ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 177 ไสหัวไป
“อ้าว…? อย่าบอกนะว่านายน้อยเหว่ยกำลังกลัว ? นี่มันดูไม่เหมือนตัวคุณเลยนะ” เย่เชียนยิ้มแล้วพูดเย้ยหยัน
เหว่ยเฉินหลงระงับความกลัวในใจแล้วจึงโต้ตอบไปว่า “เย่เชียน! ฉันรู้ว่านายจัดการฉันได้ เพราะฉันมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายหรอก ก่อนที่นายจะทำอะไรไปมากกว่านี้น่ะ ฉันหวังว่านายจะคิดไตร่ตรองและพิจารณาผลที่ตามมาให้ดีเสียก่อนนะ” แม้ว่าเขาจะพูดอย่างโอหังออกไปอย่างนั้นก็ตาม แต่น้ำเสียงของเขานั้นขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด
เย่เชียนฉีกยิ้มอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “งั้นเหรอ ? ผมล่ะอยากเห็นจริง ๆ ว่าผลที่ตามมามันคืออะไร” หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงมีดหมาป่าสีเลือดออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่เหว่ยเฉินหลงอย่างน่ากลัว
“เฮ้ยยยยยยยยย!!!”
เหว่ยเฉินหลงตะโกนลั่นด้วยความตกใจ เขาหลับตาปี๋พร้อมรับกับแรงกระแทกใด ๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น แต่หลังจากที่ผ่านไปสักพักเขากลับไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดใด ๆ ตามร่างกายของเขาเลย เขาจึงลืมตาขึ้นมาดูด้วยความสงสัย ภาพที่เขาเห็นเมื่อลืมตาขึ้นนั้น คือภาพของเย่เชียนที่กำลังยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย มันเป็นการทำให้เหว่ยเฉินหลงต้องอับอายขายขี้หน้าอย่างสมบูรณ์แบบ! ในที่สุดก้อนหินก้อนใหญ่ในใจของเหว่ยเฉินหลงก็ถูกวางลง แต่เขายังไม่กล้าที่จะพูดเรื่องอะไรไร้สาระออกมาในตอนนี้ เพราะเขากลัวว่ามันอาจจะทำให้เย่เชียนโกรธขึ้นมาจริง ๆ เหว่ยเฉินหลงอดคิดในใจไม่ได้เลยว่าไอ้คนบ้านี่มันคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ ? เขามันบ้าไปแล้ว!
เย่เชียนฝืนกลั้นยิ้มเอาไว้และใช้มีดหมาป่าสีเลือดแตะไปที่แขนของเหว่ยเฉินหลงอย่างช้า ๆ และพูดว่า “ไปให้พ้นซะ… วันนี้ผมอารมณ์ดี เพราะงั้นผมจะปล่อยคุณไปอีกสักครั้ง”
เหว่ยเฉินหลงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและสังเกตให้แน่ใจว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องโกหกและเย่เชียนจะไม่แทงเขาด้วยมีดเล่มนั้นจากทางด้านหลังของเขา เมื่อชั่งใจอยู่พักหนึ่งแล้วเหว่ยเฉินหลงก็รีบวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วทันที
ส่วนเหว่ยตงฉิงนั้นเธอจะไปกล้าพูดอะไรที่ไหน เธอเพียงโอบเซินหยวนเอาไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนน่าสยดสยอง เธอไม่รู้ว่าเย่เชียนจะมาระบายความโกรธของเขาลงกับเธอด้วยหรือเปล่า ส่วนเซินหยวนผู้น่าสงสารที่ถูกโอบกอดอยู่นั้นกำลังจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ เพราะเหว่ยตงฉิงนั้นกอดเขาเอาไว้แน่น
“หยุด!” จู่ ๆ เย่เชียนก็ตะโกนขึ้นมา
เหว่ยเฉินหลงหยุดวิ่งทันที เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นยะเยือกลึกเข้าไปถึงกระดูกและแอบคิดในใจอย่างลับ ๆ ว่าเย่เชียนยังไม่ยอมปล่อยเขาไปอีกหรือยังไง ? เขาก่นด่าสาปแช่งเหว่ยตงฉิงอย่างดุเดือดอยู่ในใจ เพราะถ้าไม่ใช่เพราะเธอแล้ว ป่านนี้เขาก็คงกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของสาวงามที่ไหนสักแห่งอย่างสบายใจ ทำไมเขาถึงจะต้องมาพบกับความหดหู่และยากลำบากขนาดนี้ด้วย ?
