ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 239 ข้าเป็นสามีของเจ้า
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 239 ข้าเป็นสามีของเจ้า
“รู้จักตัวเองดีแล้วก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้โม่หานก็โกรธจัด ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองและเย็นชา “ไม่มีผู้ชายคนไหนดีไปกว่าข้าแล้ว เจ้าอย่าหวังว่าจะได้เจอ! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าคบชู้อีก!”
นึกถึงผู้ชายอีกคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เขาใจดีกับนางมากเกินไปแล้ว เขาไม่กลัวเกาทัณฑ์ในมือของหนานหว่านเยียน เอาหน้าอกดันเข้ากับมัน
หนานหว่านเยียนเห็นเขายังกล้าเข้ามาใกล้ ไม่กลัวความตายเลยสักนิด นิ้วชี้จึงเหนี่ยวไกโดยไม่ลังเล
แต่นางยังไม่ทันได้ลงมือ จู่ๆ ข้อมือก็เจ็บแปลบ รู้สึกในทันใดว่าร่างกายแข็งทื่อ กู้โม่หานสกัดจุดนางราวกับปีศาจร้าย ในขณะเดียวกันก็จับข้อมือของนางที่ถือหน้าไม้เอาไว้แน่น
กู้โม่หานหยิบหน้าไม้ไปจากมือของนาง โยนมันลงกับพื้น “ตุ้บ” เสียงดังคมชัด
เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หนานหว่านเยียนเบิกตากว้างพลันจ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ “กู้โม่หาน เจ้ากำลังทำอะไร?!”
นางโกรธมาก ในขณะเดียวก็ตื่นตระหนก จะให้นางไปฆ่าคนหรือช่วยชีวิตผู้คนก็ได้หมดทุกอย่าง แต่นางไม่มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้แบบโบราณเลย จะคลายสกัดจุดอย่างไรนางก็ไม่รู้
ยิ่งไปกว่านั้นกู้โม่หานยังมีความสามารถสูงถึงขั้นนี้ เมื่อเทียบกับการเผชิญหน้าระหว่างนางกับเขาในอดีตมันเป็นเพียงเรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้น ถึงขนาดรู้สึกการตีศีรษะเขาเป็นเพราะเขาไม่สนใจ หรือไม่เขาก็จงใจยอมอ่อนข้อให้เท่านั้น
สายตาของกู้โม่หานดูโหดร้าย ความอิจฉาที่ไม่คุ้นเคยค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นความฉุนเฉียวและความโกรธที่ไม่อาจหวนกลับ
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาเปื้อนเลือด แต่กลับดูโหดร้ายอย่างชัดเจน นิ้วมือขาวบริสุทธิ์เห็นข้อต่อชัดเจน โอบกอดรอบเอวของหนานหว่านเยียนอย่างอ่อนโยน “ข้าจะทำอะไรน่ะหรือ? ก็ต้องอยากทำในสิ่งที่ข้ายังไม่ได้ทำเมื่อครู่น่ะสิ หนานหว่านเยียน ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ว่าข้าจะแย่แค่ไหน ก็ยังเป็นสามีของเจ้า เป็นพ่อของลูกเจ้า!”
กู้โม่หานจับหนานหว่านเยียนกดเข้ากับผนัง กระชากเสื้อผ้าของนางอย่างป่าเถื่อน หอบหายใจรดลงบนใบหน้าของหนานหว่านเยียนเป็นระยะ ทำให้นางอดนึกถึงคืนที่บีบหัวใจเมื่อห้าปีก่อนไม่ได้ พลันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
“สามีอะไร เจ้า…”
เดิมทีนางอยากจะดุด่าเขา แต่ตอนนี้เขามีอำนาจเป็นต่อ นางจึงยับยั้งตัวเองไว้ ข่มใจเตือนเขา “กู้โม่หาน เจ้าจะแตะต้องตัวข้าจริงหรือ? ไหนเจ้าบอกว่าหยุนอี่ว์โหรวอาการร่อแร่เป็นตายเท่ากัน? นางชอบเจ้ามากขนาดนั้น เจ้าเองก็ชอบนางมาก เจ้าไม่ไปดูนางหน่อยหรือ?”
