ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1 ปล้นเครื่องบิน ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 ปล้นเครื่องบิน
คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน…
คำคำนี้ใช้อธิบายความรู้สึกของเย่เชียนได้ดีที่สุด ขณะที่เขานั่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์ที่กำลังมุ่งหน้าสู่ประเทศจีน เมื่อเขามองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นตึกสูงตระหง่านตั้งอยู่เบื้องล่าง เย่เชียนเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
เป็นเวลากว่าแปดปีแล้วที่เย่เชียนเดินทางออกจากประเทศจีน ในตอนนั้นเขาอายุได้เพียง 17 ปี ซึ่งยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไร้เดียงสาและอ่อนแอ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ทว่าถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอดอ่อนไหวไม่ได้ ยิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดของเขามากเท่าไร ตัวเขาก็กระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้น
“คุณผู้โดยสารคะ… ไม่ทราบว่าคุณต้องการรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มไหมคะ ?” แอร์โฮสเตสสาวสวยเดินมาหาและเอ่ยถามเขา ก่อนที่เธอจะเดินต่อไปหาชายวัยกลางคนในชุดสูทถัดจากที่นั่งของเขา
ณ ห้องโดยสารชั้นเฟิร์สคลาสที่เต็มไปด้วยมหาเศรษฐีมากมายหรือเรียกกันอีกอย่างว่า ‘สังคมชนชั้นสูง’ ชายวัยกลางคนในชุดสูทโก้หรูกำลังยิ้มเย้ยหยันใส่เย่เชียน เหตุผลเพียงเพราะเย่เชียนแต่งตัวเรียบง่ายสบาย ๆ เขาใส่แค่เสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงสีแปลกตากับรองเท้าบูทเก่า ๆ ฝุ่นเกาะกรัง
ชายวัยกลางคนคนนั้นเหลือบมองเย่เชียนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกเหยียดหยาม แต่เย่เชียนก็ได้ไม่ใส่ใจอะไรนัก เขาหันไปตอบแอร์โฮสเตสสาว
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”
แอร์โฮสเตสสาวมองเย่เชียนอย่างเย็นชา ขณะที่ชายวัยกลางคนเองก็มองมายังเย่เชียนอีกครั้งและกล่าวว่า “แย่จังนะครับ ไม่รู้ว่าพวกขอทานเข้ามาอยู่ในชั้นเฟิร์สคลาสได้ยังไง!”
เย่เชียนรู้สึกหนวกหูและรำคาญใจกับคำสบประมาทของชายวัยกลางคนคนนี้ โดยปกติแล้วเขาเห็นผู้คนมากมายบนโลกที่เป็นเหมือนกับชายวัยกลางคน คนพวกนี้เป็นประเภท ‘ชอบดูถูกและกดขี่ข่มเหงผู้อื่น’ แต่อย่างไรก็ตาม คนประเภทนี้มักจะพบกับจุดจบอันสาสมด้วยน้ำมือของเย่เชียนมานักต่อนักแล้ว
แอร์โฮสเตสสาวส่งยิ้มอย่างสุภาพให้กับชายวัยกลางคนและถามคําถามเดียวกันกับที่ถามเย่เชียน เพราะท้ายที่สุดแล้ว สำหรับเธอ ลูกค้าคือพระเจ้า ถึงแม้ว่าเย่เชียนอาจจะเป็นขอทานจริง ๆ ก็ตาม แต่ตราบใดที่เขาจ่ายเงินซื้อตั๋วขึ้นเครื่องมา เธอก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพเฉกเช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่ฐานะสูงกว่า นอกจากนั้นแล้ว ในสายตาของเธอเย่เชียนยังมีดี เขาทั้งหล่อทั้งสง่างามอย่างมาก พูดง่าย ๆ คือเขาดูเหมือนเป็นนักเลงบ้านนอกที่หล่อเหลาเอาการอย่างไรอย่างนั้น
ปัง!
