ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 185 ทำลายล้างเหยี่ยวดำทมิฬ (1)
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่เยือกเย็นราวกับผืนน้ำที่สงบนิ่ง
สายลมอันแสนเย็นยะเยือกในฤดูร้อนค่อย ๆ พัดผ่านไปอย่างช้า ๆ
ความมืดมิดดุจดั่งปีศาจกำลังกลืนกินและกัดเซาะร่องรอยแห่งแสงสว่างสุดท้ายบนโลกนี้ไปทีละนิด และเมื่อทั่วทั้งผืนฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด บรรยากาศก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น
ราตรีนี้ถูกกำหนดไว้ให้เป็นค่ำคืนที่แสนพิเศษ!
ทั้งเย่เชียน ม่อหลง ชิงเฟิง หลี่เหว่ยยี่และอู๋หวนเฟิงต่างก็ยืนอยู่บนทุ่งหญ้าอันโล่งกว้างในเขตชานเมือง พวกเขาหันหน้าไปประจบกับต้นสายลมยามค่ำคืนดั่งอสูรจากนรก
ณ เขตย่านชานเมืองที่ไม่มีความพลุกพล่านเหมือนใจกลางเมือง วัชพืชได้เติบโตและกลืนกินที่แห่งนี้ไปแล้วเสียส่วนใหญ่ บางครั้งมันเงียบเสียจนได้ยินเสียงแมลงบางชนิด ซึ่งส่งเสียงดังเป็นพิเศษในราตรีที่เงียบงันของค่ำคืนนี้
ถัดไปไม่ไกลนั้นเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวของกองทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬ มันเป็นอาคารเก่าทรุดโทรมตั้งเรียงกันเป็นแถว ๆ ซึ่งมันจะถูกใช้เป็นสมรภูมิรบสำหรับค่ำคืนนี้ กลุ่มเขี้ยวหมาป่าต้องระมัดระวังตัวกันเป็นพิเศษ เพราะอีกฝ่ายมีทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬประมาณ 20 คนเดินลาดตระเวนอยู่รอบบริเวณ แต่พวกเขามีเพียงห้าคนเท่านั้น ซึ่งมันเท่ากับหนึ่งในสี่ และมันก็ยากนักที่จะบุกเข้าไปโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
หัวใจสำคัญของการทำสงครามในทุก ๆ ครั้งคือ การมีความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งสมาชิกที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาของกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นมีความเข้าใจที่ดีต่อกันมากอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่ใช้สายตามองและส่งสัญญาณมือให้กันเพื่อเป็นสัญญาณเคลื่อนพลเข้าไปใกล้จุดหมายไปทีละนิด ๆ
ความมืดในค่ำคืนนี้ช่วยทำให้พวกเขาเคลื่อนตัวได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมันทำให้คู่ต่อสู้ค้นหาและตรวจจับได้ยากกว่ายามที่ยังมีแสงสว่าง ทว่าในขณะเดียวกันมันก็นำข้อเสียมากมายมาให้อีกด้วยเช่นกัน เพราะความมืดข้างหน้ามันก็ทำให้ไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าคู่ต่อสู้อยู่ที่ไหน พิกัดตำแหน่งใด พวกเขาจึงทำได้เพียงค่อย ๆ เคลื่อนพลไปข้างหน้าและทำการค้นหาไปทีละนิด ซึ่งเมื่อพวกเขายิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ความยากและอันตรายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
ที่จริงแล้วเย่เชียนไม่ได้เรียกให้อู๋หวนเฟิงมาด้วย เพราะเขาไม่ต้องการให้อู๋หวนเฟิงมาเข้าร่วมในปฏิบัติการทำลายล้างเหยี่ยวดำทมิฬในครั้งนี้กับเขา แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะเขาดูถูกอู๋หวนเฟิงหรืออะไร แต่มันเป็นเพราะหัวใจที่บอบช้ำของเย่เชียนที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการมอบหมายงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายให้แก่อู๋หวนเฟิงนั่นเอง
