ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 32 ลูกอยากได้เงิน
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 32 ลูกอยากได้เงิน
ถึงกับช่วยชีวิตกลับมาได้จริงๆ!
ทุกคนต่างตกตะลึง!
มีคนเอ่ยปากกล่าวขึ้นมาก่อน ชี้ไปที่อาเจียนที่อยู่บนพื้นอย่างสั่นสะท้าน: “นี่ นี่ถึงกับอาเจียนออกมาจริงๆ!”
“พระชายาอี้มีทักษะทางการแพทย์จริงหรือเนี่ย?”
“ก่อนหน้านี้ประเมินพระชายาอี้คนนี้ต่ำเกินไปจริงๆ ดูท่าก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ร่ำลือกัน” น้ำเสียงของคนคนนี้แฝงความรู้สึกไม่ยุติธรรม ดูเหมือนจะคิดว่าข่าวลือของหนานหว่านเยียนล้วนเป็นเรื่องกุขึ้นมาทั้งนั้น
ดวงตาของกู้โม่หานเบิกกว้าง จิตใจหวาดผวา!
หนานหว่านเยียนช่างโชคดีอะไรเช่นนี้! ถึงกับสามารถช่วยชีวิตคนสองคนติดต่อกัน? !
หรือว่าตัวเองกลายเป็นคนชั่ว เกือบจะเอาชีวิตน้องสะใภ้สิบอีกแล้วหรือ?
ในใจของกู้โม่หานรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ทันที
สีหน้าของฮองเฮาไม่น่าดู ฝ่าบาทระงับความตกตะลึงเอาไว้ กล่าวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น: “หนานหว่านเยียน เจ้าทำมันได้อย่างไร?”
หนานไว่านเยียนเหนื่อยพอสมควร
การทำหัตถการไฮม์ลิคช์เวลาทำขึ้นมาไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น จำเป็นต้องใช้พลังงานของผู้ช่วยชีวิตจำนวนมาก ไม่เพียงต้องใช้พละกำลังอย่างมาก ความเร็วก็ต้องรวดเร็วอีกด้วย
อีกอย่างพระชายายังเป็นผู้หญิงในวัยผู้ใหญ่ เพราะความตะกละกิน รูปร่างก็ไม่ได้ผอมเพรียวมาก หลังการกระทำในครั้งนี้ นางก็มีเหงื่อไหลเต็มหน้าผากแล้ว
“เสด็จ เสด็จพ่อ โปรดอนุญาตให้ลูก หายใจก่อน”
เมื่อครู่นี้องค์ชายสิบเห็นว่าในที่สุดพระชายาก็อาเจียนออกมา ตกตะลึงไปนานพักใหญ่ ถึงได้ตอบสนองกลับมา พุ่งตัวไปทางพระชายาทันที “หยิงหยิง……”
หนานหว่านเยียนรีบเตือนสติ: “องค์ชายอย่าตื่นเต้นมากเกินไป ตอนนี้พระชายายังอ่อนแอมาก”
ได้ยินคำพูด องค์ชายสิบก็ยับยั้งตัวเองทันที กล่าวถามอย่างระมัดระวัง: “หยิงหยิง เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
พระชายาสิบสวีหว่านหยิงรอดชีวิตจากหายนะ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวกระโจนเข้าไปอ้อมแขนขององค์ชายสิบแล้วร้องไห้โฮขึ้นมา “องค์ องค์ชาย! เมื่อครู่นี้หม่อมฉันนึกว่า ตัวเองจะตายเสียแล้ว! ฮือๆๆๆ……”
ดวงตาขององค์ชายสิบก็ใกล้จะเป็นสีแดงแล้ว ฝ่ามือลูบหลังของสวีหว่านหยิงเบาๆ คอยปลอบประโลมไม่หยุด “ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว!”
จากนั้น เขาก็มองไปทางหนานหว่านเยียน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความขอบคุณ “พี่สะใภ้หก เมื่อครู่นี้ข้าโง่เขลา ใส่ร้ายท่านไป เกือบจะทำให้ชีวิตของหยิงหยิงล่าช้าไป ข้าขอขอบคุณพี่สะใภ้หกที่ช่วยชีวิตมา ณ ที่นี้ด้วย! และต้องขอโทษพี่สะใภ้หกไว้ตรงนี้ด้วย!”
สวีหว่านหยิงก็ตอบสนองกลับมา หันกลับมามองดูหนานหว่านเยียนน้ำตาคลอเบ้า “หว่านหยิงขอขอบคุณพี่สะใภ้หก! พี่สะใภ้หกคนงดงามจิตใจดี วันนี้ยังช่วยชีวิตข้าเอาไว้ด้วย นับตั้งแต่วันนี้ไป หว่านหยิงจะยอมรับพี่สะใภ้หกเป็นนางฟ้าพระโพธิสัตว์!”
หนานหว่านเยียนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย การช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของนางอยู่แล้ว ตอนนี้กลับถูกสามีภรรยาคู่นี้เยินยอจนตัวลอยแล้ว “ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว!”
เมื่อเห็นสามีภรรยาองค์ชายสิบยกย่องหนานหว่านเยียน บรรดาแขกเหรื่อขุนนางที่โอนเอียงไปตามทิศทางลมพวกนั้นต่างก็พากันโอบล้อมเข้ามา ยกย่องหนานหว่านเยียน
“วันนี้ได้พบ กระหม่อมถึงได้รู้ว่าพระชายาอี้มีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดาใจดีมีเมตตา ทำให้กระหม่อมต้องมองในแง่ที่ต่างออกไปจริงๆ!”
“อ๋องอี้วาสนาดีเช่นนี้ และก็เป็นวาสนาของราชวงศ์ซีเย่เช่นกัน!”
