ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 172 แม้แต่ครึ่งปี นางก็ไม่อยากรอ
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 172 แม้แต่ครึ่งปี นางก็ไม่อยากรอ
เหอหลี(หย่า)เหรอ?!
กู้โม่หานตกตะลึงไปทันที
เขาหันหน้าไปมองหนานหว่านเยียนทันที ในดวงตาเป็นไฟโกรธและความเบื่อหน่ายที่ปิดบังไว้ไม่อยู่
ไหนคุยกันไว้ว่าครึ่งปีไม่ใช่เหรอ ทำไมผู้หญิงคนนี้แค่ครึ่งปีก็รอไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ก็ร้อนใจจนทนไม่ไหวจนต้องขอฮ่องเต้ให้นางได้หย่าแล้วเหรอ?!
และที่สำคัญ ทำไมนางถึงได้กล้าเอ่ยขอไปตรง ๆ เลย?
“หนานหว่านเยียน อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เจ้าไม่มีสิทธิ์มาล้อเล่นนะ?”
สีหน้าทุกคนล้วนดูไม่เหมือนกัน ในใจต่างก็เกิดความคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมายกัน
พวกเขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? หนานหว่านเยียนคนที่รักกู้โม่หานรักจนแทบเป็นแทบตายคนนั้น พูดว่าจะขอหย่าเหรอ?!
เจียงหรูเยว่รู้สึกอยากจะลองดีขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าหนานหว่านเยียนหย่าขึ้นมาจริง ๆ งั้นนางก็มีโอกาสแล้วใช่ไหม?
สีหน้าของกู้จิ่งซานมืดมนไปทันที ไม่มีแววดีใจให้เห็นแล้วสักนิด
เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง แล้วตำหนิเสียงขรึมขึ้นว่า
“ไร้สาระ! การแต่งงานของราชวงศ์จะให้เจ้ามาเล่นได้ง่าย ๆ หรือ? ! หย่างั้นหรือ? นี่มันเรื่องไร้สาระมากจริง ๆ!”
หนานหว่านเยียนเห็นสีหน้าฮ่องเต้เปลี่ยนไปในพริบตา ก็แอบคิดขึ้นมาว่าแย่แล้ว ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินฮองเฮาเปิดปากพูดขึ้นมาอย่างตกตะลึง และแฝงความเย็นชาไว้เล็กน้อย
“พระชายาอี้ เจ้าเป็นผู้หญิงของราชวงศ์ แต่กลับอยากจะหย่า นี่มันระบบแบบไหนกัน?!”
ถึงแม้ว่า การที่หนานหว่านเยียนจะหย่ากับกู้โม่หาน นางจะไม่ได้สนใจอะไร แถมสำหรับนางแล้ว ยังเป็นโอกาสดีมากต่อกู้โม่เฟิงด้วย!
สามีภรรยาคู่นี้ไม่สามัคคีกัน สำหรับกู้โม่เฟิงแล้วไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร
หนานชิงชิงที่อยู่ข้าง ๆ เหล่มองกู้โม่หานทีหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ดวงตาดูลึกซึ้งเล็กน้อย
ถ้าการแต่งงานของหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานไม่ได้แต่งเพราะโดนบีบบังคับ กู้โม่หานจะทนหนานหว่านเยียนมานานถึงห้าปีแล้วไม่ปลดนางออกได้ยังไง? ยังต้องให้หนานหว่านเยียนมาขอหย่าอีก?
ที่สำคัญ เป็นเรื่องแต่งงานของราชวงศ์ โดยเฉพาะหนานหว่านเยียนยังคนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับกู้โม่หานอีก ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าห้ามหย่า และห้ามปลดออกจากการเป็นภรรยาด้วย หนานหว่านเยียนยัยโง่นี่ ยังกล้ามาขอหย่าต่อหน้าผู้คนอีก ไม่ทำให้ฮ่องเต้กริ้วโกรธซิถึงจะแปลก!
ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันหนานหว่านเยียนก็เคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวังมาไม่น้อย แต่ตอนนี้พอได้มาอยู่ในสถานการณ์จริงแล้วถึงรู้สึกถึงความรุนแรงของระบบ คำพูดประโยคนี้ของนาง ราวกับเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่ทำให้เกิดคลื่นน้ำขึ้นมามากมาย ท่าทีของทุกคนเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
พอนางตั้งสติขึ้นมาได้ ก็รีบรับมือกับเรื่องนี้ขึ้นมาทันที แล้วพูดกับกู้จิ่งซานขึ้นว่า “เสด็จพ่อเข้าใจผิดแล้วเพคะ เมื่อกี้ลูกบอกว่าจะขอ‘เห้อหลี่(ของขวัญ)’ ไม่ได้ขอเหอหลี(หย่า)”
ดวงตากู้จิ่งซานเคร่งขรึมเล็กน้อย สวีหว่านหยิงกับองค์ชายสิบสามมองหน้ากันแล้วยิ้มขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วเอ่ยปากปกป้องขึ้นมาทีละคน
“กราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อกี้ลูกก็ได้ยินพี่สะใภ้หกบอกว่าของขวัญ ไม่ใช่ขอหย่าพ่ะย่ะค่ะ”
“น้องสิบสามเองได้ยินเหมือนกัน! เสด็จพ่อ พี่สะใภ้หกเป็นห่วงเป็นใยพี่หกขนาดนี้ จะทำใจขอหย่าได้ยังไงเพคะ?”
