ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 176 ในที่สุดก็รู้จักสำนึก
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 176 ในที่สุดก็รู้จักสำนึก
พบคนคนหนึ่ง?
หรือจะไปพบมารดาของกู้โม่หานเหรอ?
ใจของหนานหว่านเยียนอยู่ ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าจะพาข้าไปพบใคร……”
นางยังไม่ทันได้พูดจบ ตรงข้อมือก็รู้สึกแน่นขึ้นมา กู้โม่หานได้จับมือหนานหว่านเยียนไว้แล้วลากเดินไปทางหนึ่งแล้ว
ในดวงตาเขาแฝงความเกลียดและความมืดมนเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่หนานหว่านเยียนเห็นเขาเป็นเช่นนี้ รอบตัวแฝงความเยือกเย็นที่ทำให้คนหวาดกลัว
ดวงตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย แล้วไม่พูดอะไรอีก
ไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าตำหนักที่งดงามแห่งหนึ่ง บนประตูสลักคำว่า“ตำหนักอู๋ขู่”สามคำเอาไว้ ดูแข็งแรงและทรงพลัง
กู้โม่หานไม่ได้ให้โอกาสหนานหว่านเยียนได้หยุดหายใจ แล้วลากตัวนางเข้าไปข้างในเลย
ในตำหนัก หวางหมัวมัวที่กำลังทำความสะอาดอยู่ พอเห็นกู้โม่หานมา ก็รีบเช็ดไม้เช็ดมือ ยิ้มหน้าระรื่นขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ
“ท่านอ๋อง! ทำไมมาเช้าขนาดนี้เลยละเจ้าคะ เหนื่อยหรือเปล่า? เร็วเร็ว รีบเข้าไปนั่งก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
หวางหมัวมัวพูดไปแล้ว ก็เห็นหนานหว่านเยียนที่อยู่ด้านหลัวกู้โม่หาน แววตาที่ดีอกดีใจในตอนแรกมีความเย็นเข้ามาปกคลุมชั้นหนึ่งพอดี
ถึงแม้ว่าดวงตาของผู้หญิงตรงหน้าจะดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่คนของตระกูลหนาน ใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนผีร้ายพวกนั้น ถึงจะกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว นางก็ยังดูออกอยู่ดี!
“ท่านอ๋อง! ท่าน ท่านพานางมาทำไมเจ้าคะ! นางเป็นศัตรูที่ไม่มีวันให้อภัยได้ของตำหนักอู๋ขู่เรา เป็นศัตรูของท่าน เป็นศัตรูของหยีเฟยเหนียงเหนียงนะเจ้าคะ!”
หนานหว่านเยียนจ้องมองหวางหมัวมัวที่มีไรผมสีขาวทั้งสองข้าง แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดขึ้นมา
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้นางก็นึกว่ามีแต่กู้โม่หานคนเดียวเท่านั้นที่เกลียดนาง แต่ที่แท้ แม้แต่คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายหยีเฟยก็ยังมีท่าทางเหมือนอยากสับนางให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น
บนใบหน้าคมคายราวแกะสลักมาของกู้โม่หานเต็มไปด้วยความเกลียด และยังจับข้อมือหนานหว่านเยียนไว้ตลอด
“แค้นจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย ข้าไม่เคยลืม วันนี้ข้าจะให้นางได้เห็นสักหน่อย ว่าตกลงตระกูลหนานทำอะไรท่านแม่ไว้บ้าง!”
“ท่านอ๋อง……” หวางหมัวมัวอยากเปิดปากพูดห้ามปราม ไม่อยากให้คนของตระกูลหนานมาปรากฏกายที่ห้องนอนนี้ แต่กู้โม่หานกลับพาหนานหว่านเยียนเดินไปทางห้องนอนของหยีเฟยแล้ว
หวางหมัวมัวทำได้แค่อดทน และตามหลังไปภายใต้การพยุงของสาวใช้ ความเกลียดและความรังเกียจที่มีต่อหนานหว่านเยียนในดวงตานั้นไม่ได้ลดละลงไปเลย
ทุกที่ที่หนานหว่านเยียนเดินผ่าน สายตาเย็นชาของพวกคนรับใช้ที่ไม่ว่าจะงานยุ่งอยู่หรือว่างงานอยู่ ต่างก็จับจ้องมาที่นางคนนี้ “ผู้หญิงบาป”
สถานการณ์แบบนี้ ช่างแตกต่างกับตอนที่เข้าไปที่ค่ายเสินเชื่อกับกู้โม่หานโดยสิ้นเชิง
นิ้วมือของหนานหว่านเยียนกำแน่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งถูกกู้โม่หานพาเข้าไปในห้องของหยีเฟย แล้วเห็นผู้หญิงที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง
จิตใจของนางเกรงกลัวเป็นอย่างมาก!