เห็นดังนั้น หยุนอี่ว์โหรวหน้าเสียไปในทันที สีหน้าไม่น่าดูสุดขีด!
ผ้าเช็ดหน้าก็เกือบจะถูกนางฉีกกระจาย!
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร! ให้หนานหว่านเยียนได้หน้าอีกแล้ว!
เกิดอะไรขึ้นกับหนานหว่านเยียนกันแน่ ดูเหมือนไม่ได้พบกันห้าปี ไม่เพียงแต่นิสัยเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แม้แต่วิธีการก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
หนานชิงชิงและอ๋องเฉิงยืนอยู่ไกลๆ ประการแรกคือไม่อยากสร้างปัญหาอะไร ประการที่สองคือมองดูหนานหว่านเยียนอับอายขายหน้าไกลๆ มันทำให้นางมีความสุขมาก แต่คิดไม่ถึงว่าหนานหว่านเยียนกลับจับพลัดจับผลูช่วยชีวิตพระชายาเอาไว้ได้จริงๆ
แม้กระทั่งฝ่าบาทก็ยังให้ความสำคัญต่อนางเล็กน้อยแล้ว!
นางระงับความริษยาในใจเอาไว้ กล่าวด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยน: “เสด็จพ่อ ลูกเห็นหว่านเยียนเติบโตมาตั้งแต่เด็ก นังหนูคนนี้กินอาหารไม่ระวังมักจะสำลักอยู่บ่อยๆ นานวันเข้า นางก็เลยมีประสบการณ์ในการช่วยชีวิตคน ดังนั้นถึงได้ช่วยชีวิตพระชายาสิบเอาไว้อย่างราบรื่นเช่นนี้”
ความหมายในคำพูด หนานหว่านเยียนก็แค่ป่วยมานานจนคุ้นเคยหลักการแพทย์เท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก
หนานหว่านเยียนเหลือบมองหนานชิงชิงครู่หนึ่ง สีหน้าท่าทางในดวงตาหมุนเวียนและจางหายไป แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
ฝ่าบาททำหน้าตาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ในเมื่อพระชายาอี้มีประสบการณ์ ก็บอกเล่าประสบการณ์ออกมาให้ฟังหน่อยเถอะ ผู้อื่นจะได้ไม่กระทำการโดยไม่มีหลักเหตุผล”
สีหน้าของฮองเฮายิ่งมืดมนลงในทันที สายตามองไปทางหนานหว่านเยียนราวกับดาบแหลมคม
ฝ่าบาทนี่คือกำลังแอบเหน็บแนมว่านางทำซี้ซั้วอยู่!
หนานหว่านเยียนดูเหมือนจะมองสถานการณ์ที่กำลังพัฒนาอย่างลับๆไม่ออก กล่าวว่า: “เพคะ ลูกล้วนฟังคำของเสด็จพ่อ”
กู้โม่หานมองดูหนานหว่านเยียนที่เป็นเด็กดีเชื่อฟัง ในใจกลับมีเจตนาฆ่าปะทุขึ้นมากะทันหัน
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดหนานหว่านเยียนถึงเปลี่ยนไปได้ แต่อธิบายไม่ถูก เขาถึงกับมองผู้หญิงคนนี้ไม่ออก และหากหนานหว่านเยียนแข็งแกร่งขึ้นมา วันหน้าจะต้องทำลายเรื่องดีของเขาอย่างแน่นอน
เขาคำนับต่อไทเฮา “เสด็จย่าไทเฮา ในเมื่อน้องสะใภ้สิบก็ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าอย่างไรก็เริ่มงานเลี้ยงวันเกิดต่อไปเถอะ?”
เขาจะไม่ให้กู้โม่หานได้มีโอกาสในการลืมตาอ้าปากใดๆ ถึงแม้จะเป็นพระชายาของเขาก็ไม่ได้เช่นกัน!
ไทเฮากลับไม่ได้สนใจอ๋องเฉิง เหล่าไท่ไท่มองดูหนานหว่านเยียนด้วยรอยยิ้มมีเมตตา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
หลานสะใภ้ของนางคนนี้ ในระยะเวลาห้าปี ถึงกับเปลี่ยนไปเป็นฉลาดและมีความสามารถเช่นนี้แล้ว หลานสะใภ้ที่ทั้งงดงามทั้งรู้หลักเหตุผลเช่นนี้ ได้รับการยอมรับในใจนางอย่างมาก
ไทเฮามองไปทางฮ่องเต้ น้ำเสียงตามใจ “ฮ่องเต้ วันนี้เยียนเอ๋อร์ช่วยชีวิตหยิงหยิงเอาไว้ เจ้าว่าสมควรจะให้รางวัลใช่หรือไม่?”
สีหน้าของอ๋องเฉิงที่ถูกเมินเฉยเย็นชาลงมาอย่างรวดเร็ว แอบกำหมัดเอาไว้แน่น
หนานชิงชิงเห็นอยู่ในสายตา กุมมือของเขาเอาไว้ส่งสัญญาณให้เขาอย่าเพิ่งโกรธไป แต่ไฟริษยาในดวงตาของตัวนางเองกลับลุกโชนไม่หยุด
ฮ่องเต้ก็ชมเชยเช่นกัน “ไทเฮาตรัสถูกต้องแล้ว ตกรางวัล! สมควรต้องตกรางวัลอยู่แล้ว! พระชายาอี้ เจ้าอยากได้อะไร?”
หนานหว่านเยียนรู้สึกว่าไทเฮาเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งจริงๆ!
ยอดเยี่ยมมาก!
นางไม่ได้คิดด้วยซ้ำ กล่าวออกมาตามตรง: “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ เสด็จย่าไทเฮาที่ประทานรางวัล! ลูกอยากได้เงินเพคะ!”
ทุกคน: “……”