ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 209 เจ้ามิพอใจข้าตรงไหน
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 209 เจ้ามิพอใจข้าตรงไหน
ระหว่างทางนั้น ใบหน้าของกู้โม่หานดูตึงเครียด
เขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย รู้สึกว่าในช่วงนี้ทุกเรื่องราวมิเป็นไปดังที่หวัง
จู่ๆ อาการเจ็บป่วยของเสด็จแม่ก็แย่ลง ส่วนแม่หนูน้อยสองคนหน้านั่นเมื่อได้รับการตรวจสอบแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เขาคาดคิด
การหายตัวไปของหนานหว่านเยียนในครานั้น ทั้งยังมีเบื้องหลังของมารดาผู้ให้กำเนิดนางกับท่านน้า……
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้เขาปวดหัวเหลือเกิน
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ เขาก็หันไปเห็นหนานหว่านเยียนซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลวง
ตัวหนานหว่านเยียนในขณะนี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน กัดริมฝีปากราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง จึงมิทันได้สังเกตเห็นเขา
แววตาแห่งความสงสัยเป็นประกายลึกล้ำ น่าแปลกยิ่งนัก หนานหว่านเยียนมาจากที่ใดกัน?
เขาหยุดฝีเท้าลง เอามือไขว้หลังรอให้นางเดินมา
“หนึ่ง สอง……”
ปากของเขาพึมพำออกมา
เป็นจริงดังนั้น วินาทีที่ห้า หนานหว่านเยียนชนเข้ากับเขา
กู้โม่หานมองไปทางหนานหว่านเยียนที่กำลังเหม่อลอย คำด่าที่มิคาดคิดก็ดังขึ้น
นางยังคงมิได้สังเกตเห็นเขา ได้แต่ยกมือขึ้นคลำศีรษะด้วยความเจ็บปวด
“เหตุใดจึงเดินชนต้นไม้ได้เนี่ย……!” หนานหว่านเยียนพึมพำ แววตามิพอใจเล็กน้อย
ส่วนกู้โม่หานกลับมีสีหน้ามืดมน
ชนต้นไม้หรือ?
นางกำลังบอกว่าร่างกายของเขาแข็งทื่อดั่งต้นไม้หรือ
เขาหงุดหงิดใจ มือทั้งสองข้างจับไปที่ไหล่ของหนานหว่านเยียน ทำให้นางยืดตัวตรงขึ้นแล้วสบตากับเขา
“หนานหว่านเยียน เจ้าลองว่ามาอีกครั้ง”
หนานหว่านเยียนถูกดึงสติกลับคืนมาด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคย ร่างของนางสั่นสะท้าน ตั้งใจจะดึงเข็มเงินออกจากแขนเสื้อโดยมิรู้ตัว แต่ถูกกู้โม่หานคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“เจ้านี่ วันใดมิได้แทงข้าแล้วมิสบายใจหรือ?”
หนานหว่านเยียนจ้องมองไปที่เขา พยายามดิ้นรน นางตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้ากระทำการเช่นนี้ในที่สาธารณะ เหมาะสมแล้วหรือ!”
นางก็เพียงแค่กำลังคิดบางอย่างด้วยความหมกมุ่นจึงบังเอิญชนเข้ากับเจ้าอ๋องผู้นี้โดยมิรู้ตัว
น้ำเสียงของกู้โม่หานดูเยือกเย็น แววตามืดมนจับจ้องมาที่นาง
“เจ้าเป็นชายาของข้า หากอยู่ในพระราชวังแล้วต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ จึงจะผิดปกติ”
“ว่ามา เมื่อครู่เจ้าไปที่ใด เหตุใดเจ้าจึงได้ออกมาจากตำหนักเฉียนซินของเสด็จพ่อ?”