ทันใดนั้น มีเสียงปืนดังออกมาจากห้องเครื่องยนต์ ชายสี่คนเดินออกมาพร้อมกับอาวุธปืน AK47 ซึ่งจ่อไปทางผู้โดยสารเสมือนเตรียมจะยิงกราด
แน่นอนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพวกผู้ก่อร้ายอาวุธครบมือเช่นนี้ เหล่าผู้โดยสารต่างก็ตื่นตระหนก
“หยุด! อย่าขยับ!” หนึ่งในผู้ก่อการร้ายตะโกน
“พวกเราไม่ต้องการฆ่าพวกแก เราเพียงต้องการให้พวกแกส่งมอบของมีค่ามาให้หมดและทําตามคําสั่งของพวกเรา”
เย่เชียนเหลือบตามองไปที่ผู้ก่อการร้าย ก่อนที่จะหันกลับมามองคนที่นั่งถัดจากเขาซึ่งก็คือชายวัยกลางคนที่กำลังตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งดูท่าทางเกรี้ยวกราดและน่ากลัว เขาหันกระบอกปืนไปทางห้องโดยสารของเครื่อง ในขณะเดียวกันผู้ก่อการร้ายอีกคนก็พยักหน้าเล็กน้อยให้เขา เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้จะต้องเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างแน่นอน และเขาเองก็คงไม่ใช่คนโง่ ดูก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องเข้าควบคุมเครื่องบินลํานี้ให้ได้ เพราะหากปล่อยให้เครื่องบินลํานี้ลงจอดสู่สนามบินจีนได้เมื่อใด ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ก็คงทําได้แค่เพียงรอคอยความตายเท่านั้น
ในประเทศจีน การจี้ปล้นเครื่องบินมีโทษร้ายแรงอย่างมากและถือเป็นความผิดมหันต์ การกระทําเช่นนี้ของพวกเขาจะต้องพบกับจุดจบสุดท้ายนั่นก็คือ…ความตาย
หลังจากนั้น ผู้ก่อการร้ายร่างผอมเตี้ยก็มุ่งหน้าไปทางห้องนักบิน และคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าก็สั่งอีกสองคนที่เหลือว่า “พวกแกไปเอาของมีค่ามา!”
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ผู้คนต่างตื่นตระหนกและรู้สึกเสียใจกับตัวเอง พวกเขาทำได้แค่เพียงยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับพวกมันอย่างไร้หนทางเพราะผู้ก่อการร้ายจ่อปืนไว้บนหน้าผากของแต่ละคน
ขณะนั้นเอง หนึ่งในผู้ก่อการร้ายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่เชียนแล้วตะโกนใส่หน้าเขา “ส่งของมีค่าของแกมาซะ ไอ้เบื๊อก!”
เย่เชียนส่ายหัวเบา ๆ และเอ่ยเสียงเย็น “ใจเย็น ๆ พี่ชาย… พี่ดูผมสิ สารรูปของผมดูเหมือนคนรวยงั้นหรือ ? ถ้าพี่ต้องการของมีค่าพี่ก็ไปขอตาแก่นั่นสิ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีแต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น เขาจะต้องรวยกว่าผมอย่างแน่นอน” เย่เชียนเย้ยหยันขณะที่เขาชี้ไปทางชายวัยกลางคนข้าง ๆ
เย่เชียนไม่ใช่สุภาพบุรุษประเภทที่จะรอถึงสิบปีก่อนแล้วค่อยแก้แค้น เขาจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์หรือโอกาสใดก็ตามที่มีและจะลงมือแก้แค้นใครก็ตามที่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจในทันที
ชายวัยกลางคนเขม่นตามองเย่เชียนอย่างโกรธแค้น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้ายและปากกระบอกปืนจ่อกบาลเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจใด ๆ จึงรีบควักเอาเงินทั้งหมดออกมา อีกทั้งยังเร่งถอดนาฬิกาข้อมือสุดหรูและถอดสร้อยคอราคาแพงออกจากคอของตนก่อนจะส่งมอบของทั้งหมดให้กับผู้ก่อการร้ายทันที
“โอ้! พี่ชาย… ดูสิดู! ในปากของเขามีฟันทองอยู่หลายซี่เลยนะนั่น” เย่เชียนพูดขณะชี้นิ้วไปที่ชายวัยกลางคนอีกครั้ง
สายตาของผู้ก่อการร้ายหันกลับไปที่ชายวัยกลางคนทันที ตอนนี้ใบหน้าของชายวัยกลางคนซีดเป็นไก่ต้ม เขาก่นด่าสาปแช่งเย่เชียนในใจและสาบานว่าถ้าเขามีโอกาสเจอเย่เชียนอีกครั้งในอนาคต เขาจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้แก่เย่เชียนอย่างสาสม
“เอามันออกมา! เร็วเข้า! พ่อแกถือปืนอยู่นี่ไม่เห็นรึไง!” ผู้ก่อการร้ายตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดขณะที่จ่อ AK47 ไว้บนหัวของชายวัยกลางคน
“ผะ… ผมจะเอาฟันพวกนี้ออกมาได้ยังไง ?” ชายวัยกลางคนถามอย่างใสซื่อ
“ถ้าแกทำไม่ได้เดี๋ยวข้าจะช่วยเอง!”
ปั้ก!