องค์ชายสิบสามดูเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ทำให้คนเห็นแล้วก็รู้สึกว่าจริงใจไร้ขอบเขต
สำหรับสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวานในตอนนี้กู้โม่หานไม่แปลกใจเลยสักนิด พอได้ยินหนานหว่านเยียนเล่นลิ้น ดวงตาดำลึกซึ้งของเขามีแววความหมายไม่ชัดเจนพาดผ่านไป สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวนาง
ท่าทีของฮ่องเต้ผ่อนคลายลง “ของขวัญ? เจ้าอยากได้ของขวัญอะไร?”
หนานหว่านเยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “อีกไม่นานจะเป็นวันเกิดของท่านอ๋องแล้ว ลูกอยากมอบของขวัญอย่างหนึ่งให้ท่านอ๋อง แต่พอครุ่นคิดดูดี ๆ แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมอบอะไรให้ท่านอ๋องดี”
“ก็เลยจะถือโอกาสนี้ อยากขอของขวัญชิ้นหนึ่งกับเสด็จพ่อ เพื่อมอบให้ท่านอ๋องเพคะ”
นางพูดขั้นอย่างใจกว้าง พยายามพูดโกหกไปให้สมบูรณ์แบบ
ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมีเรื่องเกี่ยวกับวันเกิดของอ๋องสุนัขคนนี้ ไม่งั้นของขวัญอันนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะขอมาให้ใครดี
หนานหว่านเยียนให้ของขวัญวันเกิดเขาเป็นด้วยเหรอ?
สายตาเย็นชาของกู้โม่หานสั่นไหวเล็กน้อย
คนอื่นไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่จากที่อยู่ด้วยกันมาในช่วงนี้ เขาคิดว่าตัวเองรู้จักนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปของหนานหว่านเยียนพอสมควรแล้ว
นี่จะต้องเป็นคำพูดที่หนานหว่านเยียนใช้มากอบกู้สถานการณ์แน่
ฮองเฮาสบตากับหนานชิงชิงทีหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีก ในเมื่อ
ลูกตาของเจียงหรูเยว่จ้องจนแทบจะถลนออกมาแล้ว เมื่อกี้หนานหว่านเยียนพูดว่าจะหย่าชัด ๆ? ทำไมคนพวกนี้ถึงหูหนวกไปได้? หรือนางได้ยินผิดไปเหรอ?
ความนี้หัวคิ้วของกู้จิ่งซานถึงจะผ่อนคลายลง พอลบล้างความสงสัยในใจไป อารมณ์ก็ยิ่งดีมากยิ่งขึ้น
เขาพยักหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มีมากยิ่งขึ้น “ได้ นาน ๆ ข้าจะได้เห็นเจ้ากับเจ้าหกมีความรักฉันสามีภรรยาต่อกันสักที”
“ในเมื่อเป็นน้ำใจของเจ้า งั้นข้าก็ไม่อาจทำลายหน้าตาของเจ้า”
“ทหาร! ตกรางวัล! ในเมื่ออ๋องอี้และพระชายาอี้มีความรักที่มั่นคง ข้าก็จะมอบห่วงหยกหงส์ห้อยพู่ลั่วอิงคู่หนึ่งให้!”
หนานหว่านเยียนจ้องมองกู้โม่หานทีหนึ่ง เขาไม่ฉีกหน้า ทั้งสองคนรับห่วงหยกไปจากมือของคนในวัง
ห่วงหยกมังกรเขียวดั่งป่าเขียวชอุ่ม จุดเด่นที่สุดอยู่ที่สีแดงทองบนหัว ส่วนหางหงส์อีกแผ่นมีสีม่วงดอกไวโอเล็ต ราวกับมีดอกไม้สีฟ้าล่องลอยอยู่
กู้จิ่งซานจ้องมองไปที่สามีภรรยาคู่นี้ด้วยดวงตามีรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเจ้าช่วยใส่ให้กันเถอะ ห่วงหยกอันนี้มีความหมายยิ่งนัก ต่อไปห้ามถอดออกไปง่าย ๆ ทุกครั้งที่เข้าวังมา จ้าจะต้องได้เห็นมัน”
สีหน้าของหนานหว่านเยียนแข็งทื่อไปทันที
เจ้าหมอนี่ นางไม่สามารถหย่าได้ก็ช่างเถอะ ยังต้องมามีภาระเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่งอีก
กู้โม่หานหยิบห่วงหยกหางหงส์แผ่นหนึ่งขึ้นมาก่อน แล้วพูดอย่างเรียบเฉยกับหนานหว่านเยียนขึ้นว่า “ข้าจะใส่ให้เจ้าก่อนเอง”
เขาก้มหน้าก้มตา ช่วยผูกห่วงหยกแผ่นนั้นที่เอวหนานหว่านเยียนอย่างระมัดระวัง ในท่วงท่าสุดท้ายใช้แรงมากเป็นพิเศษ ดึงที่ผ้าคาดเอวหนานหว่านเยียนอย่างแรงทีหนึ่ง จนดึงตัวนางเข้ามาใกล้ตัวเองเป็นอย่างมาก
จากนั้น เขาก็ใช้น้ำเสียงที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยินพูดขึ้น “นี่เจ้าอยากตายมากใช่ไหม ถึงกล้าพูดว่าจะขอหย่า เดี๋ยวกลับไปถึงจวนอ๋อง ข้าจะจัดการเจ้าให้ดี ๆ เอง!”