“อีกอย่างข้าคือคนที่เจ้าเกลียดที่สุด เจ้าจะมาแตะต้องตัวข้าได้ยังไง เจ้าลืมความเกลียดชังระหว่างพวกเราสองตระกูลไปแล้วหรือ? ข้ากับเจ้าเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!”
“กู้โม่หาน เจ้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ นางก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง โกรธจัดทันที “กู้โม่หาน เจ้า…ข้าจะตัดองคชาตของเจ้าทิ้ง! แล้วเคี่ยวมันให้เป็นยาหม้อ บังคับให้เจ้าดื่มด้วยตัวเอง!”
“ข้าจะทำให้เจ้าเลือดออกทวารทั้งเจ็ด เจ็บปวดปานจะขาดใจ ตายอย่างน่าอนาจ!”
กู้โม่หานกล้าแตะต้องนางอย่างคาดไม่ถึง เขามีสิทธิ์อะไร?!
น่าแค้นนัก เมื่อครู่นางไม่ควรใช้หน้าไม้ก่อน ควรให้ยากล่อมประสาทแก่เขา จากนั้นป้อนยาที่ทำให้องคชาตอ่อนตัวแก่เขา ทำให้เขากลายเป็นขันทีไปตลอดชีวิต!
กู้โม่หานทำเป็นไขสือ เขารู้ว่าตอนนี้หนานหว่านเยียนถูกเขาผูกมัด ทำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนเขาก็ต้องการให้หนานหว่านเยียนรู้ว่า ชั่วชีวิตนี้ นางสามารถอยู่กับเขาได้เท่านั้น ลูกของเขาก็อยู่กับเขาได้เท่านั้น!
เขาก้มลงจูบริมฝีปากของหนานหว่านเยียน น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชา ออกคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“หนานหว่านเยียน ข้าต่างหากที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของเจ้า!”
หนานหว่านเยียนถูกสกัดจุด ขยับเขยื้อนไม่ได้ นางมองไปยังเกาทัณฑ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบ ดวงตาแดงก่ำ
“เจ้าเป็นผู้ชายแบบไหนกัน! เสียสติ! ไม่รู้จักการให้เกียรติ ข้าจะบอกเจ้าให้ คนอย่างเจ้าไม่มีวันได้รับความรักที่แท้จริง! ข้าขยับตัวได้เมื่อไหร่ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
แต่ยิ่งนางยั่วยุเท่าไร กู้โม่หานก็ยิ่งเย็นชา
ความปรารถนาที่จะเอาชนะก็รุนแรงยิ่งขึ้น
“ซี้ด” ชุดชั้นในของหนานหว่านเยียนถูกกู้โม่หานฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างป่าเถื่อน จู่ๆ ริมฝีปากบางของชายหนุ่มก็ประกบริมฝีปากของหนานหว่านเยียนไว้ แล้วดึงเข็มขัดของนางออก…
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กเรียกดังขึ้นด้านนอกประตู เสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ท่านแม่! ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!”
ร่างกายของกู้โม่หานแข็งทื่อในทันใด ได้สติกลับมาทันที
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยทั้งสองวิ่งเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ เสียงฝีเท้าสั้นๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เขาไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าเด็กได้ พลางลุกขึ้นยืน
หนานหว่านเยียนได้ยินเสียงเช่นกัน สีหน้าย่ำแย่จนถึงขีดสุด จากนั้นจุดที่สกัดไว้จึงคลายออก
นางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเป็นอย่างแรก ยกมือกำลังจะตบกู้โม่หาน แต่กู้โม่หานจับข้อมือของนางไว้แน่น
เมื่อครู่เขาโกรธจนหัวหมุน ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกเจ็บแผลบนศีรษะและหัวไหล่
“หนานหว่านเยียน” ใบหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หานดูเศร้าหมองและดุดัน เตือนนางว่า “ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ไม่ว่าเจ้าจะเกลียดข้ามากแค่ไหน ตราบใดที่ยังไม่หย่า เจ้าก็คือผู้หญิงของข้า หากข้าพบว่าเจ้ามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับโม่หวิ่นหมิง ข้าจะตัดมือเขาทิ้ง!”