ร่างกายของหยีเฟยผอมแห้งราวกับไม้ไผ่ กล้ามเนื้อก็ลีบลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าสองแก้มตอบเป็นหลุมลึก ราวกับเป็นมัมมี่
นางหายใจรวยริน นอนสงบนิ่งอยู่แบบงั้น ต้องให้คนมาคอยดูแลปรนนิบัติทุกอย่าง การใช้ชีวิตประจำวันทุกอย่างต้องผ่านมือคนอื่นทั้งนั้น สำหรับพระสนมคนหนึ่งที่เคยสูงส่งสง่ามีเกียรติแล้ว มันเป็นการตกนรกชะมัด
สำหรับญาติพี่น้องแล้ว ก็เป็นการทรมานอย่างหนึ่ง
นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองกู้โม่หานเล็กน้อย ด้วยท่าทีซับซ้อน
หนานฉีซานจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เลยเหรอ ทำให้คนคนหนึ่งตายไปเลยยังพอว่า อย่างน้อยก็จบสิ้นกันไปไม่ต้องมาคอยกังวลอะไร แต่ตอนนี้เป็นแบบนี้ ไม่เพียงหยีเฟยคนเดียวที่ต้องทนลำบาก
แต่ว่า ทำไมหนานฉีซานต้องทำแบบนี้ด้วย? ต้องมาลงมือกับพระสนมคนหนึ่งที่ไม่มีทางสู้เลยเหรอ? มีความหมายอะไรกัน?
กู้โม่หานจ้องเขม็งมองไปที่ใบหน้าซูบผอมของหยีเฟย หัวใจราวกับถูกมีดกรีด บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และกัดฟันไว้แน่น
“หนานหว่านเยียน เจ้าเป็นลูกสาวที่หนานฉีซานรักที่สุด พ่อของเจ้าเพราะต้องการอำนาจ จนทำให้ท่านแม่ข้ากลายเป็นคนแบบนี้ ผีก็ไม่ใช่ผี เจ้าว่า ข้าควรจะเกลียดเจ้ายังไงดี?!”
ตอนนั้น ท่านแม่ดื่มของที่หนานฉีซานส่งมาให้ จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ทุกคนล้วนพูดว่า หนานเฉิงเซี่ยงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ แต่เป็นเพราะว่าหยีเฟยไม่ระวังกินของผิดไปเอง แต่กู้โม่หานมองเห็นชัดเจน ตอนนั้นบนใบหน้าเจ้าคนชั้นต่ำหนานฉีซานมีแววซะใจและดุร้ายพาดผ่านไป
หนานฉีซานจะต้องมีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่ในมือเขาไม่มีหลักฐานเท่านั้น
มาวันนี้เขาเติบโตขึ้นมาแล้ว ในมือมีอำนาจที่มั่นคงแล้ว และอยากขจัดหนานฉีซานทิ้งมาตลอด แต่ว่าอำนาจของมันลึกซึ้งกว่าที่เขาคาดคิดมาตลอด ตอนนี้จึงทำอะไรมันไม่ได้
แต่ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะต้องทำให้หัวของหนานฉีซาน และหัวของพวกคนตระกูลหนานที่ทำบาปอย่างมหันไว้ตกลงสู่พื้น เพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่แน่!