พอเอวถูกดึงแน่น หนานหว่านเยียนก็รู้สึกเจ็บ ยิ่งพอได้ยินคำพูดข่มขู่ของเขา แล้วยิ้มอย่างฝืดเคืองมองไปที่กู้โม่หาน ไม่ตอบแต่กลับถามขึ้นว่า
“ท่านอ๋องผูกเสร็จแล้วใช่ไหมเจ้าคะ? งั้นควรถึงตาข้าช่วยท่านอ๋องผูกบ้างแล้ว”
กู้โม่หานลูกขึ้นมา “อืม เจ้าผูกซิ”
นิ้วมือเรียวยาวของหนานหว่านเยียนกุลีกุจออยู่ที่เอวกู้โม่หาน ช่วยผูกห่วงหยกให้กับเขา
นางใช้แรงทั้งหมดที่มี มากกว่าแรงที่กู้โม่หานใช้ดึงเมื่อกี้อีกหลายส่วน มือทั้งคู่ดึงอย่างรุนแรงขึ้นมาทีหนึ่ง
คางของชายหนุ่มชนเข้ากับหน้าอกของนางอย่างจัง เขาสูดลมเย็น ๆ เข้าไปทีหนึ่ง
ตอนที่ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ดวงตาของทั้งสองสบเข้ากันล้วนเต็มไปด้วยความเฉียบขาด
แต่คนอื่นกลับรู้สึกว่าทั้งสองคนกำลังหยอกเย้ากันอยู่
หนานชิงชิงดวงตากระตุกวูบ ในใจทั้งเยือกเย็นและเหน็บหนาว
กู้โม่หานเคยดีกับหนานหว่านเยียนแบบนี้เมื่อไหร่กัน? หรือว่าเขาจะ……
ส่วนกู้โม่หานพอชนเข้ากับหนานหว่านเยียนแล้ว ก็ถลึงตาอย่างแรงใส่นางทีหนึ่ง พอเห็นว่าบนหน้าผากนางก็มีรอยแดงเล็ก ๆ ก็ยิ้มเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “คิดร้ายกับคนอื่นตัวเองก็ต้องซวยไปด้วย สมน้ำหน้า!”
หนานหว่านเยียนไม่ได้สนใจ หมุนตัวไปทำความเคารพให้กู้จิ่งซาน “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกชอบห่วงหยกนี่มากเพคะ”
กู้โม่หานเองก็กล่าวขอบคุณขึ้นมา “ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จิ่งซานสะบัดมือขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “ขอแค่พวกเจ้าสามีภรรยาปรองดองกัน มันก็สำคัญกว่าทุกอย่างแล้ว”
กู้โม่หานได้ยินเช่นนี้ ก็มองหนานหว่านเยียนด้วยท่าทีที่ซับซ้อนทีหนึ่ง
เขากับหนานหว่านเยียนจะเป็นสามีภรรยาที่ปรองดองกันได้ยังไง?
แต่ว่า เมื่อกี้ตอนที่นางพูดว่าจะขอหย่าออกมานั้น ใจของเขาก็กลัดกลุ้มแล้วโกรธเคืองขึ้นมา แถมยังรู้สึกไม่สบายใจด้วย……
น่าขำจริง ๆ เมื่อกี้เขากลับรู้สึกกลัวว่า หนานหว่านเยียนจะหย่ากับเขาจริง
ส่วนหนานหว่านเยียนก็เล่นห่วงหยกไป นางคิดขึ้นในใจว่า เรื่องหย่ามันเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
แต่น่าเสียดายอยู่กับราชาก็เหมือนอยู่กับเสือ เรื่องราวในวันนี้นางได้รับบทเรียนอย่างดีครั้งหนึ่งแล้ว และได้เคาะระฆังแจ้งเตือนเอาไว้แล้ว ต่อไปจะต้องไม่เอ่ยเรื่องแบบนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ง่าย ๆ อีก
ดูท่า นางคงจะต้องอดทนอยู่จนครบกำหนดเวลาที่คุยไว้กับกู้โม่หาน ถึงจะหย่าได้ และจะได้สลัดกู้โม่หานทิ้งสักที……