อย่างไรก็ตามเมื่ออู๋หวนเฟิงได้ยินข่าว มันก็ทำให้ในใจของเขานั้นร้อนรุ่ม เพราะเย่เชียนไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้นำของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วเย่เชียนเป็นคนที่ควรค่าแก่การสละชีวิตให้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับพี่น้อง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะสูญเสียแขนข้างหนึ่งไปเพื่อเย่เชียนในอดีต แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะนำมาเป็นข้ออ้างในการหยุดร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเย่เชียนต่อไป เขาเชื่อว่าตราบใดที่เขาอยู่ที่นั่น มันก็จะไม่มีใครสามารถทำอะไรเย่เชียนได้
เย่เชียนเข้าใจความคิดของอู๋หวนเฟิงเป็นอย่างดี หลังจากเห็นเขามาด้วย เย่เชียนก็ตบบ่าของเขาเบา ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเพราะทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการกระทำมากกว่าคำพูดอยู่แล้ว
หลี่เหว่ยยี่เดินนำหน้า เย่เชียนอยู่ตรงกลาง ชิงเฟิงอยู่ทางซ้ายและอู๋หวนเฟิงอยู่ทางขวา ส่วนม่อหลงนั้นเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว พวกเขาทั้งหมดใช้อุปกรณ์ในออกรบชั้นยอด หลี่เหว่ยยี่ถือปืนไรเฟิลจู่โจมเอสจีห้าห้าสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์และยังมีจุดห้าศูนย์ ดีเอเกิ้ลประจำตัวเหน็บอยู่ที่เอวด้วยอีกกระบอก ส่วนชิงเฟิงและอู๋หวนเฟิงนั้นถือปืนไรเฟิลจู่โจมจีสามหกของเยอรมนี แต่อู๋หวนเฟิงนั้นมีมีดบินหลายเล่มเหน็บอยู่รอบตัว ส่วนที่เอวของชิงเฟิงนั้นมีปืนพกคู่เก้าสิบสองเอฟอยู่สองกระบอก ทางด้านเย่เชียน เขาถือปืนไรเฟิลจู่โจมเอ็กซ์เอ็มแปดหนึ่งกระบอกและที่รองเท้าคอมแบทของเขาก็มีมีดหมาป่าสีเลือดที่กำลังแผ่จิตสังหารด้วยคลื่นแห่งความตายอย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลาเสียบอยู่ด้วย ในขณะที่คนอื่น ๆ มีเพียงมีดทหารเอ็มเก้าเท่านั้น ส่วนม่อหลงถือปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติวีเอสเค เก้าสี่ ที่มีความแม่นยำสูงและเก็บเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม
ประสิทธิภาพระดับสูงสุดของพลซุ่มยิงคือ การแสดงความแม่นยำและความตาย ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งนัด… หนึ่งความตาย’ ของปืนสไนเปอร์ไรเฟิล ในขณะที่พวกเขากำลังเคลื่อนพลกันเข้ามา ม่อหลงก็นำหน้าพวกเขามาก่อนแล้ว ซึ่งม่อหลงนั้นคือผู้อยู่จุดสูงสุดของเหล่าพลซุ่มยิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าต่างก็โอนเอนไปมา ความมืดมนเข้าครอบคลุมมากขึ้นทุกทีราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะถาโถมเข้ามาในไม่ช้า
