ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 141 หลินโรโร่ว VS ฉินหยู
เย่เชียนผงะไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “คราวหน้านะ… คราวหน้าพี่ชายจะซื้อเจ้าแพะน้อยให้”
เบ็งเบ็งอุ้มตุ๊กตาเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับยิ้มหวาน “ขอบคุณค่ะพี่ชาย!”
เวลานี้จีเมิงฉิงได้นำอาหารออกมาวางไว้ที่โต๊ะจนหมดแล้ว เธอยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วพูดว่า “มากินกันเถอะ!”
“คุณแม่คะ… พี่ชายบอกว่าคราวหน้าพี่เขาจะซื้อแพะน้อยมาให้หนูด้วยล่ะ” เบ็งเบ็งพูดพลางวิ่งไปที่ด้านข้างของจีเมิงฉิงอย่างมีความสุข
จีเมิงฉิงมองเธออย่างอ่อนโยนและพูดว่า “แล้วหนูขอบคุณพี่ชายเขารึยังจ๊ะ ?”
“แน่นอนสิคะ… หนูขอบคุณพี่ชายไปแล้ว… เบ็งเบ็งเป็นเด็กดีนะ” เบ็งเบ็งทำปากเล็ก ๆ และพูดอย่างน่ารัก
เย่เชียนยิ้มกว้าง หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็ลูบหัวของเบ็งเบ็งอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “เบ็งเบ็งจ๋า… วันนี้เป็นวันเกิดของหนู หนูอธิษฐานอะไรเหรอ ?”
เบ็งเบ็งเอียงหัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “หนูอธิษฐานไปแค่อย่างเดียวเองค่ะพี่ชาย… หนูขอให้คุณแม่หาพ่อใหม่ให้หนูน่ะ… เพราะเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เขาก็มีพ่อกันทุกคนเลย มีแต่หนูคนเดียวที่ไม่มีพ่อ… หนูเองก็อยากมีพ่อเหมือนกับเพื่อน ๆ บ้าง”
จีเมิงฉิงและจางเจี้ยนหย่าร้างกันหลังจากที่เบ็งเบ็งเกิดมาได้ไม่นาน และจางเจี้ยนเองก็ไม่เคยดูแลแยแสเบ็งเบ็งเลย ดังนั้นเบ็งเบ็งจึงไม่มีความรู้สึกผูกพันกับจางเจี้ยนเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ ครั้งที่เบ็งเบ็งเห็นจางเจี้ยน เธอก็ไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จีเมิงฉิงจ้องมองอย่างหมดหนทางและพูดว่า “ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ” จากนั้นเธอก็หันหน้าไปทางเย่เชียนโดยไม่ได้ตั้งใจ แววตาของเธอเผยให้เห็นความหมายอันลึกซึ้งอย่างชัดเจน มันทำให้เย่เชียนตกตะลึงอย่างมากและรีบหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่เร็ว ๆ สิคะ หนูหิวแล้ว” จีเมิงฉิงได้ยินลูกสาวพูดดังนั้น เธอจึงรีบอุ้มเบ็งเบ็งไปนั่ง จากนั้นเธอก็นั่งลงตรงกันข้ามกับเย่เชียนและสบตากับเย่เชียนด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับคืนนี้นะคะ… มากินอาหารเถอะ”
เย่เชียนยิ้มอย่างซุกซนและพูดว่า “ผมต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอบคุณ… เพราะไม่งั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ผมจะไปหาข้าวกินที่ไหน ฮ่า ๆ ๆ ”
“ถ้างั้น… ว่าง ๆ คุณก็แวะมาที่นี่สิ… บางครั้งเราสองคนแม่ลูกกินข้าวด้วยกันมันก็จะเหงาหน่อย ๆ น่ะ… ถ้าคุณมากินข้าวกับเราบ่อย ๆ บ้านจะได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง” จีเมิงฉิงพูด
เมื่อเห็นการจ้องมองที่ร้อนแรงของจีเมิงฉิงแล้ว เย่เชียนก็ยิ้มกลับอย่างโง่เขลาและไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี เขาเพียงตอบแค่ว่า “อือฮึ…” ซ้ำกันหลาย ๆ ครั้งเพื่อเป็นการตอบกลับ
