ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 62 เจาะพิสูจน์เลือด
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 62 เจาะพิสูจน์เลือด
ทันทีที่สิ้นเสียงลง สายตาของเสิ่นอี่ว์ก็แสดงออกถึงความตื่นเต้น แต่คำต่อจากนั้นของกู้โม่หาน ราวกับราดน้ำเย็นใส่หัวของเขา!
“ข้าอยากจะฉีกเนื้อหนังของหนานหว่านเยียนออกเหลือเกิน! แล้วหั่นให้เป็นชิ้นๆ เอาไปโยนทิ้งน้ำ! สตรีเช่นนี้ หากข้ายังเอาไว้ข้างกายก็มีแต่ความซวย!”
สีหน้าของกู้โม่หานเคร่งขรึมขึ้น แววตาดุร้าย
บัดนี้เพียงแค่เขาคิดถึงฉากต่างๆ ที่เมื่อสองวันมานี้หนานหว่านเยียนทำให้เขาต้องอับอาย ในใจก็ยิ่งโมโห
หนานหว่านเยียนทำให้เขาต้องอับอายในงานเลี้ยงและงานเสกสมรส ขุดหลุมพรางให้เขาตกลงไปต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องใดบ้างที่มิใช่เรื่องใหญ่โต!
“เจ้ารู้ว่าเดิมทีข้านั้นก็มิถูกชะตากับจวนเฉิงเซี่ยงมาตลอด! หนานหว่านเยียนก็มิได้ยกเว้น! ดังนั้นข้าจึงสนใจนางเป็นแน่! ข้าอยากให้นางตายทั้งเป็น!”
อีกอย่าง เขาจะคอยจับจ้องมองดูหนานหว่านเยียน มิให้นางสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีก มิเช่นนั้นเขาคงเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
เสิ่นอี่ว์ฟังเสร็จแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาละทิ้งความคิดในใจไป
จากนั้นรีบใช้โอกาสเอ่ยขึ้นมาว่า “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ความแค้นระหว่างหนานเฉิงเซี่ยงกับจวนอ๋องนั้น จะลืมมิได้”
ก็จริง ท่านอ๋องและพระชายานั้นถูกกำหนดไว้แล้วว่ามิอาจคู่กัน
แม้เขาจะมิรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในจวนอ๋องและพระราชวัง แต่ดูจากท่าทีของท่านอ๋อง พระชายาคงทำให้ท่านอ๋องอับอายพอควร ดูท่านอ๋องรีบร้อนใจและเกลียดนางขึ้นกว่าเดิม
น่าเสียดาย ท้ายที่สุดแล้วพระชายาก็เป็นคนในตระกูลหนาน เป็นศัตรูของจวนอ๋องอี้ มิเช่นนั้นทั้งสองดูเหมาะสมกันมิน้อย
กู้โม่หานหันไปมองดูเสิ่นอี่ว์แล้วขมวดคิ้วขึ้นราวกับนึกบางสิ่งได้ เขาหันไปกำชับกับเสิ่นอี่ว์ว่า “อีกสองวันหนานหว่านเยียนจะเดินทางกลับไปจวนเฉิงเซี่ยง อาจมิได้อยู่ที่จวนอ๋อง เอาไว้ข้าจะให้คนพานางมาดูอาการเจ้า สองสามวันมานี้ข้ามัวยุ่งอยู่เสียจนลืม”
เสิ่นอี่ว์รู้สึกอุ่นใจ เขาเอ่ยขอบคุณว่า “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้วขอรับ บัดนี้กระหม่อมดีขึ้นมาก เพียงแค่กินยาก็ดี เพียงแต่……”
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปว่า “พระชายาจะกลับไปยังจวนเฉิงเซี่ยงที่ห้าปีมานี้มิเคยเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบนางเลยงั้นหรือ?”