ไม่เพียงแค่พูดขู่เท่านั้น แต่ผู้ก่อการร้ายยังเอาพานท้ายปืนทุบเข้าไปที่ปากของชายวัยกลางคนอย่างจังทำให้ฟันทองคำหลุดออกมาจากปากของเขา! เลือดสด ๆ ไหลออกมามากมายขณะที่เขาร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช
“ไอ้เวรเอ๊ย!… หุบปากเน่า ๆ ของแกเดี๋ยวนี้ หรือแกอยากจะกินลูกตะกั่วห๊ะ!” ผู้ก่อการร้ายตะคอกออกมาอย่างกราดเกรี้ยว รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ชายวัยกลางคนจึงกลั้นใจเงียบและกุมปากตนเองไว้แน่นขณะที่ยังทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอยู่
“ส่วนแก เร็ว ๆ เข้า! แม้แกจะดูเหลือขอเต็มทนแต่แกมีอะไรมีค่าก็เอาออกมาซะ” ผู้ก่อการร้ายเล็งปืนกลับไปที่เย่เชียน สายตาเต็มไปด้วยความละโมบ
ชายวัยกลางคนยังคงก่นด่าสาปแช่งเย่เชียนอยู่ในใจ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังภาวนาให้ผู้ก่อการร้ายฆ่าเย่เชียนทิ้ง อย่างไรก็ตาม เย่เชียนไม่ได้รับรู้ถึงความคิดชั่วร้ายที่ผุดขึ้นในหัวของชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย
เย่เชียนตอบอย่างบริสุทธิ์ใจว่า “พี่ชาย ผมไม่มีเงินจริง ๆ”
“ไอ้เวรนี่… แกคิดว่าข้าโง่เรอะ ? แกนั่งอยู่ชั้นเฟิร์สคลาสแล้วแกจะไม่มีเงินได้ยังไง ?! แกอยากโดนปืนเป่าสมองไหลรึไงวะ อย่ามาโทษก็แล้วกันถ้าแกตายขึ้นมา” ผู้ก่อการร้ายเดินตรงเข้าไปหาเย่เชียนซึ่ง ๆ หน้าขณะที่ปากก็ยังคงตะโกนโหวกเหวกดังลั่น
“ถ้าพี่ไม่เชื่อผม พี่ก็ลองค้นตัวผมดูสิ” เย่เชียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขากางแขนออกท้าให้ค้น
ผู้ก่อการร้ายถึงกับตกตะลึงกับการกระทำเช่นนี้ไปชั่วครู่ แต่เขาก็รีบพูดว่า “แกอย่าทำอะไรโง่ ๆ ก็แล้วกัน ข้าถือปืนอยู่แกแหกตาดูด้วย” ผู้ก่อการร้ายพูดข่มขู่ก่อนจะเริ่มค้นตัวของเย่เชียน
เย่เชียนแอบกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจดูสถาณการณ์บนเครื่อง รวมถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ยังไม่กลับมา ในขณะที่ผู้นําของกลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้ยังคงเฝ้าระวังทางเข้าอย่างระมัดระวังนั้น เขามองไปที่ผู้โดยสารในห้องเครื่องและเห็นว่าลูกน้องกําลังไล่รวบรวมของมีค่าไปเรื่อย ๆ
“เฮ้ย! นี่มันอะไรวะ ?!” จู่ ๆ ผู้ก่อการร้ายก็ค้นเจอบางสิ่งที่อยู่ในรองเท้าของเย่เชียน
“จะอะไรก็ช่าง แต่แกเอามันไปไม่ได้” เย่เชียนตอบเรียบ ๆ
“อย่ามายึกยัก เร็วเข้า! เอามันออกมาเดี๋ยวนี้!” ผู้ก่อการร้ายตะคอกและจงใจจ่อปืนไปที่หน้าอกของเย่เชียน
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและค่อย ๆ แตะที่รองเท้าของเขา ทันใดนั้นเองก็เกิดประกายไฟสีแดงวูบขึ้นมา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผู้ก่อการร้ายยังไม่ทันมีโอกาสตอบโต้ เขาก็ล้มลงบนพื้นเสียแล้ว ใบหน้าของเขาซีดเผือด
แสงสีแดงที่เห็นนั่นคือมีดของเย่เชียนซึ่งมันสังหารชายผู้นั้นได้ในพริบตา มีดนี้มีชื่อว่า—ซูหลาง มันมีสีแดงสดเสมือนถูกย้อมด้วยเลือดข้น ๆ
เนื่องจากเย่เชียนได้เปิดเผยตัวตนไปแล้วเขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไป มีดที่อยู่ในมือของเขาถูกปาออกไปอย่างรวดเร็วและมันแทงตรงเข้าไปที่หน้าอกด้านซ้ายของหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้าย มีดนั้นปักอยู่ใต้อกอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงด้ามจับที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเท่านั้น ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าเย่เชียนแข็งแกร่งมากเพียงใด!