ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 208 เลือกยังไง
เมื่อมองดูไป๋ฮวยที่กำลังเดินจากไปเย่เชียนก็รู้สึกสูญเสีย เขารู้ดีว่าหลังจากวันนี้ไปเขาและไป๋ฮวยนั้นคงจะกลายเป็นคู่แข่งและศัตรูกันอย่างเต็มตัว ทว่าเขานั้นจะสามารถปฏิบัติตัวกับไป๋ฮวยเยี่ยงศัตรูได้หรือไม่นั่นมันอีกเรื่อง ? เพราะถึงยังไงแล้วเย่เชียนก็ยังคงต้องแบกรับความคาดหวังและชีวิตของพี่น้องเขี้ยวหมาป่าทุกคนเอาไว้บนบ่าอยู่ดี ถ้าเขายังคงไม่คิดว่าไป๋ฮวยเป็นศัตรูอีกล่ะก็ นั่นก็หมายความว่ากลุ่มเขี้ยวหมาป่าอาจจะสูญสิ้นและถูกทำลายลงอย่างแน่นอน
ซึ่งเย่เชียนรู้สึกกลัวเล็กน้อย มันไม่ใช่การกลัวความตาย แต่เขากลัวการมาถึงของวันนั้น วันที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับไป๋ฮวยในฐานะศัตรูคู่แค้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ไป๋ฮวยพูดเอาไว้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่จมปลักอยู่กับอดีตมากเกินไป มันคือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเย่เชียน บางทีความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนนั้นอาจจะเป็นสิ่งนี้นี่เอง ที่อีกคนล้วนมีแต่มิตรภาพ ในขณะที่อีกคนมีแต่ความเกลียดชัง
หยูซิงเหลือบมองไปที่ประตูและเห็นว่าเย่เชียนนั้นกำลังนั่งหน้าเครียดอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ที่นั่น เขาไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดจังหวะ หยูซิงจึงค่อย ๆ เดินออกไปแล้วปิดประตูไล่หลังตัวเองอย่างเงียบ ๆ
หัวใจของเย่เชียนในตอนนี้นั้นเต้นระรัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับคลื่นซัดโหมกระหน่ำ เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีความคิดหรือเป็นคนไม่มั่นคงอะไร แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับเรื่องของไป๋ฮวยผู้มีพระคุณของเขาแล้ว เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคนคนนั้นก็คือเพื่อนและพี่ชายที่เย่เชียนเคยให้ความสำคัญมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาคนนั้นก็กลับกลายเป็นศัตรูที่แท้จริงของเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่า
กว่าจะรู้ตัวอีกทีเย่เชียนก็นั่งอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วโมงแล้ว…
สภาพอากาศนอกหน้าต่างนั้น ดวงอาทิตย์ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำและแสงก็ส่องลอกผ่านก้อนเมฆออกมาสลัว ๆ ราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะถาโถม
เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เย่เชียนก็ตื่นจากความคิดต่างๆ ที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเขาและเห็นว่าเป็นอู๋หวนเฟิงนั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา หลังจากที่อู๋หวนเฟิงเห็นสีหน้าท่าทางของเย่เชียนแล้ว เขาก็ผงะเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับเย่เชียนจากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เมื่อกี้ตอนที่ผมมา มีคนบอกว่าเฝิงเฝิงส่งคนมาพาเด็กพวกนั้นกลับไปแล้วเหรอ ?”
“อืม!” เย่เชียนพยักหน้าตอบ
“เกิดอะไรขึ้นบอส!” อู๋หวนเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ไป๋ฮ่วยมาที่นี่เมื่อกลางวัน” เย่เชียนพูด
“อย่าบอกนะว่าคือไป๋ฮวยคนนั้น ?” อู๋หวนเฟิงขมวดคิ้วและถามด้วยความประหลาดใจ ขนาดอู๋หวนเฟิงที่เป็นคนที่มีความสงบสุขุมมาโดยตลอดก็ยังถึงกับรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินชื่อไป๋ฮวย เพราะชื่อของไป๋ฮวยสำหรับพี่น้องเขี้ยวหมาป่าแล้ว เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวในโลกของทหารรับจ้าง กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงมีหลายคนที่พูดกันว่าไป๋ฮวยนั้นน่ากลัวราวกับผี เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยโค่นล้มองค์กรทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งร้อยคนด้วยตัวของเขาเองเพียงลำพัง ซ้ำร้ายคือคนจำนวนกว่าหนึ่งร้อยคนนั้นไม่เคยได้เห็นการปรากฏตัวของไป๋ฮวยหมาป่าผีคนนี้เลยแม้แต่เงา ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ในครั้งนั้นเพียงอย่างเดียว มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขายืนอยู่แนวหน้าของโลกแห่งทหารรับจ้างอย่างภาคภูมิ เหตุการณ์ในครั้งนั้นคือต้นกำเนิดของฉายาหมาป่าผีของไป๋ฮวย
เย่เชียนเพียงพยักหน้าตอบและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เขาว่าไงบ้าง ?” อู๋หวนเฟิงถามด้วยความกังวลเมื่อมองไปที่ท่าทางของเย่เชียน เขารู้ว่าในใจของเย่เชียนนั้น ไป๋ฮวยเป็นคนที่สำคัญมาก ทว่าโชคชะตามันดันเล่นตลกให้ไป๋ฮวยกลับกลายเป็นศัตรูของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เขาบอกว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะได้พบกับพวกเราในสนามรบในฐานะศัตรูและจะไม่ปรานีพวกเรา” เย่เชียนพูด
“บอส! เขาก็พูดถูกแล้วไง เพราะเรื่องระหว่างกลุ่มเขี้ยวหมาป่ากับเขา มันถูกลิขิตให้เป็นศัตรูต่อกันและไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจทรยศพวกเราแล้ว ผมรู้ว่าเขาเคยเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของบอส แต่ถึงยังไงคนอย่างเขาจะไม่มีวันที่จะแสดงความเมตตาออกมาให้ศัตรูได้เห็น บอสจำไม่ได้เหรอว่าถ้าหากเราไม่มีใจที่จะปลิดชีพศัตรูล่ะก็ มันจะกลายเป็นเราเองที่จะเป็นฝ่ายที่ต้องจบชีวิตลง” อู๋หวนเฟิงพูดเตือนสติอย่างกังวล
แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อู๋หวนเฟิงพูดนั้นเป็นความจริง แต่เย่เชียนก็ยังคงไม่สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอหรืออะไร แต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับไป๋ฮวยผู้เป็นดั่งพี่ชายแล้ว เย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะมีเจตนาฆ่าต่อเขาได้เลย
“พวกเขาเป็นไงบ้าง ?” เย่เชียนเปลี่ยนประเด็น
อู๋หวนเฟิงแอบถอนหายใจอย่างลับ ๆ เขารู้ดีว่าเย่เชียนกำลังมีปัญหาในการตัดสินใจในครั้งนี้ และเมื่อเห็นเช่นนั้นอู๋หวนเฟิงก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงพยักหน้าและตอบว่า “ผมจัดเตรียมให้พวกเขาพักอยู่ในโรงแรมในเครือของเราแล้วบอส”
“ดีมาก… นายไปทำธุระของนายต่อเถอะ ฉันขอพักสักหน่อย” เย่เชียนพูด
“บอสต้องระวังหน่อยนะ เพราะตอนนี้เรื่องของบอสน่ะเป็นประเด็นหลัก ๆ ของสถานการณ์ต่าง ๆ ในเมืองหนานจิง มันยังมีคนอีกมากที่ยังอยากต่อต้านพวกเรา” อู๋หวนเฟิงต้องการคอยปกป้องเย่เชียนและอยู่เคียงข้างเขาท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้แต่ทว่าสิ่งที่อู๋หวนเฟิงหวังมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเขาต้องการให้เย่เชียนสงบสติอารมณ์และมั่นคงเข้าไว้
“เอ้อใช่!” เย่เชียนพยักหน้าและลุกขึ้น จากนั้นก็เดินออกไป ส่วนอู๋หวนเฟิงก็แอบถอนหายใจอีกครั้งและขมวดคิ้วเล็กน้อยไปด้วย จากนั้นก็เดินตามเย่เชียนออกไป
หลังจากออกจากสโมสรมาแล้ว เย่เชียนก็ขับรถตรงไปยังโรงแรมที่จ้าวหยาและแม่ของเธอพักอยู่ ระหว่างทางเย่เชียนก็ยังคงพยายามจดจ่ออยู่กับลมหายใจของตัวเอง จนในที่สุดหัวใจของเย่เชียนก็สงบลงจนได้ เวลานี้เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงหลินโรโร่ว ผู้หญิงที่รักเขามากที่สุด ดูเหมือนว่าเขามักจะต้องการพึ่งพาเธออยู่เสมอเพื่อพักพิงจิตใจอันหนักอึ้ง และเขาเองก็ยังคงไม่คุ้นชินที่เธอต้องเดินทางไกลจากเขาไปเช่นนี้
เมื่อเย่เชียนมาถึงล็อบบี้ของโรงแรม เขาก็ได้โทรหาจ้าวหยา เมื่อจ้าวหยาได้ยินเสียงของเย่เชียนลอดมาจากทางปลายสาย เธอก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างกระตือรือร้นทันที แค่ฟังจากน้ำเสียงของเธอ มันก็สามารถทำให้เย่เชียนนึกถึงใบหน้าของเธอในตอนนี้ได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาได้คุยกับจ้าวหยาแล้ว เธอก็ทำให้อารมณ์ของเขานั้นดีขึ้นอย่างมาก หลังจากที่รู้เลขห้องพักของจ้าวหยาแล้ว เย่เชียนก็วางสายและเดินตรงไปหาเธอที่ห้อง
ทันทีที่เขากำลังจะเคาะประตู จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก! มันทำให้เย่เชียนตกใจเล็กน้อย เขาเห็นจ้าวหยายืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวและกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างดุร้าย พร้อมกันนั้นเองเสียงแหลม ๆ ของเธอก็แหวขึ้นมาทันที
“นี่นาย! ไหนนายบอกฉันว่านายต้องไปทำธุระไง ? นายส่งคนมาโยนพวกเราทิ้งเอาไว้ที่นี่ แล้วนายก็ไม่มาแยแสฉันเลย! ดูสิแม้แต่น้ำสักหยดเดียวฉันก็ยังไม่ได้ดื่ม”
เย่เชียนแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ เพราะที่นี่เป็นถึงโรงแรมระดับห้าดาว และการบริการของที่นี่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นนั้น แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่เธอจะยังไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำสักหยด ?
“ก็ฉันมีงานบางอย่างที่ต้องทำจริง ๆ นี่นา เอาหน่า… ฉันขอโทษ! ตอนนี้ฉันก็มาอยู่นี่แล้วไง” เย่เชียนพูดอย่างร้อนรน
“หยาเอ๋อร์… เย่เชียนมาแล้วเหรอ ? ทำไมไม่ให้เขาเข้ามาก่อนล่ะ” เสียงของ โจวรุหลาน แม่ของจ้าวหยาดังมาจากข้างใน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็รู้สึกตื่นเต้นและประหม่าอย่างมาก เพราะหญิงวัยกลางคนนั้นไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเธอจะใจดีและเป็นมิตรกับเขาหรือเปล่า
จ้าวหยาส่งสายตาดุร้ายให้แก่เย่เชียนอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง ถึงแม้ว่าแววตาของจ้าวหยานั้นจะดูโกรธเกรี้ยวก็ตาม แต่น่าแปลกที่มันกลับทำให้เย่เชียนรู้สึกบางอย่างในใจว่าจ้าวหยานั้นเหมือนภรรยาตัวน้อยที่กำลังโกรธสามีและเอาแต่ใจ เขาส่ายหัวเบา ๆ สองสามทีเพื่อปัดความคิดบ้า ๆ ในหัวออกไป แล้วจึงเดินตามเข้าไปข้างใน
เมื่อเย่เชียนเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นผู้หญิงที่สง่างามคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องพักอย่างสบาย ๆ เขาไม่สามารถที่จะบรรยายถึงอารมณ์ของเขาในตอนนี้ได้เลย
เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่ทั้งงดงามและใความสง่างามเพียบพร้อมอย่างแท้จริง เธอกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข มันช่างดูแตกต่างกับจ้าวหยาลูกสาวของเธอราวฟ้ากับเหว เย่เชียนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากจ้าวหยานั้นอารมณ์ดียิ้มแย้มเหมือนกับแม่ของเธอล่ะก็ เธอคงจะเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีเสน่ห์เหลือล้นมาก แต่บางทีความน่ารักของจ้าวหยานั้นอาจจะไม่เหมือนใคร เพราะความน่ารักของเธอมันอยู่ที่นิสัยที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจทำให้เธอดูน่ารักเกินใครก็เป็นได้
แต่สิ่งที่ทำให้เย่เชียนตกใจอย่างมากก็คือ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นหน้าตาคล้ายกับคนที่อยู่ในรูปถ่ายบนโต๊ะทำงานของเฉินฟู่เฉิงอย่างมาก ทว่าเธอคนนี้ดูงดงามกว่าเล็กน้อยและดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ซึ่งเย่เชียนก็แอบสงสัยอยู่ในใจว่าเธอคนนี้จะใช่ผู้หญิงที่เฉินฟู่เฉิงรู้สึกเสียใจด้วยมาตลอดชีวิตใช่หรือเปล่า ?