ดวงตาของหนานหว่านเยียนสั่นไหวขึ้น จ้องมองไปที่กู้โม่หาน อย่างพูดอะไรไม่ออกเลย
เรื่องอะไรก็อย่าทำเกินไป ควรเหลือทางรอดไว้บ้าง ที่พูดมา บางทีอาจจะหมายถึงนางกับกู้โม่หานก็ได้
หวางหมัวมัวตาแดงขึ้นมาทันที เห็นหยีเฟยเหนียงเหนียงมีสภาพแบบนี้ ไม่ว่านางจะเห็นกี่ครั้ง ก็รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเปลี่ยนไปใช้สายตาเกลียดชังมองไปที่หนานหว่านเยียน แทบอยากจะเอาหนานหว่านเยียนไปเผาไหม้ให้ปุ๋ยผงซะ
“หยีเฟยเหนียงเหนียง นอนมานานเป็นสิบปีแล้ว แต่ละวันต้องพึ่งพาแค่อาหารเหลวบวกน้ำซุปบางอย่างมารักษาชีวิตไว้ แต่ร่างกายของพระสนมก็เสื่อมลงไปทุกวัน! ข้าน้อยติดตามพระสนมมาเป็นเวลาสามสิบปี พระสนมเป็นคนดีมากมาย ก่อนจะเข้าวังมาก็มักจะทำแต่เรื่องดี ๆ”
“ถึงพระสนมจะเข้าวังมาแล้ว และมีท่านอ๋องออกมา นิสัยกับจิตใจก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แถมยังไม่เคยดุด่าหรือตบตีนางกำนัลหรือขันทีคนไหนมาก่อน จิตใจเอาแต่รักและปกป้องท่านอ๋อง ก่อนนอนทุกคืนก็จะเล่านิทานให้ท่านอ๋องฟัง บอกกับเขา ถึงเรื่องทิวทัศน์ที่งดงามของบ้านเกิดพระสนม ยังมีที่ที่พระสนมกลับไปไม่ได้อีกแล้วด้วย”
“ทีแรกทุกอย่างสวยงาม ท่านอ๋องก็สามารถเติบโตโดยมีพระสนมคอยเคียงข้างได้ ชีวิตจะไม่มีสิ่งที่ขาดหาย แต่ทุกอย่าง ทุกอย่างนี้ กลับถูกตระกูลหนานของพวกเจ้าทำลายไปหมด……!”
ทุกคำกล่าวโทษของหวางหมัวมัว ติดอยู่ในใจหนานหว่านเยียนทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด แค่รู้สึกว่าต้องมาทนรับความเกลียดของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล ชีวิตมันมีลำบากเกินไปแล้วมั้ง
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้……”
ไม่ได้จะแก้ตัวให้กับตัวเอง แต่นางไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนจริง ๆ หยีเฟยเกิดเรื่องขึ้นมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น จะมาเข้าใจเรื่องน่ากลัวพวกนี้ได้ยังไง?
“เจ้าไม่รู้หรือ?!” กู้โม่หานเหมือนเป็นหิมะที่ถูกเหยียบ ยื่นมือไปจับอยู่ตรงหัวใจของหนานหว่านเยียน ทุกคำพูดราวกับมีด
“หนานหว่านเยียน สิบกว่าปีแล้ว เรื่องชั่วร้ายที่ตระกูลหนานของพวกเจ้าทำไว้ เจ้าจะไม่รู้ได้ยังไง? ในจวนเฉิงเซี่ยง มีใครที่ไม่ใช่เสือดาวเสือโคร่งบ้าง?!”
เรียวปากของหนานหว่านเยียนสั่นไหว นางพึมพำอยากจะพูดอะไร แต่อยู่ต่อหน้าผู้เสียหาย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง แต่เป็นเรื่องชั่วร้ายที่พ่อของเจ้าของร่างเดิมก่อไว้
นางลองเปลี่ยนไปคิดในมุมของคนอื่นดู ถ้าพ่อของกู้โม่หานมาทำให้แม่ของนาง หรือลูกทั้งสองของนางกลายเป็นคนเจ้าหญิงนิทราไป
ความเกลียดที่นางมีต่อคนในครอบครัวกู้โม่หาน อาจจะรุนแรงมากกว่านี้
“ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ? ในที่สุดก็รู้สึกสำนึกผิดแล้วเหรอ?” พอกู้โม่หานเห็นว่าผ่านไปนานนางก็ไม่ยอมพูดอะไร ก็ยิ่งจับนางแน่นมากขึ้น
เขาจ้องมองดวงตาของนางไว้ บนใบหน้าหล่อเหลามีแววรีบร้อนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
“หนานหว่านเยียน ถ้าเจ้าช่วยท่านแม่ข้ากลับมาได้ ความคับแค้นใจในอดีต ข้าสามารถล้มเลิกกันไปทุกอย่างกับเจ้าได้……”
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 176 ในที่สุดก็รู้จักสำนึก
พบคนคนหนึ่ง?
