ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 114 จ้าวหยาหายไป
“ผมเพิ่งเข้าไปหาพ่อมาเมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง” หลี่ฮ่าวตอบเรียบ ๆ เขาเงียบไปครุ่หนึ่งจึงพูดต่ออีกว่า “พ่อเขาถามว่า พี่เป็นยังไงบ้างแล้วก็กำลังทำอะไรอยู่ ผมไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่ายังไงดีก็เลยบอกไปว่าพี่อยู่ที่บริษัทเทียนหยากรุ๊ป ผมจำได้ว่าพี่บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทนี้ใช่มั้ย ?”
เย่เชียนยิ้มเจื่อน ๆ “อือใช่ โชคดีนะที่นายยังจำได้ เพราะถ้านายพูดเรื่องไร้สาระอื่น ๆ ไป ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายกับพ่อยังไงดีเมื่อฉันกลับไปหาเขา เอ้อ… ฉันมีคนคนนึงที่จะมาช่วยหาบ้านใหม่ให้พ่อและเสี่ยวเซ่ลอยู่ เพราะพ่อแกก็อายุมากแล้ว เขาควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ แล้วถ้าพ่อถามว่าฉันเอาเงินทั้งหมดนี้มาจากไหนล่ะก็ นายและพี่ใหญ่ต้องช่วยฉันแสร้งยืนยันด้วยว่า เงินนั้นมาจากพวกเราทั้งสามคนและเราก็ช่วยกันผ่อนจ่ายเป็นงวด ๆ”
“เฮ้อ… จริง ๆ แล้วผมน่ะอยากให้พ่อย้ายมาอยู่กับผมนะ แต่ต่อให้ผมพูดยังไงเขาก็ไม่ยอม ชีวิตของเขาน่ะไม่ว่าจะอยู่หรือตาย เขาก็อยากจะอยู่แต่ที่บ้านเกิดของเขาเท่านั้น พี่สอง… ไม่แน่พี่อาจจะทำได้ก็ได้แต่เราต้องตกลงกัน เรื่องเงินสำหรับจ่ายค่าบ้านน่ะ เราสามคนพี่น้องจะช่วยกันออก ผมไม่ยอมให้พี่สองต้องจ่ายคนเดียวหรอก”
ตอนนี้หลี่ฮ่าวรู้แล้วว่าเย่เชียนไม่ได้เป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดา ๆ มิฉะนั้นเขาจะสามารถให้ของขวัญอันล้ำค่าแก่หวังปิงอย่างภาพโบราณถังป๋อหูของแท้ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านหยวนได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จริง ๆ ว่าเย่เชียนทำงานประเภทไหนก็ตามที
การเป็นพี่น้องกันนั้น บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดออกมา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน หลี่ฮ่าวเชื่อในตัวเย่เชียนมาก เขารู้ว่าคนอย่างเย่เชียนจะไม่มีวันทำร้ายครอบครัวหรือปล่อยให้ครอบครัวถูกทำร้ายอย่างแน่นอน
และการที่เย่เชียนกับหวังปิงได้มาเป็นพันธมิตรกันอยู่ในขณะนี้ หลี่ฮ่าวก็ยิ่งมั่นใจในตัวเย่เชียนมากยิ่งขึ้นอีก เพราะด้านหนึ่งคือความรักในครอบครัว ส่วนอีกด้านหนึ่งคือผู้มีพระคุณของเขา เพราะฉะนั้น หลี่ฮ่าวก็หมดความกังวล เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกข้างอีกต่อไป
เย่เชียนรู้ว่าหลี่ฮ่าวนั้นเป็นคนแบบไหน ดังนั้นเขาจึงไม่ออกความคิดเห็นใด ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เย่เชียนก็ไม่ได้อยากที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่เกินไป บ้านที่เขาดูไว้มันมีเพียงแค่สามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น และสองห้องน้ำ ขนาดพื้นที่โดยรวมอยู่ที่ 100 ตารางเมตร ซึ่งพ่อน่าจะยอมรับได้ มันไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะซ่อนอะไรจากพ่อ เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้พ่อต้องเป็นกังวลหลังจากรู้ว่าเขาทำอะไรมา ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นทีละน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้มีโอกาสมากขึ้นที่พ่อจะยอมรับสิ่งพวกนี้
หลี่ฮ่าวส่งเย่เชียนลงที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็พูดอย่างยิ้มแย้มกับเย่เชียนว่า “พี่สอง! ผมว่าพี่ควรเริ่มสร้างครอบครัวของพี่จริง ๆ จัง ๆ ได้แล้วนะ พี่ใหญ่กับผมก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พี่สองเนี่ยแหละ ผมคิดว่าสิ่งที่พ่อเขาหวังมากที่สุดก็คือพี่ต้องรีบมีหลานให้เขา”
