข่มขู่นางสักหน่อย
แต่ว่าหนานหว่านเยียนไม่เพียงไม่ถูกสั่งสอน กลับมาทำให้ฮองเฮาต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอมาตอนนี้แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องคอยเกรงใจนาง นี่มันน่ารังเกียจจริง ๆ!
สายตาของกู้จิ่งซานสั่นไหวเล็กน้อย จ้องมองไปที่หนานหว่านเยียนอย่างชื่นชมและปลาบปลื้ม
“พวกหมอหลวงในวังต่างก็พากันหาสาเหตุไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ากลับพูดอย่างมีเหตุมีผลไปหมดฌญ งั้นเจ้าก็รักษาให้เจ้าสิบสามต่อไปเถอะญฝ จะต้องรักษาเจ้าสิบสามให้หายให้ได้นะ!”
พระชายาสิบกอดองค์ชายสิบสามไว้แน่น ทั้งสองคนจ้องมองไปที่หนานหว่านเยียนอย่างไม่ละสายตา ท่าทีดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
ในดวงตาหนานหว่านเยียนมีแววความหมายลึกซึ้งกะพริบผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง แล้วก็มองอย่างลำบากใจไปที่ฮองเฮาที่หน้าดำคร่ำเครียดราวกับก้นหม้อ พอมองไปแวบเดียว ก็รีบชักสายตากลับมา ทำท่าทางเหมือนรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งออกมาแล้ว ว่าต่อไปไม่ให้ลูกทำการรักษาใครอีก ถ้าคนอื่นรู้มาเรื่องเข้า จะหาว่าลูกไม่เชื่อฟัง แล้วจะทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียได้ ลูก ไม่กล้าเพคะ”
ไม่กล้าเหรอ?
กู้โม่หานจ้องมองหนานหว่านเยียนทีหนึ่ง
ยังมีอะไรที่หนานหว่านเยียนไม่กล้าทำอีก? ส่วนมากเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น
แต่ผลที่นางแสร้งทำเป็นหวาดกลัวนั้น กลับทำให้สีหน้าของฮองเฮาเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวซีด ดูย่ำแย่เหมือนกับกินหวงเหลียน(อึ่งโน้ย)เข้าไป
ทุกคำพูดที่หนานหว่านเยียนพูดออกมา หัวของนางก็จะโตขึ้นมาสามเท่า แทบอยากจะไปอุดปากอันนั้นของหนานหว่านเยียนซะ
พอเห็นแบบนี้ นางก็รีบเสแสร้งทำเป็นลำบากใจและรู้สึกผิดขึ้นมา แล้วเปิดปากพูดแต่เรื่องไม่ร้ายแรงขึ้นว่า
“ฝ่าบาท เมื่อกี้หม่อมฉันแค่เป็นห่วงองค์ชายสิบสาม และไม่รู้ว่าพระชายาอี้จะมีวิชาการรักษาที่ลึกซึ้ง ถึงได้ห้ามปรามนางไม่ให้ช่วยคน หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งจริง ๆ นะเพคะ!”
กู้จิ่งซานไม่ฟังความเห็นของคนอื่น สายตาที่โหดเหี้ยมกวาดตามองผ่านฮองเฮาไป ทุกอย่างดูเย็นชา
“ข้าไม่สนว่าเมื่อกี้พวกเจ้าพูดอะไรไปบ้าง แต่ตอนนี้ข้าได้เห็นความสามารถของพระชายาอี้เองกับตาแล้ว ข้าจะมอบเจ้าสิบสามให้พระชายาของเจ้าหกเป็นคนรักษา! ต่อไปนี้ พระชายาอี้จะมีสิทธิ์พิเศษในการช่วยชีวิตคน! ห้ามใครว่าอะไรนางทั้งนั้น ไม่งั้น ข้าจะลงโทษอย่างหนัก ฟังเข้าใจกันหรือยัง!”
กู้โม่หานได้ยินเช่นนี้ ก็หันไปมองหนานหว่านเยียนที่กำลังวางกลยุทธ์อยู่ เหมือนกับว่าวินาทีนี้ผู้หญิงคนนี้ได้หลุดพ้นจากการควบคุมของเขาแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแผนรับมือทั้งนั้น
ตอนนี้นางไม่เพียงมีไทเฮาคอยหนุนหลังอยู่ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังพูดเป็นประกาศิตให้สิทธิพิเศษนางช่วยชีวิตคนได้
แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน เขาก็ได้เห็นหนานหว่านเยียนที่น่าเวทนาในอดีต ได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ที่อยู่ในใจเขาไปทีละนิดทีละนิดแล้ว เปลี่ยนแปลงจนคนอื่นมองไม่เห็นฝุ่นเลย
พอคำพูดนี้พูดออกมา ก็ราวกับฟ้าผ่าลงมาทันที ผ่าลงมาใส่ใจของฮองเฮากับหนานชิงชิงอย่างรุนแรง
ฮองเฮาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าหนานหว่านเยียนจะโชคดีขนาดนี้ ถึงกับได้รับคำสั่งพิเศษจากฮ่องเต้ ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้! คำพูดชุดนี้ของฮ่องเต้ เห็นได้ชัดเลยว่าต้องการตักเตือนนางแทนหนานหว่านเยียน!