หรือจะไปพบมารดาของกู้โม่หานเหรอ?
ใจของหนานหว่านเยียนอยู่ ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าจะพาข้าไปพบใคร……”
นางยังไม่ทันได้พูดจบ ตรงข้อมือก็รู้สึกแน่นขึ้นมา กู้โม่หานได้จับมือหนานหว่านเยียนไว้แล้วลากเดินไปทางหนึ่งแล้ว
ในดวงตาเขาแฝงความเกลียดและความมืดมนเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่หนานหว่านเยียนเห็นเขาเป็นเช่นนี้ รอบตัวแฝงความเยือกเย็นที่ทำให้คนหวาดกลัว
ดวงตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย แล้วไม่พูดอะไรอีก
ไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าตำหนักที่งดงามแห่งหนึ่ง บนประตูสลักคำว่า“ตำหนักอู๋ขู่”สามคำเอาไว้ ดูแข็งแรงและทรงพลัง
กู้โม่หานไม่ได้ให้โอกาสหนานหว่านเยียนได้หยุดหายใจ แล้วลากตัวนางเข้าไปข้างในเลย
ในตำหนัก หวางหมัวมัวที่กำลังทำความสะอาดอยู่ พอเห็นกู้โม่หานมา ก็รีบเช็ดไม้เช็ดมือ ยิ้มหน้าระรื่นขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ
“ท่านอ๋อง! ทำไมมาเช้าขนาดนี้เลยละเจ้าคะ เหนื่อยหรือเปล่า? เร็วเร็ว รีบเข้าไปนั่งก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
หวางหมัวมัวพูดไปแล้ว ก็เห็นหนานหว่านเยียนที่อยู่ด้านหลัวกู้โม่หาน แววตาที่ดีอกดีใจในตอนแรกมีความเย็นเข้ามาปกคลุมชั้นหนึ่งพอดี
ถึงแม้ว่าดวงตาของผู้หญิงตรงหน้าจะดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่คนของตระกูลหนาน ใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนผีร้ายพวกนั้น ถึงจะกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว นางก็ยังดูออกอยู่ดี!
“ท่านอ๋อง! ท่าน ท่านพานางมาทำไมเจ้าคะ! นางเป็นศัตรูที่ไม่มีวันให้อภัยได้ของตำหนักอู๋ขู่เรา เป็นศัตรูของท่าน เป็นศัตรูของหยีเฟยเหนียงเหนียงนะเจ้าคะ!”
หนานหว่านเยียนจ้องมองหวางหมัวมัวที่มีไรผมสีขาวทั้งสองข้าง แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดขึ้นมา
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้นางก็นึกว่ามีแต่กู้โม่หานคนเดียวเท่านั้นที่เกลียดนาง แต่ที่แท้ แม้แต่คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายหยีเฟยก็ยังมีท่าทางเหมือนอยากสับนางให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น
บนใบหน้าคมคายราวแกะสลักมาของกู้โม่หานเต็มไปด้วยความเกลียด และยังจับข้อมือหนานหว่านเยียนไว้ตลอด
“แค้นจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย ข้าไม่เคยลืม วันนี้ข้าจะให้นางได้เห็นสักหน่อย ว่าตกลงตระกูลหนานทำอะไรท่านแม่ไว้บ้าง!”
“ท่านอ๋อง……” หวางหมัวมัวอยากเปิดปากพูดห้ามปราม ไม่อยากให้คนของตระกูลหนานมาปรากฏกายที่ห้องนอนนี้ แต่กู้โม่หานกลับพาหนานหว่านเยียนเดินไปทางห้องนอนของหยีเฟยแล้ว
หวางหมัวมัวทำได้แค่อดทน และตามหลังไปภายใต้การพยุงของสาวใช้ ความเกลียดและความรังเกียจที่มีต่อหนานหว่านเยียนในดวงตานั้นไม่ได้ลดละลงไปเลย
ทุกที่ที่หนานหว่านเยียนเดินผ่าน สายตาเย็นชาของพวกคนรับใช้ที่ไม่ว่าจะงานยุ่งอยู่หรือว่างงานอยู่ ต่างก็จับจ้องมาที่นางคนนี้ “ผู้หญิงบาป”
สถานการณ์แบบนี้ ช่างแตกต่างกับตอนที่เข้าไปที่ค่ายเสินเชื่อกับกู้โม่หานโดยสิ้นเชิง
นิ้วมือของหนานหว่านเยียนกำแน่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งถูกกู้โม่หานพาเข้าไปในห้องของหยีเฟย แล้วเห็นผู้หญิงที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง
จิตใจของนางเกรงกลัวเป็นอย่างมาก!