ส่วนเบ็งเบ็งนั้นกำลังหยิบช้อนขึ้นมาและค่อย ๆ ตักอาหารเข้าปากตัวเอง ขณะเดียวกันเธอก็จ้องมองไปที่จีเมิงฉิงและเย่เชียนด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมบนใบหน้า “คุณแม่คะ! คุณแม่ชอบพี่ชายเหรอ ? ถ้างั้นทำไมคุณแม่ไม่ให้พี่ชายเขามาเป็นพ่อของเบ็งเบ็งซะเลยล่ะ”
เมื่อเย่เชียนได้ยินเช่นนี้ เขาก็ตกตะลึงอย่างมากและสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ ส่วนจีเมิงฉิงก็จ้องมองเบ็งเบ็งด้วยสายตาตำหนิและพูดว่า “หนูเป็นเด็กจะไปรู้อะไร… เอ้า! กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ นะลูก” จากนั้นเธอก็หันไปหาเย่เชียนพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างลึกซึ้ง
เย่เชียนรีบก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขารู้สึกได้ถึงความหมายภายในดวงตาของจีเมิงฉิง แต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว จีเมิงฉิงก็นำเค้กขึ้นมาและจุดเทียน จากนั้นก็เดินไปปิดไฟทั้งหมด ณ เวลานี้มีเพียงแสงเทียนจาง ๆ เท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างอย่างแผ่วเบาไปทั่วทั้งห้อง
“คุณแม่… พี่ชาย… มาเป่าเทียนด้วยกันนะ” เบ็งเบ็งพูดพร้อมกับดึงจีเมิงฉิงและเย่เชียนเข้ามาใกล้
จังหวะนั้นจีเมิงฉิงและเย่เชียนต่างก็บังเอิญสบตากันอย่างช่วยไม่ได้ จีเมิงฉิงหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ขณะเดียวกันเย่เชียนเห็นภาพลวงตาปรากฏขึ้นมาราวกับว่าตัวของเขานั้นเป็นหัวหน้าครอบครัวจริง ๆ และพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและอยู่กันอย่างมีความสุขด้วยกันสามคน
เมื่อเป่าเทียนทั้งหมดจนดับไปแล้ว เบ็งเบ็งก็จูบไปที่แก้มของจีเมิงฉิงและเย่เชียน…
……
หลังจากที่หลินโรโร่วเลิกงาน เธอก็ตรงไปที่ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ที่นัดหมายกับฉินหยูเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อหลินโรโร่วมาถึงเธอก็เห็นฉินหยูนั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ฉินหยูเห็นหลินโรโร่วเดินเข้ามาหา เธอก็ยืนขึ้นและยิ้มให้เล็กน้อย
หลินโรโร่วยิ้มอย่างรู้สึกผิดและพูดว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องมารอ”
ฉินหยูยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ฉันก็เพิ่งจะมาถึงเหมือนกันค่ะ… คุณจะดื่มอะไรดี ?”
“กาแฟค่ะ!” หลินโรโร่วตอบ
ฉินหยูกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟมาแล้วสั่งว่า “กาแฟบลูเมาท์เทนหนึ่งแก้ว” จากนั้นเธอก็เหลือบไปมองหลินโรโร่ว “ทำไมเย่เชียนไม่มากับคุณด้วยล่ะ ?”
“เราแยกกันหลังจากที่ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วน่ะ… อันที่จริง… ที่ฉันนัดคุณมาวันนี้น่ะ เขาไม่รู้หรอก” หลินโรโร่วตอบ
ถึงแม้ว่าฉินหยูจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์และความตั้งใจที่แท้จริงของหลินโรโร่วนั้นคืออะไร แต่เธอก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ และเมื่อเธอเห็นความกระวนกระวายใจของหลินโรโร่วที่อยากจะพูดมันออกมานั้น ฉินหยูจึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าคุณมีอะไรจะพูด คุณก็พูดออกมาเถอะค่ะ”
“คือ… ฉัน… ฉัน” หลินโรโร่วหยุดไปชั่วขณะและเงยหน้าขึ้นมองฉินหยู จากนั้นเธอก็พูดว่า “คุณฉินคะ! คุณชอบเย่เชียนใช่มั้ยคะ ?”
ฉินหยูผงะไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็พยักหน้า “ใช่…! ฉันชอบเย่เชียน… เพราะถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชายที่ดีอย่างเขา มันก็คงจะเป็นเรื่องที่โกหก แต่พอมาวันนี้ วันที่ฉันได้รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว… และคุณหลินก็ดูเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ๆ ฉันก็เลยรู้สึกเศร้าและเสียใจนิดหน่อย ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ…”
“คุณฉินคะ! คุณเข้าใจผิดแล้ว… ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หลินโรโร่วรีบพูดต่อ “ที่ฉันขอให้คุณมาที่นี่ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าฉันต้องการที่จะถามคำถามพวกนั้น… ฉันแค่อยากจะคุยดี ๆ กับคุณก็เท่านั้นเองค่ะ ฉันรู้ดีค่ะว่าผู้ชายที่ดีอย่างเย่เชียนจะต้องมีผู้หญิงดี ๆ มากมายหลายคนมาอยู่รอบ ๆ ตัวเขา เย่เชียนน่ะเคยเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังนิดหน่อย… พอได้ฟังแล้วฉันก็คิดว่าคุณน่ะเหมาะกับเขามากกว่าฉันเสียอีก… อย่างน้อย ๆ ก็ในเรื่องอาชีพการงานล่ะนะ ที่คุณจะสามารถสนับสนุนเขาได้ดีกว่าฉัน… เอาจริง… ฉันว่าฉันนี่เป็นภาระของเขามากกว่าจะเป็นคนรักซะอีกนะ เฮ้อ! ฉันนี่มัวพูดอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้ คือว่า… สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับคุณจริง ๆ ก็คือ ถ้าคุณรักเขา ฉันก็พร้อมที่จะถอยให้…”
ฉินหยูตกตะลึงและแน่นิ่งไปชั่วครู่หลังจากที่ฟังคำพูดเหล่านั้นจากปากของหลินโรโร่ว เธอมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจและเห็นว่าภายในดวงตาของเธอนั้นมันเต็มไปด้วยความจริงใจโดยไม่มีแม้แต่ความเสแสร้งใด ๆ แฝงอยู่เลย ฉินหยูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร เพราะมันเป็นสิทธิของคนทุกคนที่จะต่อสู้เพื่อความรัก ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเย่เชียนถึงรักหลินโรโร่วมาก นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้มีข้อดีที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่จะมีได้
หลังจากที่เงียบไปสักพัก ฉินหยูก็พูดขึ้นว่า “คุณหลิน… คุณอยู่กับเย่เชียนมานานแล้ว ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะรู้จักเขาดีกว่าใครนะคะ ถ้าหากว่าฉันคนนี้เป็นคนทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองคน ฉันรู้ว่าเย่เชียนจะไม่มีวันให้อภัยฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้ว่าคุณนั้นจริงใจและไม่มีอุบายใด ๆ แต่การที่คุณทำแบบนี้ คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ะไม่เพียงแค่ทำร้ายความรู้สึกของตัวคุณเองที่มีต่อเย่เชียนเพียงเท่านั้นนะคะ แต่คุณกำลังทำร้ายความรู้สึกของเย่เชียนที่มีต่อคุณอีกด้วย”
หลินโรโร่วจ้องมองไปที่ฉินหยูด้วยความประหลาดใจ เธอคิดว่าฉินหยูเองก็เป็นผู้หญิง และผู้หญิงทุกคนก็จะต้องมีความหึงหวงและอิจฉาริษยาเป็นธรรมดา แต่ฉินหยูกลับไม่ใช่คนแบบนั้น จากสิ่งที่ฉินหยูพูดออกมา มันก็ทำให้เธอก็คิดได้อย่างจริงใจและมั่นใจว่า ฉินหยูนั้นเป็นคู่ครองที่เหมาะสมที่สุดของเย่เชียนแล้ว เพราะการที่จะรักใครสักคน เราก็ไม่ควรที่จะหวังดีกับอีกฝ่ายที่รักเขาเช่นกันหรอกหรือ ? เธอนั้นไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะพูดแบบนี้ในตอนนี้ แต่เมื่อฉินหยูได้พูดแบบนี้ออกมาแล้ว หลินโรโร่วก็ต้องยอมรับเลยว่าสิ่งที่ฉินหยูพูดมานั้นมันฟังดูสมเหตุสมผลมาก