“เหว่ยเฉินหลง! ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณจะเป็นเจ้าชายของตงเซียกรุ๊ปหรือหนึ่งในสี่ชายหนุ่มผู้เกรียงไกรของเมืองเซี่ยงอะไรนั่นน่ะ ถ้าผมรู้ว่าคุณคิดจะเล่นอะไรแผลง ๆ อะไรต่อหน้าผมอีกล่ะก็ มันจะจบไม่สวยเหมือนวันนี้แน่!” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชาและอำมหิต
เหว่ยเฉินหลงตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เขาสงสัยอยู่คนเดียวในใจว่า ‘เย่เชียนจะรู้หรือเปล่าว่าเรื่องของอู่หยางเทียนหมิงและเรื่องเมื่อคืนนี้นั้นเกี่ยวข้องกับเขา ?’ แต่เรื่องพวกนั้นเหว่ยเฉินหลงเองก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขาได้ทำมันลงไปแล้ว ซึ่งเขาเดาไม่ออกเลยว่ามันจะจบลงอย่างไรถ้าเย่เชียนรู้เข้า เพราะดูเหมือนว่าเย่เชียนจะรับมือได้ไม่ง่ายนัก ขนาดทหารรับจ้างจากกลุ่มเหยี่ยวดำทมิฬที่ว่าแน่ยังไม่ใช่แม้แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย เพราะฉะนั้นเหว่ยเฉินหลงจึงคิดว่าเขาควรพิจารณาหาความช่วยเหลือจากองค์กรอื่น ๆ ต่อไป
เหว่ยเฉินหลงไม่ตอบอะไร เขาเหลือบมองเย่เชียนแวบหนึ่งก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป
เย่เชียนยิ้มมุมปาก เมื่อครู่นี้เขาตั้งใจเพียงเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเหว่ยเฉินหลงเท่านั้น ซึ่งเมื่อเขาตัดสินจากปฏิกิริยาของเหว่ยเฉินหลงเมื่อครู่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะต้องฝีมือของเหว่ยเฉินหลงที่เขาส่งคนมาลอบสังหารใครบางคนอย่างแน่นอน และคนที่รับการว่าจ้างนั้นก็คือกลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬ แต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามนั้นคือตัวเขาเองหรือฉินเทียนกันแน่ เพราะหากมองไปที่วิถีของกระสุนที่ถูกยิงออกมาเมื่อคืนนั้น มันมีโอกาสมากกว่าที่เป้าหมายจะเป็นตัวเขาเอง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ของฉินเทียนด้วยเช่นกัน เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วตงเซียนกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปก็ใกล้จะเกิดสงครามกันแล้ว ไม่เช่นนั้นตงเซียนกรุ๊ปคงจะไม่จ้างนักฆ่าขององค์กรดาร์คลิลลี่มาเพื่อจัดการกับฉินหยู
เมื่อเหว่ยตงฉิงเห็นเย่เชียนหันมามองที่ตัวเอง เธอก็ตัวสั่นราวกับเจ้าเข้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นกลัวว่า “กะ… กะ… แกจะทำอะไรน่ะ ?” ดูเหมือนว่าเธอจะกลัวว่าเย่เชียนจะทำสิ่งที่เลวร้ายกับเธอเช่นกัน
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ผมจะทำอะไรคุณน่ะเหรอ !? อืม… เอาไงดีนะ ? งั้นเอางี้ดีมั้ย ถ้าคุณยังไม่เลิกพล่ามเรื่องไร้สาระอะไรอีก เดี๋ยวผมจะช่วยถอนฟันของคุณออกให้หมดทั้งปากเลยเป็นไง ?”
“ฉัน… ฉันเข้าใจแล้ว!” เหว่ยตงฉิงตอบด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก แต่เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อรู้ว่าเย่เชียนจะไม่ทำอะไรเธอในตอนนี้
ลองคิดดูเล่น ๆ ว่าถ้าฟันของเธอทั้งหมดหายไปจริง ๆ ล่ะก็ ใบหน้าของเธอจะดูน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน ?