ร่างกายของหยีเฟยผอมแห้งราวกับไม้ไผ่ กล้ามเนื้อก็ลีบลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าสองแก้มตอบเป็นหลุมลึก ราวกับเป็นมัมมี่
นางหายใจรวยริน นอนสงบนิ่งอยู่แบบงั้น ต้องให้คนมาคอยดูแลปรนนิบัติทุกอย่าง การใช้ชีวิตประจำวันทุกอย่างต้องผ่านมือคนอื่นทั้งนั้น สำหรับพระสนมคนหนึ่งที่เคยสูงส่งสง่ามีเกียรติแล้ว มันเป็นการตกนรกชะมัด
สำหรับญาติพี่น้องแล้ว ก็เป็นการทรมานอย่างหนึ่ง
นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองกู้โม่หานเล็กน้อย ด้วยท่าทีซับซ้อน
หนานฉีซานจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เลยเหรอ ทำให้คนคนหนึ่งตายไปเลยยังพอว่า อย่างน้อยก็จบสิ้นกันไปไม่ต้องมาคอยกังวลอะไร แต่ตอนนี้เป็นแบบนี้ ไม่เพียงหยีเฟยคนเดียวที่ต้องทนลำบาก
แต่ว่า ทำไมหนานฉีซานต้องทำแบบนี้ด้วย? ต้องมาลงมือกับพระสนมคนหนึ่งที่ไม่มีทางสู้เลยเหรอ? มีความหมายอะไรกัน?
กู้โม่หานจ้องเขม็งมองไปที่ใบหน้าซูบผอมของหยีเฟย หัวใจราวกับถูกมีดกรีด บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และกัดฟันไว้แน่น
“หนานหว่านเยียน เจ้าเป็นลูกสาวที่หนานฉีซานรักที่สุด พ่อของเจ้าเพราะต้องการอำนาจ จนทำให้ท่านแม่ข้ากลายเป็นคนแบบนี้ ผีก็ไม่ใช่ผี เจ้าว่า ข้าควรจะเกลียดเจ้ายังไงดี?!”
ตอนนั้น ท่านแม่ดื่มของที่หนานฉีซานส่งมาให้ จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ทุกคนล้วนพูดว่า หนานเฉิงเซี่ยงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ แต่เป็นเพราะว่าหยีเฟยไม่ระวังกินของผิดไปเอง แต่กู้โม่หานมองเห็นชัดเจน ตอนนั้นบนใบหน้าเจ้าคนชั้นต่ำหนานฉีซานมีแววซะใจและดุร้ายพาดผ่านไป
หนานฉีซานจะต้องมีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่ในมือเขาไม่มีหลักฐานเท่านั้น
มาวันนี้เขาเติบโตขึ้นมาแล้ว ในมือมีอำนาจที่มั่นคงแล้ว และอยากขจัดหนานฉีซานทิ้งมาตลอด แต่ว่าอำนาจของมันลึกซึ้งกว่าที่เขาคาดคิดมาตลอด ตอนนี้จึงทำอะไรมันไม่ได้
แต่ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะต้องทำให้หัวของหนานฉีซาน และหัวของพวกคนตระกูลหนานที่ทำบาปอย่างมหันไว้ตกลงสู่พื้น เพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่แน่!