เย่เชียนหัวเราะอย่างซุกซน “ฮ่า ๆ ๆ! ทำไงได้ล่ะ ? นายรู้มั้ยว่าบางครั้งความหล่อของฉันมันก็เป็นเหมือนคำสาป ชีวิตฉันน่ะนะมีผู้หญิงเข้ามามากมาย และฉันเองก็มีความรักมากมายที่จะมอบให้แก่ผู้หญิงพวกนั้นเช่นกัน… ถ้าฉันจะต้องเลือกแต่งงานกับผู้หญิงเพียงคนเดียว พวกเธอที่เหลือก็จะต้องเจ็บปวดและเสียใจน่ะสิ ฉันน่ะเป็นคนขี้ใจอ่อน แล้วฉันก็ไม่อยากทำให้ผู้หญิงคนไหนต้องเสียใจเลยสักคน ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นพวกเธอเศร้าน่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
หลี่ฮ่าวจ้องมองกลับอย่างเหม่อลอย “โธ่พี่สอง… พูดแบบนี้อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกันนะพี่ ถึงเวลา… ระวังพี่จะไม่เหลือใครเอานะ”
เย่เชียนยักไหล่ไม่สนใจคำพูดของหลี่ฮ่าว “เรื่องแบบนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นกับพี่หรอก… เสน่ห์ของพี่ชายนายน่ะ ยากที่จะต้านทานได้ ฮ่า ๆ ๆ” พูดจบเขาก็รีบเดินไปที่ประตูมหาวิทยาลัย ปล่อยให้หลี่ฮ่าวนั่งถอนหายใจตามหลัง
หลังจากที่เข้าไปในมหาวิทยาลัยแล้ว เย่เชียนก็ตรงไปที่ห้องเรียนของเขาทันที เย่เชียนไม่รู้จักเพื่อนร่วมชั้นของเขาเลยสักคนจึงทำให้ไม่มีการทักทายกันเกิดขึ้นตอนที่เขาเดินเข้าไปในห้อง แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็คงมีไม่กี่คนหรอก ที่จะอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาคนนี้ที่เคยมาเรียนเพียงแค่ครั้งเดียวและไม่เคยมาอีกเลยจนกระทั่งวันนี้
เมื่อเย่เชียนเดินไปที่ที่นั่งของเขา เขาก็พบว่าจ้าวหยาไม่ได้มาเรียน เย่เชียนประหลาดใจมากเพราะถึงแม้ว่าจ้าวหยาจะเป็นคนหัวรั้นเอาแต่ใจ แต่เธอก็ยังเป็นนักเรียนดีเด่น และการที่เธอไม่เข้าเรียนนั้นก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องแปลก
เย่เชียนเริ่มสงสัยว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า แต่คลาสเรียนนั้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว มันจึงไม่เป็นการดีที่เย่เชียนจะเดินออกไปตอนนี้
คลาสเรียนนี้มีเนื้อหาการเรียนการสอนเกี่ยวกับการเมือง อาจารย์ผู้สอนเป็นชายแก่ ๆ ที่ไม่มีความน่าสนใจเอาเสียเลย ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลยตลอดทั้งคาบเรียน เขาหมอบลงไปนอนอย่างเบื่อหน่ายและตระหนักได้ว่าการไปโรงเรียนมันไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างที่เขาคิดเอาไว้
ชั่วโมงเรียนยังคงดำเนินไปอย่างน่าเบื่อหน่าย อาจารย์แก่ ๆ ห้องเรียนเงียบ ๆ ที่น่าเบื่อเพราะไม่มีจ้าวหยานั่งอยู่ มันทรมานมากและมันทำให้เย่เชียนรู้สึกอยากตายเอามาก ๆ
โชคดีที่หลักสูตรภาษาฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในวิชาเอกที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ดังนั้นพวกนักศึกษาในห้องนี้จึงมีอิสระอยู่ไม่น้อย และอาจารย์ผู้สอนก็มีความหละหลวมไม่ได้เคร่งครัดมากนักในการจัดการนักศึกษาในห้อง
หลังจากที่เสียงระฆังดังขึ้นเพื่อเตือนว่าคลาสเรียนจบลง เย่เชียนก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก
เมื่อเย่เชียนเข้าไปในออฟฟิศของฉินหยู เขาก็พบว่าเธอเอนหัวของเธอเล็กน้อยขณะที่เธอกำลังตรวจดูการบ้านของนักศึกษาอย่างถี่ถ้วนและใส่ใจมาก เย่เชียนไม่ต้องการไปรบกวนเธอ ดังนั้นเขาจึงเดินไปนั่งลงเงียบ ๆ อยู่ที่มุมห้อง เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ช่างสวยน่ารักเหลือเกินในเวลาที่เธอทำสีหน้าจริงจังแบบนี้
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉินหยูก็ตรวจการบ้านของเหล่านักศึกษาเสร็จ เธอยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลายร่างกายที่เมื่อยล้า ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นเย่เชียนนั่งอยู่ เธอตกใจและถามขึ้นว่า “นายเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนน่ะ ?”
เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมมาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว… แต่ผมเห็นว่าคุณกำลังยุ่งอยู่ ผมเลยไม่อยากรบกวนคุณ”
ฉินหยูมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัย จากนั้นก็ถามอีกว่า “นายเสร็จธุระของนายแล้วเหรอ ?”
“ใช่… ผมเพิ่งจะกลับมาแล้วก็ตรงมาหาคุณทันทีเลย… ผมคิดถึงคุณจริง ๆ เลยนะเนี่ย เราไม่ได้เจอกันมาตั้งสองสามวันแน่ะ”
ถึงแม้ว่าคำพูดของเย่เชียนจะทำให้ดอกไม้แห่งความสุขบานสะพรั่งอยู่ภายในใจของฉินหยู แต่มันก็ไม่ได้เผยออกมาให้เห็นจากใบหน้าของเธอแม้แต่น้อย
“อือ ยังไงรอฉันหน่อยนะ… ฉันยังมีการบ้านที่ยังไม่ได้ตรวจอีกนิดหน่อย… ถ้าเสร็จแล้ว เราค่อยไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน” ฉินหยูพูดพลางก้มหน้าลงตรวจการบ้านต่อไป
“ฮิ ๆ ๆ คุณอยากไปเดทกับผมเหรอ ?” เย่เชียนถามในขณะที่เขาหัวเราะอย่างซุกซน
“นายอยากจะคิดแบบนั้นก็ได้…” ฉินหยูพูดโดยไม่ได้เงยหน้า
สำหรับคนที่มีบุคลิกเย็นชาอย่างฉินหยู การที่เธอจะพูดอะไรแบบนั้นออกมามันทำให้เย่เชียนรู้สึกดีมาก เพราะนั่นก็หมายความว่า เธอนั้นมีความรู้สึกดี ๆ ต่อเขาไม่น้อย
เย่เชียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นว่า “วันนี้จ้าวหยาไม่ได้มาเรียนเหรอ ?”
ฉินหยูส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน… เธอไม่ได้กลับมาที่บ้านเมื่อคืนนี้ และฉันก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย แต่ฉันส่งคนไปตรวจสอบแล้วนะะ เราน่าจะได้ข่าวเร็ว ๆ นี้แหละ”
เย่เชียนรู้สึกกังวลและรู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อย เพราะอู่หยางเทียนหมิงเพิ่งจะหนีออกจากคุกมา แล้วจากนั้นจ้าวหยาก็หายตัวไปอีก เขากลัวว่าการหายตัวไปของจ้าวหยาจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับอู่หยางเทียนหมิงจริง ๆ
ฉินหยูเห็นเย่เชียนขมวดคิ้วมุ่นดูเครียด ๆ เธอจึงถามอย่างเป็นห่วงว่า “นี่… นายคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับหยาเอ๋อร์หรือเปล่า ?”
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง… ผมหวังว่านะ” เย่เชียนพูดอย่างเศร้าใจ
ฉินหยูไม่เชื่อในคำพูดของเย่เชียน เพราะเมื่อมองไปที่การแสดงออกของเย่เชียนแล้ว เธอก็ค่อนข้างแน่ใจว่ามันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เธอรู้ว่าที่เย่เชียนพูดแบบนั้นก็เพราะเขาไม่อยากให้เธอต้องกังวล
“ยังไงนายรอฉันแป๊บนึงนะ… ฉันขอเคลียร์งานอีกนิดนึงก่อน”
“ตามสบายเลย… เดี๋ยวผมขอออกไปใช้โทรศัพท์แป๊บนึง” เย่เชียนพูดพลางยิ้มให้ฉินหยู
เมื่อออกจากออฟฟิศของฉินหยูแล้ว เย่เชียนก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรไปหาแจ็คทันที เมื่อแจ็ครับสาย เย่เชียนก็ถามอย่างกระวนกระวาย
“แจ็ค นายได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับอู่หยางเทียนหมิงแล้วหรือยัง ?”