กู้โม่หานส่งเสียงหึๆ ออกมาด้วยความเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยการเสียดสี
“เจ้ามิเห็นหรอกว่างานเลี้ยงวันเกิดในคืนนั้น สองพ่อลูกเข้ากันได้ดีเพียงไร เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เกรงว่าห้าปีมานี้พวกเขามิได้ขาดการติดต่อกัน ข้าประเมินพวกเขาต่ำไป”
“ช่างเถอะ อย่าได้เอ่ยถึงหนานหว่านเยียนสตรีชั่วร้ายผู้นี้เลย เจ้าวางใจเถอะ สองวันนี้ข้าจะให้นางเดินทางมาดูอาการให้เจ้า มิเช่นนั้นข้าจะถอนเขี้ยวของนางออก มิให้นางสามารถไปกัดใครได้อีก”
หนานว่านเยียนมักคอยกัดเขาตลอดเวลา และดูจะหนักขึ้นทุกครา เขาจะต้องหาโอกาสแก้แค้น ให้นางต้องชดใช้ในสิ่งที่นางทำเอาไว้ให้ได้!เสิ่นอี่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามกฎของซีเหย่แล้ว ภรรยาคนใดก็ตามที่เพิ่งแต่งเข้ามา จะต้องเดินทางกลับบ้านตนเองไปพบกับญาติหลังสองวัน
เมื่อถึงเวลานั้น กู้โม่หานจะไปกับใคร?
“ท่านอ๋อง……” เสิ่นอี่ว์ขยับปากแต่ในที่สุดก็เงียบไป
แม้เขาจะอยากรู้มาก แต่ก็มิกล้าเอ่ยถาม ด้วยเกรงว่ากู้โม่หานได้ยินแล้วจะโมโหยิ่งกว่าเดิม จากนั้นจะระบายความโมโหเหล่านี้ไปที่หนานหว่านเยียน เมื่อถึงเวลา หนานหว่านเยียนก็คงจะถูกลงโทษอีกเป็นแน่
แม้เขาจะเข้าข้างท่านอ๋อง แต่ก็มิอยากเห็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตนเอาไว้จะต้องถูกลงโทษโดยไร้ความผิด
ดังนั้นไม่ถามดีกว่า อีกอย่าง หากท่านอ๋องตัดสินใจแล้ว เขาที่เป็นเพียงผู้คุ้มกัน จะมีสิทธิ์อะไรเข้าไปยุ่งเรื่องนี้
กู้โม่หานมิได้ยินคำพูดของเขา เมื่อเขามั่นใจว่าเสิ่นอี่ว์มิเป็นอะไรมากแล้ว ก็ตั้งใจจะหันหลังเดินจากไป แต่ถูกเสิ่นอี่ว์เรียกเอาไว้ว่า
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ มีบางเรื่องที่กระหม่อมอยากจะเอ่ยถาม เกี่ยวกับธิดาทั้งสองของพระชายา เด็กสองคนนั้นหากว่าท่านอ๋องรู้สึกสงสัยแคลงใจ เหตุใดจึงมิไปทำการพิสูจน์เลือด เพื่อดูว่าพวกนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านจริงหรือไม่?”