“อันที่จริงตอนนี้ขาของเขาหักทั้งสองข้าง ข้าจะทำให้เขากลายเป็นคนพิการตั้งแต่หัวจรดเท้าไปตลอดชีวิตก็ได้!”
เขาจะไม่อนุญาตให้หนานหว่านเยียนใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะกับโม่หวิ่นหมิง!
ตอนนี้เขาแค่เห็น ก็เหมือนมีหนามค่อยทิ่มแทงอยู่ในเนื้อแล้ว!
มีเสียงเรียกดังมาจากทางด้านนอก “ท่านแม่ ท่านแม่…”
หนานหว่านเยียนถลึงตาใส่กู้โม่หาน กัดฟันอย่างเกลียดชัง ต้องการจัดการกู้โม่หานให้จบๆ ไป แต่จะทำอย่างไรได้สองสาวกำลังจะมาถึง นางทำได้เพียงถีบหน้าแข้งกู้โม่หานเพื่อระบายความโกรธ
“กู้โม่หาน ไอ้ผู้ชายสารเลวไร้ประโยชน์! วันๆ เอาแต่รังแกคนแก่ คนพิการ และเด็ก! กรรมตามสนองเจ้าแน่!”
นางต้องฉวยโอกาสให้ยาทำให้องคชาตอ่อนตัวนี้แก่ท่านอ๋อง ให้ของเขาไม่แข็งไปตลอดชีวิต! เสียศักดิ์ศรีความเป็นชายไป!
กู้โม่หานหัวเราะเยาะ ชำเลืองมองหนานหว่านเยียน แต่ไม่พูดอะไรเลย
เขาปล่อยมือของหนานหว่านเยียน เช็ดเลือดบนใบหน้า สะบัดแขนเสื้อผลักประตูออกไป มันมีผลต่อบาดแผลบนหัวไหล่ อดขมวดคิ้วไม่ได้
โชคดีที่วันนี้สวมชุดคลุมยาวสีดำ มองเห็นเลือดบนร่างกายไม่ชัด ไม่ทำให้เด็กตกใจ
ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตู ก็เห็นเกี๊ยวน้อยม้วนแขนเสื้อขึ้น ทำท่าจะผลักประตูเข้ามาอย่างดุดัน แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเขา
ซาลาเปาน้อยเดินตามหลังมา เนื่องจากวิ่งมาเร็วเกินไป ใบหน้าน้อยจึงแดงก่ำน่าเอ็นดู ศีรษะชนเข้ากับแผ่นหลังของเกี๊ยวน้อยที่หยุดอย่างกะทันหัน “โอ๊ย! พี่หญิงเป็นอะไร…”
เสียงเงียบลงในทันใด ซาลาเปาน้อยก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นกู้โม่หานอยู่ในสภาพเก้ๆ กังๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เกี๊ยวน้อยจึงดึงซาลาเปาน้อยถอยหลังไปครึ่งก้าว วางท่าป้องกัน ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่?”
เดิมทีกู้โม่หานเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสองพี่น้องกลับไม่รู้สึกหงุดหงิด พลางย่อตัวลงมองพวกเธอด้วยสายตาอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มนวล
“นี่คือจวนของข้า ท่านแม่ของพวกเจ้าก็คือภรรยาของข้า หากข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วจะให้ข้าไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”