“ออกไปซะ!” เย่เชียนตะโกน
“ขอบคุณ… ขอบคุณ!” เย่เชียนพูดมาขนาดนี้แล้วเหว่ยตงฉิงจะกล้าอยู่ต่อไปได้อย่างไร เธอรีบดึงเซินหยวนด้วยความตกใจและรีบวิ่งหนีไปอย่างไร้ยางอาย
ในตอนนี้เหล่าบรรดาผู้มุงดูเหตุการณ์ต่างก็เห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจจะให้ดูแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงทยอยแยกย้ายกันไป ด้วยความที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีใครชอบเหว่ยเฉินหลงหรือเหว่ยตงฉิงเลยสักคนเดียว จึงไม่มีใครโทรแจ้งตำรวจเลยสักคน ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับเสียใจเล็กน้อยที่เย่เชียนเป็นคนใจดีเกินไป มันน่าอึดอัดและน่าเสียดายอย่างมากที่เย่เชียนปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้
เย่เชียนไม่อยากทำอะไรเกินเรื่องไปมากกว่านี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วที่นี่ก็คือที่สาธารณะ เมื่อเขามองไปที่กลุ่มทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬทั้งสี่คนที่ยังคงนอนกองอยู่กับพื้นและกำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อที่จะลุกขึ้น รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องรับรองของพยาบาลอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หลังจากเข้าไปพูดคุยกับหลินโรโร่วได้สักพัก เย่เชียนก็จากไปด้วยความพึงพอใจอย่างมาก เพราะถึงยังไงหลินโรโร่วก็ยังอยู่ในเวลางาน เธอจึงไม่สามารถคุยกับเย่เชียนได้นานตามที่ใจต้องการได้
เย่เชียนเดินไปที่โซนห้องผู้ป่วยเพื่อไปดูอาการของหวังหู่และพบว่าอาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว พวกผ้าก๊อซและผ้าพันแผลต่าง ๆ นั้นถูกถอดออกจนหมด ดูเหมือนว่าเขาจะมีเรี่ยวแรงมากขึ้น เมื่อเย่เชียนถามหลี่ตงเกี่ยวกับเรื่องของบาร์มนต์เสน่ห์ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะแก๊งชิงไม่ได้ไปที่บาร์เพื่อแก้แค้นหรืออะไรใด ๆ เลย พวกเขาทำอย่างกับว่าเรื่องคราวนั้นมันไม่เคยเกินขึ้นเลย ด้วยเหตุผลนั้นเย่เชียนจึงคิดว่าสิ่งนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับรูปแบบและแผนของการเคลื่อนไหวของแก๊งชิงและชิงกรุ๊ป
อย่างไรก็ตามเย่เชียนยังคงบอกให้หลี่ตงระมัดระวังตัวให้มากขึ้นและให้รีบโทรหาเขาทันทีหากมีปัญหาอะไร หลี่ตงพยักหน้าตอบรับ
ตอนนี้ในใจของหลี่ตงนั้นเย่เชียนเป็นดั่งเจ้านายที่ดีเลิศ ถ้าหากเย่เชียนพูดหรือสั่งอะไรออกมาสักคำล่ะก็ เขาจะยอมช่วยเย่เชียนทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเองอีกต่อไป ถึงแม้ว่าหลี่ตงนั้นยังคงแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น ๆ ของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าที่เต็มใจจะสละชีวิตเพื่อเย่เชียนและเป็นดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดที่บริสุทธิ์ใจต่อกัน ทว่าเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เย่เชียนก็เดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย เขาเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์และบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้อย่างสบายใจ บางครั้งเขาก็นั่งยอง ๆ สูบบุหรี่อยู่ใต้ร่มไม้ในขณะที่เขากวาดสายตาไปมาเป็นครั้งคราวเพื่อจ้องมองไปยังหญิงสาวที่สวยงามและแต่งตัวเซ็กซี่ เย่เชียนถึงกับต้องถอนหายใจออกมาอย่างยินดีกับฤดูร้อนเช่นนี้ เพราะในฤดูร้อนการแต่งตัวของสาว ๆ นั้นเป็นอาหารตาชั้นดีสำหรับเขาเลยทีเดียว
ในขณะที่เย่เชียนกำลังรู้สึกเบื่อ ๆ อยู่ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็มีสายเข้า เมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายของซ่งหลัน เมื่อเห็นดังนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านทุกครั้งที่นางฟ้าคนนี้โทรมา เขาคาดว่าครั้งนี้ซ่งหลันคงจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เขาอีกเป็นแน่ ปรากฏว่าซ่งหลันบอกว่าเธออยากให้เย่เชียนไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเธอเป็นการส่วนตัว เย่เชียนได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ออกเลยว่านางฟ้าคนนี้กำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ ? แต่ถึงกระนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธเธอเลย เพราะว่าเย่เชียนนั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้กับซ่งหลันคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คิดที่จะไม่ปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอพยายามลอบสังหารเขาในครั้งนั้น เย่เชียนให้อภัยเธอและสามารถอยู่ร่วมกับเธอมาได้นานหลายปี ซึ่งซ่งหลันเองก็เป็นคนที่จริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ เธอยอมอดทนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเย่เชียน เขารู้สึกชื่นชมเธอจากใจจริงกับความตั้งใจและความพยายามที่เธอช่วยเขาดูแลบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปของเขาจนประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้