ต่อไปนี้ ทางด้านการแพทย์ นางจะไม่มีสิทธิ์แตะต้องอะไรหนานหว่านเยียนอีกแล้ว!
ฮองเฮาพยายามข่มความโกรธในใจเอาไว้ บนใบหน้าพยายามฝืนยิ้มออกมา “เพคะฝ่ายาท หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ เดี๋ยวจะสั่งการลงไป ต่อไปนี้ถ้ามีพระสนมคนไหนไม่สบาย จะให้ตามพระชายาอี้เข้ามาดูในวัง แบบนี้ก็สะดวกมากขึ้นเหมือนกัน”
สิ่งที่หนานหว่านเยียนต้องการก็คือคำพูดอาญาสิทธิ์ประโยคนี้ของกู้จิ่งซาน ตอนนี้นางมีสิทธิ์ที่จะเข้ามารักษาคนได้ตามหลักเกณฑ์แล้ว แถมยังได้กอบกู้ตำแหน่งของตัวเองในใจฮ่องเต้ไปด้วย ซึ่งนางก็ไม่เขินอายอีก และรีบคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณทันที
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ! ลูกจะต้องรักษาองค์ชายสิบสามให้ดีแน่นอน รับรองว่าผ่านไปสักปีหนึ่ง เขาจะต้องกลับมาแข็งแรงอย่างเด็กทั่วไปแน่นอน!”
ที่จริงแล้วสถานการณ์เมื่อกี้ ทำให้นางตกใจมากจริง ๆ
ทีแรกตอนที่ฮองเฮาออกคำสั่งว่าไม่ให้นางเข้าไปรักษา นางกะจะโต้แย้งแล้ว แต่อยู่ ๆ สวีหว่านหยิงที่อยู่ใกล้นางที่สุดก็ส่งสายตามาให้นางทีหนึ่ง
ครู่เดียวองค์ชายสิบสามก็เริ่มไออย่างรุนแรงขึ้นมา และหายใจติด ๆ ขัด ๆ
ตอนนั้นหนานหว่านเยียนยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ว่ามีชีวิตคนเป็นเดิมพัน ตอนนางเข้าไปตรวจชีพจรนั้นก็พบว่า ที่แท้องค์ชายสิบสามนั้นแกล้งป่วย
ซึ่งก็คือตอนนั้นเอง ที่นางเข้าใจสายตาของสวีหว่านหยิงขึ้นมาในพริบตาว่า……อยากให้ตัวเองถอนตัวออกไปได้อย่างปลอดภัย
และแล้ว พวกเขาสามคนก็เลยแกล้งแสดงละคร องค์ชายสิบสามเองก็ให้ความร่วมมืออย่างเป็นธรรมชาติจนมองไม่เห็นพิรุธสักนิด
แต่การมาถึงของกู้จิ่งซานกับกู้โม่หานนั้นเหมือนเป็นเหมือนจุดสำคัญ นางกับพระชายาสิบส่งบทกันไปมา แล้วเอาฮ่องเต้มาข่มฮองเฮา บังคับให้นางต้องเปลี่ยนคำพูด!
ต่อไปนางก็ไม่ต้องเป็นกังวล กับพวกเรื่องหัวโบราณที่ฮองเฮาพูดมาทั้งหมดแล้ว
ผู้คนทั้งหมดเงียบขรึมลง เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้หนานหว่านเยียนยังถูกฮองเฮาด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ดูน่าเวทนามาก
ตอนนี้สถานการณ์ของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไปแล้ว สามารถช่วยชีวิตองค์ชายสิบสามไว้ได้ และได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้ นี่มันโชคดีเกินไปแล้วมั้ง!
หนานชิงชิงกำมือไว้แน่น ความเยือกเย็นในดวงตาควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็ง
นางไม่รู้เลยว่า ในห้าปีมานี้หนานหว่านเยียนจะเปลี่ยนไปฉลาดมากขนาดนี้ ดูท่าเมื่อก่อนนางจะดูถูกหนานหว่านเยียนมากเกินไปแล้ว เรื่องราวต่อจากนี้ไป นางจะต้องระวังให้มาก ต้องเคลื่อนไหวทีเดียวแล้วจัดการศัตรูให้อยู่หมัด!
คนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่นั้น กู้จิ่งซานไม่รู้ เขาจ้องมองหนานหว่านเยียนลูกสะใภ้คนนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งชอบใจ ดวงตาเขาแฝงรอยยิ้มเอาไว้ แล้วถามขึ้นมาอย่างมีเมตตาว่า “พระชายาอี้ช่วยชีวิตองค์ชายสิบสามไว้ เป็นเรื่องที่ทำผลงานชิ้นใหญ่!ดห พูดมาเถอะ อยากได้อะไรเป็นรางวัล ข้าจะมอบให้เจ้าทุกอย่าง!”
รางวัลเหรอ?
ในสมองหนานหว่านเยียนมีแต่คำสี่คำนี้ปรากฏขึ้นมา
นางไม่คิดอะไรเลย ก็พูดโพล่งออกไปจากปากแล้ว……
“หม่อมฉันขอเหอหลี(หย่า)เพคะ!”