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปเกี่ยวกับทิศทางการเดินทางมาของหนานหว่านเยียน
หนานหว่านเยียนกระอึกกระอัก แต่ใบหน้าอันงดงามของนางมิได้มีความผิดปกติใด นางกล่าวออกมาว่า
“ข้าไปดูอาการของท่านแม่ที่ตำหนักอู๋ขู่ จากนั้นตั้งใจจะไปหาเจ้า แต่ก็กลัวว่าไทเฮาจะเอ่ยถามมากความ เมื่อตอนที่กลับไปยังตำหนักอู๋ขู่อีกครั้ง ยังมิทันได้เข้าไปก็พบเข้ากับเฟิ่งกงกง ดังนั้นข้าจึงได้เดินทางไปที่ตำหนักเฉียนซินของเสด็จพ่อ รายงาน อาการของเสด็จแม่แก่ท่านฟัง”
“เฟิ่งกงกงหรือ?” แววตาของกู้โม่หานหรี่ลงลึกล้ำอย่างยากเกินคาดเดา
“เขาเป็นคนสนิทข้างกายของเสด็จพ่อจะเตร็ดเตร่ไปทั่วได้อย่างไร หนานหว่านเยียน เจ้ากำลังหลอกข้างั้นหรือ”
เสด็จแม่ของเขานอนอยู่เช่นนี้มาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เกรงว่ากู้จิ่งซานจะมิได้มีความรักความรู้สึกต่อนางตั้งนานแล้ว เหตุใดเขาจึงสนใจข่าวคราวอาการเสด็จแม่?
อีกอย่างเฟิ่งกงกงและกู้จิ่งซานตัวติดกันตลอดเวลา เขาจะมิออกมาเพียงลำพังแน่
นอกเสียจากว่า……
หนานหว่านเยียนตกตะลึงรู้สึกทำตัวมิถูก
นางควรจะคิดได้ว่ากงกงผู้ที่มีท่าทีเคร่งขรึมนั้นคงมิใช่คนธรรมดา กู้โม่หานคงจะสงสัยนางเป็นแน่แท้
จู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางกล่าวโดยมิได้คิดว่า “ตอนที่ข้าเดินทางออกมาแล้วพบเข้ากับเขา เขาดูเหมือนกำลังจะหาอะไรบางอย่าง หรือบางทีอาจจะรีบร้อน เพราะห้องน้ำของตำหนักเฉียนซินมิพอใช้”
“ข้าให้เขานำทาง แต่เขาก็มิได้ตอบสนอง เพียงหาขันทีให้ข้าคนหนึ่งแล้วพาข้าไป จากนั้นเขาก็เดินทางจากไป อีกอย่างข้าจะโกหกเจ้าทำไมกัน”
น้ำเสียงของหนานหว่านเยียนมิได้มีความลังเล แต่กลับทำให้กู้โม่หานสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม “งั้นหรือ?”
คนจากตำหนักเฉียนซินจะเดินทางมาที่ตำหนักอู๋ขู่เพื่อเหตุใด
ฝ่ายหนึ่งอยู่ตะวันตก อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ตะวันออก ห่างกันไกลเพียงนี้ หากว่าเฟิ่งกงกงต้องการจะออกมาตามหาใคร สักคน แล้วคนผู้นั้นคือใครเล่า?
หนานหว่านเยียนมองไปยังกู้โม่หาน ในสมองได้แต่นึกถึงบทสนทนาในตำหนักเฉียนซิน ท่าทีของกู้จิ่งซานอันคุกคามและขุ่นเคือง
ฮ่องเต้มิได้สนใจว่าหยีเฟยจะเป็นอย่างไร ต่อให้หยีเฟยสิ้นใจจริงๆ นางก็คงมิต้องได้รับโทษ เพราะถึงอย่างไรนางก็ยังมีประโยชน์อื่นสำหรับเขา
แต่กู้โม่หานให้ความสำคัญกับชีวิตของหยีเฟยเป็นยิ่งนัก หากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหยีเฟย นางก็คงจะอยู่ยาก……
หนานหว่านเยียนปวดหัวหรือเกิน
“เจ้าถามอะไรมากมายขนาดนั้น บัดนี้เสด็จแม่ของเจ้าอาการดีขึ้น มิมีไข้แล้ว ชีพจรทรงตัว เพียงแค่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและกินยาตรงเวลาอีกมิกี่วัน ก็จะสามารถเริ่มการรักษาขั้นต่อไปได้”
กู้โม่หานดึงความคิดของตนกลับคืนมา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเสด็จแม่ ส่วนเรื่องอื่นๆ เขามิมีอารมณ์จะไปกล่าวถึง
กู้โม่หานก้มหน้าลงด้วยความหม่นหมอง สีหน้าอันหล่อเหลาแสดงความลังเลว่า “ข้า……”
เขาอยากจะเดินไปดูเสด็จแม่
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่หนานหว่านเยียนกล่าวเอาไว้ว่านอกจากหวางหมัวมัว หมอหลวงเจียงและนางแล้ว คนอื่นล้วนมิอนุญาตให้เข้าไปด้านใน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องจัดการกับแรงกระตุ้นภายในที่อยากจะเข้าไปของตน
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้น “อะไร?”