ดวงตาของหนานหว่านเยียนสั่นไหวขึ้น จ้องมองไปที่กู้โม่หาน อย่างพูดอะไรไม่ออกเลย
เรื่องอะไรก็อย่าทำเกินไป ควรเหลือทางรอดไว้บ้าง ที่พูดมา บางทีอาจจะหมายถึงนางกับกู้โม่หานก็ได้
หวางหมัวมัวตาแดงขึ้นมาทันที เห็นหยีเฟยเหนียงเหนียงมีสภาพแบบนี้ ไม่ว่านางจะเห็นกี่ครั้ง ก็รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเปลี่ยนไปใช้สายตาเกลียดชังมองไปที่หนานหว่านเยียน แทบอยากจะเอาหนานหว่านเยียนไปเผาไหม้ให้ปุ๋ยผงซะ
“หยีเฟยเหนียงเหนียง นอนมานานเป็นสิบปีแล้ว แต่ละวันต้องพึ่งพาแค่อาหารเหลวบวกน้ำซุปบางอย่างมารักษาชีวิตไว้ แต่ร่างกายของพระสนมก็เสื่อมลงไปทุกวัน! ข้าน้อยติดตามพระสนมมาเป็นเวลาสามสิบปี พระสนมเป็นคนดีมากมาย ก่อนจะเข้าวังมาก็มักจะทำแต่เรื่องดี ๆ”
“ถึงพระสนมจะเข้าวังมาแล้ว และมีท่านอ๋องออกมา นิสัยกับจิตใจก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แถมยังไม่เคยดุด่าหรือตบตีนางกำนัลหรือขันทีคนไหนมาก่อน จิตใจเอาแต่รักและปกป้องท่านอ๋อง ก่อนนอนทุกคืนก็จะเล่านิทานให้ท่านอ๋องฟัง บอกกับเขา ถึงเรื่องทิวทัศน์ที่งดงามของบ้านเกิดพระสนม ยังมีที่ที่พระสนมกลับไปไม่ได้อีกแล้วด้วย”
“ทีแรกทุกอย่างสวยงาม ท่านอ๋องก็สามารถเติบโตโดยมีพระสนมคอยเคียงข้างได้ ชีวิตจะไม่มีสิ่งที่ขาดหาย แต่ทุกอย่าง ทุกอย่างนี้ กลับถูกตระกูลหนานของพวกเจ้าทำลายไปหมด……!”
ทุกคำกล่าวโทษของหวางหมัวมัว ติดอยู่ในใจหนานหว่านเยียนทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด แค่รู้สึกว่าต้องมาทนรับความเกลียดของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล ชีวิตมันมีลำบากเกินไปแล้วมั้ง
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้……”
ไม่ได้จะแก้ตัวให้กับตัวเอง แต่นางไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนจริง ๆ หยีเฟยเกิดเรื่องขึ้นมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น จะมาเข้าใจเรื่องน่ากลัวพวกนี้ได้ยังไง?
“เจ้าไม่รู้หรือ?!” กู้โม่หานเหมือนเป็นหิมะที่ถูกเหยียบ ยื่นมือไปจับอยู่ตรงหัวใจของหนานหว่านเยียน ทุกคำพูดราวกับมีด
“หนานหว่านเยียน สิบกว่าปีแล้ว เรื่องชั่วร้ายที่ตระกูลหนานของพวกเจ้าทำไว้ เจ้าจะไม่รู้ได้ยังไง? ในจวนเฉิงเซี่ยง มีใครที่ไม่ใช่เสือดาวเสือโคร่งบ้าง?!”
เรียวปากของหนานหว่านเยียนสั่นไหว นางพึมพำอยากจะพูดอะไร แต่อยู่ต่อหน้าผู้เสียหาย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง แต่เป็นเรื่องชั่วร้ายที่พ่อของเจ้าของร่างเดิมก่อไว้
นางลองเปลี่ยนไปคิดในมุมของคนอื่นดู ถ้าพ่อของกู้โม่หานมาทำให้แม่ของนาง หรือลูกทั้งสองของนางกลายเป็นคนเจ้าหญิงนิทราไป
ความเกลียดที่นางมีต่อคนในครอบครัวกู้โม่หาน อาจจะรุนแรงมากกว่านี้
“ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ? ในที่สุดก็รู้สึกสำนึกผิดแล้วเหรอ?” พอกู้โม่หานเห็นว่าผ่านไปนานนางก็ไม่ยอมพูดอะไร ก็ยิ่งจับนางแน่นมากขึ้น
เขาจ้องมองดวงตาของนางไว้ บนใบหน้าหล่อเหลามีแววรีบร้อนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
“หนานหว่านเยียน ถ้าเจ้าช่วยท่านแม่ข้ากลับมาได้ ความคับแค้นใจในอดีต ข้าสามารถล้มเลิกกันไปทุกอย่างกับเจ้าได้……”