แม่หนูทั้งสองน่ะหรือ……
กู้โม่หานขมวดคิ้วเข้าหากัน ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามิเชื่อเรื่องผีปีศาจเหล่านั้น อีกอย่าง เด็กนั้นเป็นลูกของข้าหรือไม่ หนานหว่านเยียน สตรีผู้นั้นรู้อยู่แก่ใจ เพียงเอ่ยถามนางก็ได้ มิช้าก็เร็วข้าจะต้องทำให้นางยอมเอ่ยปาก”
“เจ้าเองก็อย่าได้คิดมากไป ข้าให้เจ้าพักผ่อนก็ควรพักผ่อนเถอะ ข้าจะไปตามหนานหว่านเยียนมารักษาอาการให้เจ้าบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้ายังต้องการสิ่งใด ก็จงสั่งให้พ่อบ้านกาวไปซื้อหามา”
ผู้ชายทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคนี้จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เมื่อมองไปยังร่างของกู้โม่หานที่เดินจากไปไกลแล้ว ความสงสัยในใจของเสิ่นอี่ว์ก็ทวีคูณมากขึ้น
เขามีความรู้สึกว่าท่าทีที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาเปลี่ยนไปมิเหมือนเดิม
แต่หากว่าท่านอ๋องจะยังจองล้างจองผลาญอาฆาตพระชายาเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสถานการณ์จะมิดีนัก……
เสิ่นอี่ว์มิรู้ว่าความคิดของตนนี้ ในอนาคตอันใกล้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นความจริง
หลังจากที่กู้โม่หานออกมาจากเรือนซีเฟิง ก็ได้ตรงไปที่เรือนเซียงหลิน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจในวันนี้ก็คือเมื่อตรงเข้าไปในเรือนเซียงหลินแล้ว นอกจากบ่าวรับใช้ เขามิเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยแม้แต่คนเดียว
มิเห็นแม่หนูน้อยทั้งสองและสุนัขตัวโตที่หน้าประตู ทั้งยังมิเห็นใบหน้าของหนานหว่านเยียนที่ทำให้เขารู้สึกโมโหทุกครั้ง เขาอดมิได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ตามปกติแล้วเจ้าหนูทั้งสองน่าจะออกมาเล่นกันแล้วในเวลานี้นี้
เขาระงับความสงสัยของตนลง แล้วเดินขมวดคิ้วตรงเข้าไปด้านในเรือน
เซียงอวี้เห็นกู้โม่หานจะตรงเข้าไปในห้องเช่นนั้น จึงเข้าไปรั้ง “ท่านอ๋องเพคะ พระชายายัง……”
เซียงเหลียนหันมาส่ายหน้ากับเซียงอวี้ เป็นความหมายว่าอย่าเอ่ยให้มากความไป
บางทีหากเป็นเช่นนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ของท่านอ๋องและพระชายาดีขึ้นก็ได้นี่
หลังจากที่กู้โม่หานเข้าไปในห้องแล้วเขาก็เริ่มมองไปรอบๆ แต่ก็ยังมิเห็นร่องรอยของสองพี่น้องแต่อย่างใด สายตาของผู้ชายเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เขาหันตัวเดินเข้าไปในห้องนอน
“หนานหว่าน……”
น้ำเสียงนั้นชะงักลงทันที
ดวงตาของกู้โม่หานหดตัวลงอย่างกะทันหัน เขายืนตกตะลึงตัวแข็งทื่อจ้องมองฉากอันน่าพิสมัยตรงหน้านี้
เขาพบหญิงสาวนอนกึ่งเปลือยกายอยู่บนเตียงต่อหน้าต่อตา มือของสตรีผู้นั้นถือหนังสือเอาไว้ กำลังอ่านอย่างเพลิดเพลิน
ผ้าโปร่งผืนหนึ่งถูกคลุมไว้บริเวณสะโพก เผยผิวขาวใสให้เห็น ช่างเย้ายวนใจผู้ชาย
แม้ว่ารอยแผลที่บนแผ่นหลังของนางจะดูน่าตกใจ แต่ก็มิได้ขัดขวางผิวพรรณอันผ่องใสของนางเลย มันปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตาของเขาในตอนนี้
หนานหว่านเยียนยังคงฮัมเพลงอยู่ในลำคอ ผมยาวสลวยแผ่ซ่านปกคลุมไปที่บ่าของนาง ใบหน้าอันงดงามที่มองจากด้านข้างชวนให้ตกตะลึง
กู้โม่หานกลืนน้ำลายลงคออย่างมิรู้ตัว ความรู้สึกร้อนผ่าวพลุ่งพล่านขึ้นมา เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายของเขา