ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 190 การต่อสู้ตัวต่อตัว
ฝีมือการยิงปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของเย่เชียนนั้นไม่ได้ดีมากเมื่อเทียบกับม่อหลง แต่นั่นมันเป็นการเปรียบเทียบกันกับพลซุ่มยิงมือหนึ่งของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า แต่ถ้าหากเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ม่อหลงแล้ว ฝีมือของเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา ๆ เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพลซุ่มยิงคือการรู้วิธีซ่อนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลซุ่มยิงด้วยกัน ถ้าหากจุดยุทธศาสตร์และการซ่อนตัวได้เปรียบกว่า มันก็จะนำมาซึ่งชัยชนะมากกว่าครึ่ง พูดง่าย ๆ คือหากใครก็ตามที่เปิดเผยตำแหน่งของตัวเองก่อน ความเป็นไปได้ที่จะพ่ายแพ้ก็จะมีมากกว่านั่นเอง
หลังจากที่เย่เชียนยิงไปครั้งที่แล้ว เขาก็รีบย้ายตำแหน่งของตัวเองทันที เห็นได้ชัดว่าฟอลคอนจอห์นนั้นหมดความอดทนในฐานะพลซุ่มยิงแล้ว เพราะเมื่อเขาเห็นเย่เชียนโผล่ออกมา เขาก็รีบยิงทันที ไม่ใช่แค่นัดเดียวแต่เขายังยิงไล่มายังตำแหน่งใกล้ ๆ เย่เชียนอีกหลายนัด ทว่ากระสุนทั้งหมดกลับถูกฝังเข้าไปที่กำแพงข้าง ๆ ของเย่เชียนแทน เย่เชียนหันกลับไปยิงโต้กลับบ้างเป็นครั้งคราว ถึงแม้ว่าฟอลคอนจอห์นจะบ้าไปหน่อยก็ตาม แต่เขาก็ไม่โง่ยืนอยู่ที่เดิมแล้วปล่อยให้เย่เชียนยิงกลับไปได้ง่าย ๆ ฟอลคอนจอห์นนั้นซ่อนตัวและโยกย้ายตำแหน่งอย่างดี ถึงแม้ว่ากระสุนลูกหนึ่งของเย่เชียนจะพุ่งใส่โครงเหล็กหนาตรงหน้าเขาเข้าครั้งหนึ่งก็ตาม
เวลาผ่านพ้นไปหลายนาที เย่เชียนมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขาและพบว่ามันเหลือเพียงสองนาทีสุดท้ายแล้ว และถ้าเขาไม่สามารถกำจัดฟอลคอนจอห์นได้ภายในสองนาทีนี้ล่ะก็ ฉินหยูและจ้าวหยาจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน แต่ทว่าฟอลคอนจอห์นยังคงซ่อนตัวอยู่ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ๆ เย่เชียนก็มองไม่เห็นฟอลคอนจอห์นเลย มีทางเดียวเท่านั้นคือเย่เชียนต้องล่อเขาออกมา แต่หากทำเช่นนั้นมันก็หมายความว่าตำแหน่งของเย่เชียนจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างสมบูรณ์เช่นกัน
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เย่เชียนจึงกัดฟันเดินออกมาจากด้านหลังสิ่งกีดขวาง มันคือทางเดียวที่เขาจะสามารถช่วยพวกเธอได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเขาไปพร้อม ๆ กับชีวิตของฟอลคอนจอห์นแบบนัดต่อนัดเขาก็ยอม เพราะเวลามันก็ใกล้จะหมดแล้ว และถ้าเขาไม่กำจัดฟอลคอนจอห์นในตอนนี้ เขาก็จะไม่มีโอกาสอีก
เย่เชียนเดินอย่างรวดเร็วในขณะที่พยายามหาช่องทางจากสิ่งกีดขวางเพื่อกำจัดฟอลคอนจอห์น ทันใดนั้นหัวกระสุนด้านหลังของเขาแฉลบลงมากระแทกพื้น ซึ่งเย่เชียนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นใช้ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลแบบไหนอยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปตรวจสอบหัวกระสุนให้แน่ใจได้ เขาจึงไม่รู้ว่าปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของฟอลคอนจอห์นนั้นมีกระสุนทั้งหมดกี่ลูกในแม็ก ดังนั้นการคอยระวังและหลบซ่อนตัวจึงเป็นการดีที่สุด
ฟอลคอนจอห์นเองก็รู้สึกกังวลเช่นกัน เขาเดินออกมาจากด้านหลังสิ่งกีดขวางที่เขาซ่อนตัวอยู่ เพราะเขาไม่ได้ต้องการทำร้ายหรือฆ่าฉินหยูและจ้าวหยา พวกเธอทั้งสองคนเป็นแค่เหยื่อล่อให้เย่เชียนออกมาดวลกับเขาก็เท่านั้น การฆ่าฉินหยูและจ้าวหยามันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาเลย อีกอย่างมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายชาติทหารควรทำอีกด้วย
ในขณะที่ฟอลคอนจอห์นกำลังออกมาจากด้านหลังพร้อมกับปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของเขา เย่เชียนก็ไม่รีรอรีบคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างรวดเร็ว เขารีบเล็งเป้าไปที่ฟอลคอนจอห์นผ่านสิ่งกีดขวางทันที…
ปัง!
เย่เชียนเหนี่ยวไกปืนทำให้กระสุนก็พุ่งออกจากปากกระบอกปืนราวกับว่ามันมีชีวิตที่ต้องมนต์สะกดจากยมโลกเข้าไปที่หน้าผากของฟอลคอนจอห์นอย่างแม่นยำ ทว่าเย่เชียนก็ยังไม่ชะล่าใจ เขายิงกระสุนอีกสามนัดต่อเนื่องกันไปโดนจุดสำคัญต่าง ๆ ของฟอลคอนจอห์น หลังจากที่ยิงเสร็จ เย่เชียนก็รีบหลบไปข้าง ๆ สิ่งกีดขวางอย่างรวดเร็วและนั่งลงหอบอย่างหนักเพราะขาดอากาศหายใจ
การยิงปืนสไนเปอร์อย่างต่อเนื่องของเย่เชียนนี้ถูกสอนมาโดยม่อหลง ซึ่งม่อหลงเคยบอกและกำชับเขาเอาไว้อย่างจริงจังว่า ถ้ามันไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ อย่าทำแบบนี้ แม้ว่าการกลั้นหายใจพร้อมกับยิงปืนนั้นมันสามารถควบคุมความแม่นยำของพลซึ่มยิงได้เป็นอย่างดีก็จริง และความถี่ในการยิงของคน ๆ หนึ่งสามารถยิงได้สูงสุดถึงห้านัดโดยกลั้นหายใจเอาไว้ตลอด แต่การกลั้นหายใจเอาไว้นาน ๆ มันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบประสาทของมนุษย์ และถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันล่ะก็ อะดรีนาลีนก็จะสูบฉีด เมื่อพบกับแรงกดดันที่มากขึ้น ๆ นิ้วของคนเราจะเริ่มสั่น ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นมันไม่สามารถคาดเดาได้ บางครั้งมันอาจทำให้หัวใจวายตายได้เลยทีเดียว
เหตุนี้เองที่ทำให้ม่อหลงจึงไม่ค่อยอยากใช้วิธีการยิงแบบนี้สักเท่าไหร่นัก คราวนั้นที่เขาและฟูจุนเฉิงได้ทำการปิดฉากยิงอู่หยางเทียนหมิงด้วยกันและฟูจุนเฉิงก็ได้ใช้วิธีการยิงเช่นนี้ ม่อหลงจึงผงะไปชั่วขณะอย่างช่วยไม่ได้
เย่เชียนรู้ดีถึงอันตรายที่เกี่ยวข้องกับวิธีการยิงแบบนี้ แต่มันเป็นวิธีเดียวและเป็นวิธีที่เขามั่นใจที่สุดในการกำจัดฟอลคอนจอห์น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาเห็นว่าเวลาสิบนาทีที่ฟอลคอนจอห์นกำหนดนั้นใกล้จะหมดลงแล้ว เย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะลังเลอะไรได้อีก เพราะต่อให้เขาต้องหัวใจวายตายไปหลังจากที่เขาฆ่าฟอลคอนจอห์นได้แล้วเขาก็เต็มใจยอม
เย่เชียนค่อย ๆ ยื่นหัวออกมาจากด้านหลังกำแพงและเห็นร่างของฟอลคอนจอห์นค่อย ๆ ล้มลงอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สำหรับฟอลคอนจอห์นนั้นเย่เชียนไม่ได้มีความเกลียดชังอะไรต่อเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังเคารพเขาในฐานะรุ่นพี่อีกด้วย แต่เมื่อฟอลคอนจอห์นล่อเขาขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารและมอบปืนให้กับเขา เย่เชียนก็รับรู้ได้เลยว่าเป้าหมายของฟอลคอนจอห์นนั้นไม่ใช่ฉินหยูและจ้าวหยา แต่ฟอลคอนจอห์นต้องการเผชิญหน้ากับเย่เชียนด้วยตัวเอง การที่ฟอลคอนจอห์นไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยทั้งที่เขาสามารถทำได้นั้น เย่เชียนรู้สึกว่าเรื่องนี้มันทำให้ฟอลคอนจอห์นมีค่าควรแก่การเคารพ
อย่างไรก็ตามในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวและมีปืนสไนเปอร์ไรเฟิลอยู่ในมือคนละกระบอกเช่นนี้ ความเคารพมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะสุดท้ายมันก็ต้องจบลงด้วยความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ดี
เย่เชียนชักปลดกระสุนออกจากปืนสไนเปอร์ไรเฟิลและโยนปืนลงถังขยะ จากนั้นเขาก็จุดไฟที่กองเศษกระดาษแล้วโยนมันเข้าไปในถังขยะ นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีแอลกอฮอล์และของเหลวอื่น ๆ อยู่บนดานฟ้าอีก เย่เชียนจึงหยิบมันขึ้นมาเทลงถังขยะไป เขาไม่ได้คิดมากว่าทำไมถึงมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านี้อยู่บนดาดฟ้า หรือบางทีฟอลคอนจอห์นอาจจะเตรียมเอาไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว หรืออาจจะผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารนี้วางพวกมันทิ้งเอาไว้ที่นี่ แต่ถึงยังไงตอนนี้มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
เมื่อเย่เชียนทิ้งกระสุนทั้งหมดลงในถังขยะบนอาคารแล้ว เขาก็ลงไปชั้นล่างและเดินกลับไปที่รถแล้วรีบโทรหาฉินหยูทันทีเมื่อถามได้ความแล้วว่าเธออยู่ที่ไหน เขาก็มุ่งหน้าตรงไปที่นั่นอย่างไม่รอช้า
เมื่อฉินหยูได้สายรับโทรศัพท์ของเย่เชียน เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงของเย่เชียนดูไม่พอใจและไม่สบอารมณ์อย่างมาก เธอแอบคิดว่าเย่เชียนคงจะรู้แล้วสินะว่าเธอกับจ้าวหยาโกหก มันเลยทำให้เขาโกรธ ดังนั้นเธอจึงไม่อยากปิดบังเขาอีกต่อไปและบอกเขาไปตามตรงเกี่ยวกับที่อยู่ของสปา
“เจ๊หยู… คนงี่เง่าโทรมาใช่มั้ย ?” จ้าวหยาถามขึ้นหลังจากที่ฉินหยูวางสาย
ฉินหยูพยักหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเราสองคนโกหกเขา ฟังดูแล้วน้ำเสียงของเขาดูโกรธมากเลย”
“ช่างเขาเถอะหน่า… ถึงยังไงเขาก็ไม่สนใจเราอยู่ดีนั่นแหละ พวกเราไม่ใช่เหรอที่ต้องโกรธเขาน่ะ” จ้าวหยาเงยหน้าขึ้นพูดอย่างไม่แยแส
ในใจของฉินหยูนั้นกังวลอย่างมาก เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอเพียงคิดในใจว่า ‘ทำไมฉันถึงต้องห่วงใยความรู้สึกของเย่เชียนมากขนาดนี้ด้วยล่ะ ? ฉันจะคิดเรื่องของเขามากมายขนาดนี้ทำไมกัน นี่ฉันรักเขามากจนอดไม่ห่วงไม่ได้จริง ๆ งั้นเหรอ ?’
ทันใดนั้นเย่เชียนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของฉินหยูและจ้าวหยา พวกเธออดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนตัวแข็ง เห็นได้ชัดว่าพวกเธอนั้นไม่ได้คาดคิดว่าเย่เชียนจะมาถึงเร็วขนาดนี้
“ทำไมนายถึงมาเร็วจังล่ะ ? นายอยู่ใกล้ ๆ นี่เหรอ ?” ฉินหยูถามด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนมองไปที่พนักงานสาวที่ดูแลบริการฉินหยูและจ้าวหยาอยู่ พวกเธอเข้าใจความหมายของสายตานั้นทันที พวกเธอจึงพากันออกจากห้องไป เมื่อเย่เชียนเห็นพวกเธอออกไปแล้วทันใดนั้นใบหน้าของเย่เชียนก็ก้มลงอย่างมืดมนและพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงโกหกผมด้วยล่ะว่าพวกคุณจะไปมหาวิทยาลัย ? พวกคุณเห็นผมเป็นคนโง่และงี่เง่าขนาดนั้นเลยใช่มั้ย ? รู้บ้างมั้ยว่าตอนนี้พวกคุณตกอยู่ในอันตรายมากขนาดไหนน่ะ ถึงผมจะไม่ค่อยแสดงออก แต่ผมเป็นห่วงพวกคุณมากนะ ฉินหยู… จ้าวหยา… มันเป็นเพราะผมเอง ผมไม่เคยคิดว่าพวกเราจะสนิทสนมกันมากขนาดนี้ ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดมากพวกคุณอาจตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อเลยนะ”