ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 245 ท่านอ๋องกลัวพระชายา
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 245 ท่านอ๋องกลัวพระชายา
“ขอรับ!” เงาดำนั้นตอบแล้วหายไปจากห้องของโม่หวิ่นหมิงอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน
โม่หวิ่นหมิงจ้องมองไปทางหลังคาด้วยสายตาคับแคบ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเขา
ในความเป็นจริง วันก่อนที่หนานหว่านเยียนจะมารับเขา ชายชุดดำกลุ่มนี้ได้มาหาเขาและปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพอย่างสูง
ในตอนแรกเขามิเชื่อ แต่ต่อมาเขาพอจดจำบางสิ่งได้และตระหนักว่าเขาและหนานหว่านเยียนมีตัวตนที่พิเศษและน่าเกรงขาม
โดยเฉพาะหว่านหว่านซึ่งเป็นคนที่เขาต้องปกป้องแม้ต้องสละชีวิต……
ในขณะนี้ หนานหว่านเยียนกลับมาที่เรือนของนางแล้ว
นางหาวขึ้นแล้วพบอวี๋เฟิงและเซียงอวี้แล้วถามว่า “เซียงอวี้ เจ้าตัวเล็กสองคนนี้อยู่ที่ใดเล่า?”
เซียงอวี้รีบตอบว่า “ทูลพระชายา นายน้อยทั้งสองกำลังงีบหลับอยู่ ท่านจะเดินทางไปหาหรือไม่?”
“อืม ข้าไปดูสักหน่อย” หนานหว่านเยียนพยักหน้า ขณะที่นางกำลังจะจากไป จู่ๆ นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วเอ่ยถามเซียงอวี้กับอวี๋เฟิงว่า “เจ้ารู้จักหรือไม่ว่านางผู้หญิง……พระชายารองเคยช่วยกู้โม่หานไว้?”
อวี๋เฟิงและเซียงอวี้มองหน้ากันแล้วส่ายหัว
อวี๋เฟิงถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือพระชายา?”
“ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น อวี๋เฟิง เจ้าตรวจสอบให้ข้าหน่อย ยิ่งเร็วยิ่งดี” หลังจากกล่าวจบ หนานหว่านเยียนก็ไปที่เรือนเพื่อดูเด็กๆ
อวี๋เฟิงรีบตอบว่า “รับทราบ ข้าน้อยจะทำให้อย่างเต็มที่”
เมื่อมองตามหลังหนานหว่านเยียนไป ก็รู้สึกได้ว่าพระชายาได้รับการเสียดแทงใจมิน้อย……
ขณะเดียวกันที่จวนเฉิงเซี่ยง
หนานชิงชิงถือถ้วยชาเอาไว้แล้วส่ายไปมาอย่างใจลอย ด้านข้างมีฮูหยินของเฉิงเซี่ยงนั่งอยู่
ครั้งนี้ ฮูหยินมิได้ร้องไห้ แต่แสดงความไม่พอใจออกมาโดยตรง “นี่ข้าว่า ชิงชิง เหตุใดหนานหว่านเยียนจึงยังไม่ตาย?”
“เจ้าคงไม่รู้สิ นางกลับมาที่เรือนอีกครั้งเมื่อสองสามวันก่อน ท่าทีนั้นดูเย่อหยิ่งหนักหนา มิเห็นข้าในสายตา!”
หนานชิงชิงมิได้ตอบและเล่นกับถ้วยชาต่อไป
ฮูหยินนั่งลงข้างๆ หนานชิงชิงด้วยความโกรธและคว้าถ้วยชาจากมือของนางไป
“นี่มันเวลาใดแล้ว? เจ้ายังมีอารมณ์มานั่งดื่มชาอีกหรือ? หากเจ้าไม่โจมตีนาง นางและอ๋องอี้คงจะทะยานขึ้นฟ้าแน่ แล้วพวกเขาอาจขึ้นเหยียนหัวเจ้าได้ รู้หรือไม่!”
หนานชิงชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปที่ฮูหยิน สายตาของนางเฉียบคมดั่งใบมีด ฮูหยินตื่นตระหนกตกใจกับพลังที่ได้แสดงออกมาของจางจนแทบสำลัก พูดไม่ออกเป็นเวลานาน
หนานชิงชิงจะมิอยากฆ่าหนานหว่านเยียนได้อย่างไร
เมื่อห้าปีก่อน นางยังคงคนโง่เขลาที่เดินตามหลังตนต้อยๆ แต่อีกห้าปีต่อมา จู่ๆ นางกลับกลายเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ไปได้
นางมิเพียงแต่มีไหวพริบและตัดสินใจได้รวดเร็วเท่านั้น แต่นางยังได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ มากมาย มิรู้ว่าหนานหว่านเยียนทำได้อย่างไร
โชคดีที่หนานหว่านเยียนมีความสัมพันธ์มิค่อยดีกับกู้โม่หาน มิฉะนั้นหากนางให้กำเนิดบุตรก่อนตน ราชวงศ์จะยังมีที่ให้นางยืนอีกหรือ?
ยิ่งหนานชิงชิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งเกลียดมากขึ้นเท่านั้น นางกัดฟันกรอด หายใจเยือกเย็น
“ข้าบอกว่าอย่าตกใจ เรื่องเท่านี้ยังมาหาข้าอีก”
“ก็เพียงแค่หนานหว่านเยียนมิใช่หรือ? คราวที่แล้วนางโชคดีรอดมาได้ นางช่วยชีวิตหยีเฟยไว้ แต่หากหยีเฟยป่วยหนักอีกครั้งโดยไร้เหตุผล และเสียชีวิตหลังจากได้รับการรักษาจากนาง ลองเดาสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
ฮูหยินมองไปทางนางอย่างว่างเปล่า เอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อว่า “เจ้ามีวิธีงั้นหรือ?”
หนานชิงชิงเยาะเย้ยเล็กน้อย สายตามองไปยังดอกไม้ที่ร่วงหล่นกองอยู่นอกหน้าต่าง “แน่นอน”
กู้โม่เฟิงมิน่าเชื่อถือนัก ครั้งก่อนนางให้เขาจัดการกับหยีเฟย แต่กู้โม่เฟิงดื้อรั้นจนเกินไป มิต้องการให้ใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกเหล่านี้ ทำให้นางโมโหแทบตาย
ในเมื่อเขามิเต็มใจ เช่นนั้นนางจะลงมือเอง โทษว่าการตายของหยีเฟยเป็นเพราะหนานหว่านเยียน!
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเบาๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยเจตนาอาฆาตแค้น
“นางชอบอวดทักษะทางการแพทย์ของตนมิใช่หรือ เช่นนั้นข้าจะทำให้นางขุดหลุมฝังตัวนางเอง”
ณ จวนอ๋องอี้
กู้โม่หานนั่งอยู่ในห้องหนังสือ มงกุฎสีเงินรวบผมสีดำเอาไว้ ในมือถือหนังสือกลยุทธ์ทหาร นิ้วมือเรียวยาวของเขาพลิกดูหนังสือที่จารึกกลยุทธ์การต่อสู้ไว้ตั้งแต่ยังเยาว์วัยของเขา
เมื่อครู่เขาให้เสิ่นอี่ว์ช่วยพันแผลที่ศีรษะและหัวไหล่เอาไว้ให้แล้ว จากนั้นก็สนทนาหารือกับเสิ่นอี่ว์ถึงเรื่องแขกที่จะรับเชิญมาในวันเกิด รวมถึงเรื่องอื่นๆ
สนทนากันไปมา ปรากฏว่าในใจของเขามีภาพของหนานหว่านเยียนผุดขึ้นมาโดยมิรู้ตัว
กู้โม่หานรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก เขาจึงเดินไปอ่านหนังสือกลยุทธ์แห่งสงครามเพื่อฆ่าเวลา
ในเวลานั้นจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าครั้งสุดท้ายที่เดินทางไปยังค่ายเสินเชื่อเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ควรจะเดินทางไปดูพี่น้องทหารว่าเป็นอย่างไรบ้าง และยังมีเหล่าเสิ่น มิรู้ว่าการบาดเจ็บฟื้นตัวเป็นเช่นไร
คิดได้ดังนั้นกู้โม่หานจึงลุกขึ้น หยิบเสื้อเกราะขึ้นมาสวมแล้วเดินจากไป
เนื่องจากร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เมื่อพี่น้องทหารเห็นเข้าจึงคิดว่าเขาเป็นคนกลัวภรรยา
ทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีต่อฉายาเทพแห่งสงครามเล็กน้อย
แต่เขายังมิทันเดินไปได้กี่ก้าว ก็พบพ่อบ้านกาวที่รีบเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน
กู้โม่หานชะงักลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “พ่อบ้านกาว พระชายาอยู่ที่ใด?”
พ่อบ้านกาวกำลังก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดบางอย่าง เมื่อได้ยินคำถามของกู้โม่หานจึงรีบเงยหน้าขึ้น แต่ก็ต้องตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของชายผู้อยู่ตรงหน้า
เป็นเวลานานเท่าไรแล้วที่เขามิได้เห็นชายหนุ่มคนนี้สวมเสื้อเกราะ
ด้วยใบหน้าอันขาวสะอาดเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม แต่ก็เฉียบขาดเข้มงวด ดวงตาสีดำสนิทของเขาดูลึกล้ำ คิ้วตรงได้รูป สวมหมวกสีเงินปิดบังหน้าผากเป็นลายปีกนกฟีนิกส์ ผมสีดำถูกเก็บเอาไว้ในนั้น ตรงหน้าอกมีโล่กำบังหัวใจ ชุดเกราะของเขาเป็นรูปเกล็ดปลา ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความละเอียดประณีต
ด้านล่างของชุดเกราะพอดีกับรูปร่างของชายหนุ่ม ดูกำยำแต่มิได้หยาบกระด้าง ดุจดั่งนกอินทรีผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดมิด ช่างเฉียบแหลมเย็นชา ดูหยิ่งยโส
กู้โม่หาน เทพแห่งสงครามผู้อยู่ยงคงกระพันเมื่อห้าปีก่อนดูเหมือนจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาและเด็ดเดี่ยวของเขาสามารถดึงดูดหญิงงามนับพันได้
“ท่านอ๋องขอรับ……” พ่อบ้านกาวมองไปด้วยความตกตะลึง เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะได้สติกลับคืนมาแล้วกระซิบว่า “พระชายา เมื่อครู่นางเพิ่งออกมาจากห้องท่านน้าของนาง”
……
โม่หวิ่นหมิง?!
ดวงตาของกู้โม่หานหรี่ลงครึ่งหนึ่ง คิ้วดาบของเขาขมวดเข้าหากันแน่น เผยถึงความหึงหวงเล็กน้อย
เขาบอกกับหนานหว่านเยียนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว มิให้นางมีความสัมพันธ์ติดต่อกันกับโม่หวิ่นหมิงมากนัก สตรีนางนี้ชั่วพริบตาเดียวก็เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาหรือ?
พ่อบ้านกาวทำงานมาเนิ่นนานและมีประสบการณ์มากมาย บัดนี้เขารู้สึกได้ทันทีถึงความผิดปกติไปของกู้โม่หาน
เขาจึงก้าวไปด้านหน้าลดเสียงลง กล่าวว่า “ท่านอ๋องขอรับ โปรดฟังคำเกลี้ยกล่อมของกระหม่อมสักหน่อย เหล่าสตรีล้วนต้องการให้พวกเราเอาใจและรักใคร่พวกนาง หากแข็งแกร่งเสียจนเกินไป…… เกรงว่าจะมีปฏิกิริยาย้อนกลับเสียมากกว่า”
หากว่าท่านอ๋องมีความรู้สึกดีต่อพระชายาจริง ก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
สีหน้าของกู้โม่หานดูมืดมน หมวกลายนกฟินิกซ์ของเขาสั่นคลอนเล็กน้อย
“สิ่งใดที่เป็นของข้า จะมิมีวันไปเป็นของผู้อื่นเด็ดขาด!”
กล่าวจบเขาก็เดินสะบัดแขนเสื้อจากไปทางเรือนเซียงหลินพร้อมกับลมอันเยือกเย็น
รักและเอาใจอะไรกัน! หนานหว่านเยียนมิมีความรู้สึกใดต่อเขาแม้แต่น้อย นางเอาแต่รักและคิดถึงโม่หวิ่นหมิงเท่านั้น
อวดดีเกินไปแล้ว ต่อให้เขามิได้รักหนานหว่านเยียนก็จะมิยอมให้หนานหว่านเยียนไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นเด็ดขาด
กู้โม่หานมายังประตูห้องหนานหว่านเยียนด้วยความรีบร้อน ขณะที่เขากำลังจะผลักประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงสตรีร้องเพลงเบาๆ ลอยออกมาว่า
“ดวงใจ ดวงใจของข้า……”
หลังจากที่เขาได้สติขึ้นมาแล้วจึงพบว่ามันเป็นเพลงกล่อมเด็ก
เป็นเพลงที่เสด็จแม่ก็เคยกล่อมให้เขาฟัง!
ท่าทีของกู้โม่หานเปลี่ยนไปในทันที