ทุกอย่างเป็นไปตามที่แจ็คคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดว่าเหล่าทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬจะมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการป้องกันและตั้งรับเอาไว้ เพราะหลังจากที่เย่เชียนและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาในระยะประชิดแล้ว พวกเขาก็เห็นเงาของคนหลายคนเดินไปเดินมาอยู่ด้านบนของอาคารหลังนี้ เย่เชียนชูแขนของเขาขึ้นเล็กน้อยแล้วกำมือแน่นเพื่อให้ทุกคนหยุดและหมอบต่ำลง จากนั้นเขาก็เรียกชิงเฟิงด้วยภาษามือ ชิงเฟิงพยักหน้าตอบรับเมื่อเห็นสัญญาณจากเย่เชียนแล้วจึงเดินย่องเข้าไปใกล้ ๆ ละแวกอาคารที่ทรุดโทรมนั้นอย่างรวดเร็ว
บริเวณด้านหลังของอาคาร ชิงเฟิงดึงเชือกที่มีตะขอเกี่ยวออกมาและโยนมันขึ้นไปด้านบน จากนั้นเขาก็ปีนเชื้อเส้นนั้นขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปีนขึ้นไปถึงด้านบนของตัวอาคาร จากระยะห่างราว ๆ สิบเมตร ชิงเฟิงก็เห็นอะไรแวบ ๆ จากทางหางตาของเขา วินาทีเดียวกันนั้นเองที่มีดทหารเอ็มเก้าที่อยู่ในมือของเขาพุ่งเข้าไปเจาะเข้าที่ร่างกายของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ก่อนที่เงาดำนั้นจะตอบสนองได้ เขาก็ล้มลงไปกับพื้นเสียแล้ว จากนั้นชิงเฟิงก็ลากศพของอีกฝ่ายไปซ่อนไว้ข้าง ๆ และกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อยู่สักพัก หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ที่ด้านบนสุดของอาคารอีกแล้ว ชิงเฟิงก็เดินไปที่ขอบของอาคารและหยิบปืนไรเฟิลจู่โจมออกมาและเปิดเลเซอร์จากปืนชี้ไปที่ทิศทางของพวกเย่เชียน เนื่องจากพวกเย่เชียนนั้นใส่แว่นไนท์วิชั่นอินฟราเรดอยู่ พวกเขาก็เห็นจุดแดง ๆ เป็นสัญญาณของชิงเฟิง
เย่เชียนเข้าใจความหมายของแสงนั้นได้ในทันทีและส่งสัญญาณมืออีกครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสี่คนก็รีบเดินเข้าไปใกล้กับอาคารที่ทรุดโทรมแห่งนั้นทันที
ชิงเฟิงเริ่มตรวจสอบจากบนลงล่าง ส่วนเย่เชียนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มตรวจสอบจากล่างขึ้นบน ที่ชั้นแรกนั้นมีสมาชิกเหยี่ยวดำทมิฬเดินลากตระเวนกันอยู่สามคน ซึ่งกระจายกันอยู่สามมุม และทั้งสามคนก็อยู่ในระยะเฝ้าระวังของกันและกัน
ครืน… ครืน… เปรี้ยง!!!
สิ้นเสียงฟ้าผ่า ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง
เสียงฟ้าผ่าทำให้สมาชิกเหยี่ยวดำทมิฬทั้งสามคนสั่นสะท้านเพราะความตกใจเล็กน้อย พวกเขาจ้องมองออกไปข้างนอกพร้อม ๆ กัน “เฮ้ย! อยู่ดี ๆ ทำไมฝนดันตกลงมาซะหนักแบบนี้วะ” หนึ่งในนั้นพึมพำ
“มันก็ดีแล้วแหละ ฝนตกหนักขนาดนี้พวกเขี้ยวหมาป่าคงไม่มากันแล้วหรอกมั้ง ฉันว่าพวกเราไปพักผ่อนกันสักหน่อยดีกว่า” อีกคนพูดต่อ “ตั้งแต่กัปตันพูดแบบนั้นมา… รู้มั้ยฉันนอนไม่ค่อยหลับเลย”
“นั่นสิ… ฉันไม่รู้ว่ากัปตันเขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ทำไมเขาถึงต้องอยากสู้กับพวกเขี้ยวหมาป่าขนาดนั้น” อีกคนที่เหลือพูด
เนื่องจากทั้งสามคนนั้นอยู่ห่างกันระยะหนึ่ง มันจึงทำให้เสียงของพวกเขาที่พูดคุยกันนั้นไม่ได้เบาเลย แน่นอนว่าเย่เชียนและคนอื่น ๆ สามารถได้ยินพวกเขาอย่างชัดเจน
เย่เชียนส่งสัญญาณมือให้หลี่เหว่ยยี่และอู๋หวนเฟิงขยับเข้าไปใกล้ ๆ กับสมาชิกเหยี่ยวดำทมิฬทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง ส่วนเย่เชียนจะขยับเข้าไปใกล้คนตรงกลาง ในขณะที่ม่อหลงนั้นถือปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติเตรียมเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน
มีดหมาป่าสีเลือดที่ซึ่งกำลังเปล่งประกายแสงสีแดงพุ่งไปตัดผ่านลำคอของชายคนนั้นได้อย่างแม่นยำ ทำให้อีกสองคนที่เหลือถึงกับตกตะลึง พวกเขาหันกลับไปดูทิศทางที่มีดนั้นพุ่งเข้ามา แต่ทว่าหลี่เหว่ยยี่และอู๋หวนเฟิงก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาเช่นเดียวกัน มีดในมือของพวกเขาแทงทะลุหน้าอกของทั้งสอง ส่งผลให้เลือดพุ่งกระฉูดออกมาและเสียชีวิตไปในทันทีขณะที่เขายังคงลืมตาด้วยความประหลาดใจอย่างไม่คาดฝัน
ทั้งสามคนลากศพไปซ่อนและส่งสัญญาณมือต่อ ๆ กันเพื่อขึ้นไปด้านบน
“ระวัง!”
จู่ ๆ ม่อหลงก็พูดขึ้นเบา ๆ และทันใดนั้นก็มีเสียงกระสุนพุ่งแทรกผ่านอากาศจากปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติของม่อหลงไปสังหารสมาชิกเหยี่ยวดำทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้อย่างแม่นยำ เย่เชียนหันหน้ามาและยกนิ้วโป้งให้ม่อหลงพร้อมยิ้มเล็กน้อย
กลยุทธ์แผนตั้งรับของฟอลคอนจอห์นนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะว่าเขานั้นทำการกระจายผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงไม่กี่คนไปตามที่ต่าง ๆ ภายในห้องเท่านั้น ซึ่งมันทำให้ประสิทธิภาพในการรบลดลงอย่างมาก เพราะถ้าทุกอย่างและทุกคนกระจุกตัวกันอยู่ในห้องเดียวล่ะก็ มันจะยากกว่ามากสำหรับเย่เชียนและคนอื่น ๆ ที่จะทำการบุกเข้าไป
นี่คือทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬงั้นเหรอ ? เย่เชียนคิดในใจและหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิที่เขาลือกันว่าฟอลคอนจอห์นนั้นขาดทักษะในการเป็นผู้นำองค์กร เพราะเขาถนัดการต่อสู้แบบตัวต่อตัวและไล่ล่ามากกว่า แต่ถึงยังไงไม่ว่าความสามารถในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวของเขานั้นจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็คือความล้มเหลวและพ่ายแพ้เท่านั้น
เมื่อจัดการกับคนลาดตระเวนในชั้นนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ยังคงค้นหาและตรวจสอบอาคารไปเรื่อย ๆ ทีละชั้น ๆ และหลังจากที่ไล่ตรวจดูจนทั่วแล้ว มันก็เหลือเพียงแค่ที่สุดท้ายในอาคารเหล่านั้น เพราะถ้าหากข่าวกรองของแจ็คถูกต้องแม่นยำล่ะก็ ทหารรับจ้างเหยี่ยวดำทมิฬทุกคนที่เหลือจะมารวมตัวกันที่นี่
ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักจึงทำให้เย่เชียนและคนอื่น ๆ ต่างก็ตัวเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบไหน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ยังคงไม่ลดลงเลยแม่แต่น้อย กลุ่มเขี้ยวหมาป่าไม่เคยชะล่าใจหรือประมาทใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะหลังจากค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไป ชื่อของเหยี่ยวดำทมิฬจะถูกลบออกจากโลกของทหารรับจ้างเหมือนกับเสือดำและเสือดาวหิมะ…