ใบหน้าของกู้โม่หานดูเย็นชา “ข้าอยากกลับแล้ว”
หนานหว่านเยียนเพิกเฉยต่อคำตอบของเขา “อ๋อ”
ทั้งสองบรรยากาศที่พักดูแปลกประหลาดไปอย่างเห็นได้ชัดเจน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคนอยู่ข้างหลัง ระยะห่างกันกว่าสามเมตร เดินตรงกลับไปที่ตำหนักอู๋ขู่
เมื่อกลับไปยังตำหนักอู๋ขู่แล้ว หนานหว่านเยียนยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าคาง มองไปทางกู้โม่หานที่กำลังนั่งลง
นางเตะไปที่ขาเก้าอี้ไม้ของเขาเป็นระยะๆ ดวงตาเหม่อลอย
หนานหว่านเยียนมิรู้ว่าตนกำลังเตะเก้าอี้ของกู้โม่หานตลอดเวลา
สีหน้าของกู้โม่หานดูมืดมนและพยายามอดทนหลับตา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ทนมิไหวเอามือตบโต๊ะถามว่า “หนานหว่านเยียน เจ้ามิพอใจอะไรข้ากันแน่?”
หนานหว่านเยียนตกใจจนสะดุ้งแล้วมองไปยังชายหนุ่มที่เอ่ยถามขึ้นมาดังนี้
“สิ่งที่ข้ามิพึงพอใจต่อเจ้านั้นมีมากมายเหลือเกิน อย่าได้มารบกวนข้า ข้ากำลังใช้สมอง”
กู้โม่หานมิชื่นชอบท่าทีของหนานหว่านเยียนที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ น้ำเสียงจึงแข็งกระด้างกล่าวขึ้นอย่างยากที่จะปฏิเสธว่า “เจ้าทำอะไรอยู่”
หนานหว่านเยียนกล่าวออกมาว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า……เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าอยู่บ้าง”
หนานหว่านเยียนกะพริบตาถามเขาว่า “เจ้าว่าบัดนี้องค์ชายทั้งหลายมากมายในแคว้นซีเหย่ ใครกันที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากที่สุด?”
กู้โม่หานเหลือบมองไปที่นาง “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
หนานหว่านเยียนส่งเสียงเพลงแค่ “อืม” ออกมาแล้วกัดฟันกรอด
นางเข้าใจแล้ว ว่านางมิควรเอ่ยถาม
ในฐานะเทพแห่งสงคราม กู้โม่หานได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านมาตั้งแต่เขายังเยาว์วัย
เมื่อนางคิดได้ดังนี้ “เช่นนั้น……เปรียบเทียบกับอ๋องเฉิงและองค์ชายทั้งสิบแล้ว เจ้าคิดว่ามีโอกาสที่จะได้ขึ้นครองราชย์มากแค่ไหน?”
“มิใช่ แท้จริงแล้วข้าควรเอ่ยถามเจ้าว่าเจ้ามิมีความคิดอยากจะได้ตำแหน่ง……อื้อ”
นางยังมิทันกล่าวจบ กู้โม่หานก็ได้หรี่ดวงตาลงอย่างกะทันหันเขาเอื้อมมือไปปิดปากหนานหว่านเยียนเอาไว้ด้วยสายตาและมืออันรวดเร็ว
ชายหนุ่มมองมาที่นางด้วยความเคร่งขรึมแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หากอยู่ในวังอย่าได้เอ่ยสนทนาเรื่องการเมืองการปกครอง เจ้าอยากตายงั้นหรือ!”
ฝ่ามือของกู้โม่หานทั้งแข็งแกร่งและอบอุ่น ปลายนิ้วสัมผัสไปที่ริมฝีปากนางช่างอ่อนโยนนุ่มนวล
เมื่อวานนี้ฉากที่เขาจูบนาง และความรู้สึกที่ได้จูบนางปรากฏขึ้นมาในใจ
หูของกู้โม่หานแดงเรื่อ ร่างกายแข็งทื่อ ขณะเดียวกันหัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา……