ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 214 ประชุมกับสามเสือ (1)
หวังยู่นั่นเองที่เป็นคู่กรณีของจู้เหมา!
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ทุกครั้งที่เย่เชียนต้องพบกับหวังยู่ มันมักจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเสียทุกทีไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยกันว่ายังไง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคงจะไม่น่าจะตกลงกันได้ เย่เชียนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มมุมปาก ทั้งที่เธอกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากแท้ ๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันกลับทำให้เย่เชียนรู้สึกมีความสุขที่ได้เจอกับเธออีกครั้ง
ทันใดนั้นเองเย่เชียนก็ตัดสินใจเดินลงไปช่วยหวังยู่!
เมื่อหวังยู่เห็นเย่เชียนเดินเข้ามาหา เธอก็ตกตะลึงไปในทันที เธอคิดว่าโชคชะตามันคงกำลังเล่นตลกอะไรกับเธออยู่อย่างนั้นใช่มั้ย ? ทั้งที่เธอกำลังจะลืมเขาได้อยู่แล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้เขาดันมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ มันทำให้ภาพต่าง ๆ ระหว่างเขากับเธอที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแวบกลับเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้
“อย่าบอกนะว่าคุณลืมหน้าผมไปแล้วน่ะ” เย่เชียนจงใจพูดหยอกล้อเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูตึงเครียดจนเกินไป
“นายมาอยู่นี่ได้ไง ?” หวังยู่ถาม
“คงจะเป็นโชคชะตาที่นำพาให้ผมมาอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง” เย่เชียนพูด “คุณโอเครึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย ?”
“ฉันไม่เป็นไร… แต่รถบุบหมดเลย” หวังยู่ส่ายหัวและพูดต่อไปว่า “แถมเขายังหน้าไม่อายมาเรียกค่าเสียหายจากฉันอีก ก็เห็นกันอยู่ว่าเขาเองนั่นแหละที่อยู่ ๆ ก็เบรกกะทันหัน…”
“เอาหน่า… อย่าไปใส่ใจเลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน จากนั้นเขาก็หันไปมองจู้เหมาแล้วพูดว่า “นายน้อยจู้… คุณช่วยไว้หน้าผมหน่อยจะได้มั้ย ?”
เย่เชียนนั้นไม่ได้เกรงกลัวต่อจู้เหมาหรือแม้กระทั่งพ่อของเขาจู้ซานเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ตอนนี้เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
จู้เหมาไม่พอใจที่จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้กล้ามาพูดให้เขาไว้หน้าตัวเองแบบนี้ เขารู้สึกเสียหน้าจึงโวยวายใส่ตำราวจจราจรผู้โชคร้ายคนนั้นพร้อมกับตบหน้าเขาแถมไปอีกหนึ่งฉาด!
“ไอ้เวรเอ๊ย! หมาตัวไหนมันกล้ามาพูดจาแบบนี้กับคนอย่างฉันวะ ?” จู้เหมาตะโกน จากนั้นก็หันไปมองเย่เชียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “แกเป็นใครวะ ? แล้วทำไมฉันถึงต้องไว้หน้าแกด้วย ?”
“นายน้อยจู้… คุณน่ะเป็นถึงคนใหญ่คนโตแล้วทำไมถึงต้องมาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ด้วยล่ะ ?” เย่เชียนยังคงพูดอย่างเฉยเมยและไม่มีท่าทีที่หวั่นเกรงใด ๆ
จู้เหมาคิดแค่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงเป็นแค่พลเมืองดีที่ชอบมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นและพยายามทำตัวเป็นวีรบุรุษเพียงเท่านั้น เขาจึงพูดต่อไปว่า “แกเป็นเพื่อนกับเธอเรอะ ?”
“ใช่… ผมเป็นเพื่อนเธอ” เย่เชียนตอบ
“ก็ได้! นี่ฉันเห็นแกใจกล้ามาพูดขอร้องฉันหรอกนะ ถ้าอย่างงั้นแกมาคุกเข่าของแกลงตรงหน้าฉันนี่ แล้วกราบขอโทษฉันด้วยสามครั้งแล้วฉันจะไม่ติดใจกับเรื่องนี้อีก” จู้เหมาพูดพร้อมวางมาด
เย่เชียนหัวเราะอยู่ในลำคออย่างเยือกเย็น เขาไม่ได้คิดที่จะทำให้เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ต้องกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างเขานั้นก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่จู้เหมาคนนี้ช่างโอหังยิ่งนัก เขาคงคิดว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา
“คุณไม่รู้หรือไงว่าเข่าของผู้ชายนั้นมีค่าดั่งทองคำ! นอกจากพ่อแม่กับคนที่ผมเคารพไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่คนอย่างเย่เชียนจะยอมคุกเข่าให้!” เย่เชียนพูดเสียงเย็น
“เฮ้ย! แกว่าแกชื่อเย่เชียนงั้นเรอะ ? เย่เชียนคนนั้นที่ทุกคนกำลังพูดถึงงั้นเรอะ ?” จู้เหมาถามด้วยความตื่นตระหนก
“แล้วทำไมผมถึงต้องโกหกด้วยล่ะ ?” เย่เชียนพูด
“ทะ… ท่านประธานเย่! ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนของคุณล่ะก็ ผมจะยอมไม่เอาความแล้วก็ได้” จู้เหมาเหงื่อแตกเต็มหน้าผากถึงแม้ว่าเขาจะหยิ่งผยองหรือโอหังมากขนาดไหนก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร แม้ว่าครอบครัวของเขาจะมีอิทธิพลเช่นกัน แต่ถ้าหากเขาทำให้เย่เชียนคนนี้ต้องขุ่นเคืองละก็ พ่อของเขาคงจะต้องเจอกับเรื่องที่ยากลำบากอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นจู้เหมาหันหลังกลับและกำลังจะเดินไปที่รถ เย่เชียนก็ตะโกนว่า “หยุด!”
จู้เหมาหันหน้ากลับมามองอย่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเขาก็พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านประธานเย่… คุณมีอะไรอีกหรือครับ ?”
“อันที่จริงตอนแรกผมกะว่าจะไม่อะไรมากหรอกน่า แต่คุณก็ดันมาทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้ใส่ทุกคนอีก แล้วตอนนี้คุณคิดว่าจะแค่เดินจากไปง่าย ๆ แบบนี้อย่างงั้นเหรอ ? คุณทำอะไรไว้ คุณก็ต้องชดใช้สิ!” เย่เชียนพูดเรียบ ๆ
“เอ่อ… แล้วท่านประธานเย่จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ ?” จู้เหมาถามอย่างประหม่า
“คุกเข่าต่อหน้าผมแล้วไปได้” เย่เชียนพูด
“ห๊ะ !?” จู้เหมาอุทาน “เดี๋ยวก่อน! คุณจะให้ผมทำแบบนั้นได้ยังไง ? ถ้าผมทำแบบนั้นผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ท่านประธานเย่ต้องการก่อสงครามอย่างงั้นเหรอ ?”
เย่เชียนหัวเราะอย่างเยือกเย็นและพูดว่า “หึ ๆ ๆ ก็ในเมื่อพ่อของคุณไม่รู้จักสั่งสอนลูกของตัวเอง ผมก็เลยจะช่วยสอนคุณถึงหลักการการดำเนินชีวิตแทนเขาให้ยังไงล่ะ!”
ทันทีที่เย่เชียนพูดจบ เขาก็เงื้อมือขึ้นหมายจะตบหน้าจู้เหมา แม้ว่าจู้เหมาจะพยายามหลบ แต่เขาก็ยังคงโดนตบอยู่ดี ทว่าเย่เชียนนั้นยังคงใจดียั้งมือเอาไว้ไม่ตบไปเต็มแรง เพราะการตบด้วยแรงเพียงแค่นี้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้ฟันของจู้เหมาหลุดออกจากปากแล้ว
“ตบนี้สำหรับคุณตำรวจจราจรคนนี้… คุณจู้จะได้รู้ว่าความเคารพคืออะไร!” หลังจากที่เย่เชียนพูดจบเขาก็บิดแขนและเตะขาของจู้เหมาจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมากนักก็ตาม แต่ทว่าตำรวจจราจรคนนี้ก็ถือว่าเป็นตำรวจที่ดีและเที่ยงธรรมเลยทีเดียว
ตำรวจจราจรมองหน้าเย่เชียนด้วยความขอบคุณ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากที่เย่เชียนทำให้จู้เหมาลงไปคุกเข่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่แยแสจู้เหมาอีกต่อไป
“คุณจะไปไหนน่ะ ?ให้ผมไปส่งมั้ย ?” เย่เชียนหันไปถามหวังยู่
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้องรีบไปที่สถานีตำรวจของเขตนี้เพื่อดูรายงานของตำรวจจราจรน่ะ” หวังยู่ปฏิเสธ
เย่เชียนจึงได้แต่พยักหน้าตอบ อันที่จริงแล้วถ้าหวังยู่แค่จะไปที่สถานีตำรวจ มันก็คงจะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะตัวเธอเองก็เป็นตำรวจที่มีความสามารถมากเช่นเดียวกัน เย่เชียนจึงไม่ค่อยรู้สึกกังวลว่าจะมีใครจะกล้ามาทำอะไรไม่ดีกับเธออีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหล่าคนในเครื่องแบบที่ยังคงยึดมั่นในความยุติธรรมและตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังนั้นชักจะเริ่มเหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว ทว่าหวังยู่ยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น เขาจึงไม่อยากให้เธอต้องมาเห็นเขาใช้อำนาจที่อาจจะสวนทางกันกับการปฏิบัติหน้าที่ของเธอมากนัก เขาไม่ต้องการให้เธอต้องมีเรื่องลำบากใจและจำเป็นต้องมาจับกุมเขาอีกครั้ง
หลังจากที่ร่ำลากันกับหวังยู่แล้ว เย่เชียนก็ขับรถตรงไปที่สโมสรหมิงยู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทั้งหมดนั้นมีนักข่าวท้องถิ่นบังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้าและได้ถ่ายเก็บเอาไว้ทั้งหมด ไม่นานหลังจากนั้นหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวรายใหญ่ในเมืองหนานจิงเกือบทุกฉบับก็รายงานข่าวด้วยหัวข้อข่าวที่ว่า ‘ตำรวจจราจรผู้บังคับใช้กฎหมายถูกอันธพาลทำร้ายร่างกาย โชคดีที่มีพลเมืองดีออกมาช่วยปกป้องความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างกล้าหาญ’ และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ชื่อของเย่เชียนเป็นกระแสและถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลายในเมืองหนานจิง
กว่าเย่เชียนจะมาถึงที่สโมสรหมิงยู่ได้มันก็เป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว ซูเจี้ยนจุนที่นั่งรอมากว่าครึ่งชั่วโมงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเฉินฟู่เฉิงมีลูกสาว ซึ่งซูเจี้ยนจุนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เฉินฟู่เฉิงเริ่มยิ่งใหญ่ขึ้น ซูเจี้ยนจุนคนนี้ก็ได้ทำการสืบสวนเรื่องราวของเฉินฟู่เฉิงอย่างลับ ๆ เสมอมา จนในที่สุดเขาก็ได้ทราบว่าจ้าวหยานั้นเป็นลูกสาวที่หายไปของเฉินฟู่เฉิง ซูเจี้ยนจุนจึงได้ส่งคนไปคอยจับตาดูจ้าวหยาอยู่ตลอด หลังจากที่เขารู้ว่าเธอมาที่เมืองหนานจิงแห่งนี้ เขาก็ส่งคนไปจับตัวเธอมาทันที
แม้ว่าซูเจี้ยนจุนจะรู้ว่าจ้าวเทียนห่าวนั้นเป็นพ่อบุญธรรมของจ้าวหยา อีกทั้งยังเป็นผู้บริหารของหงเหมินกรุ๊ป แต่เขาหาได้เกรงกลัวไม่! เพราะถ้าหากจะให้เทียบกันระหว่างซูเจี้ยนจุนกับจ้าวเทียนห่าวแล้ว ซูเจี้ยนจุนนั้นยังคงเป็นแค่พวกลูกกระจ๊อกที่มีชื่อเสียงแค่ในเมืองหนานจิงเท่านั้น
อย่างที่บอกว่าซูเจี้ยนจุนนั้นเป็นดั่งวายร้ายในละคร เขาถือคติว่าตัวเองไม่มีอะไรที่จะต้องสูญเสีย แม้ว่าจ้าวเทียนห่าวอาจจะรู้เรื่องที่ลูกสาวของเขาถูกลักพาตัวไป แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะเป้าหมายของการกระทำในครั้งนี้คือ เขาต้องการใช้จ้าวหยาหลอกล่อให้เย่เชียนออกมาพบกับเขา เพื่อดูว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนแบบไหนและจะจัดการกับเขาต่อไปยังไง
แต่นั่นไม่ใช่แค่เหตุผลเดียว ซูเจี้ยนจุนนั้นยังมีจุดประสงค์อื่นแอบซ่อนอยู่อีก!
……
หลังจากที่สอบถามกับพนักงานต้อนรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย่เชียนก็เดินตรงไปยังห้องที่ซูเจี้ยนจุนอยู่ เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องก็พบว่าซูเจี้ยนจุนนั้นไม่ได้มาคนเดียว แต่มีจู้ซานกับกู๋หมิงเซียงนั่งอยู่ในห้องด้วย การปรากฎตัวของกู๋หมิงเซียงนั้นไม่ได้ทำให้เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจอะไรเลย เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้เป็นคนทรยศ อีกอย่างก่อนหน้านี่เฉิงเหวินก็ได้บอกกับเขาแล้วว่า กู๋หมิงเซียงนั้นได้ขายธุรกิจของเขาให้กับซูเจี้ยนจุนและจู้ซานไปแล้ว
โต๊ะตัวนั้นมีเพียงสี่ที่นั่ง มันจึงเหลือที่ว่างเพียงตำแหน่งเดียวที่หันหน้าไปทางประตู เย่เชียนจึงเดินเข้าไปอย่างใจเย็นพร้อมกับรอยยิ้มคลุมเครือบนใบหน้า
“ท่านประธานซู… ผมต้องขอโทษที เมื่อเช้านี้ผมตื่นสายน่ะ” เย่เชียนพูดปด เมื่อเขาเดินได้ถึงที่นังของตัวเองแล้ว เขาก็นั่งลงอย่างสบาย ๆ โดยไม่รอให้ใครพูดเชิญ ทว่ากู๋หมิงเซียงนั้นกลับดูหวาดกลัวเสียจนเก็บอาการแทบไม่อยู่ เขาลุกขึ้นยืนทำความเคารพเย่เชียนโดยไม่รู้ตัว
ส่วนซูเจี้ยนซุนไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนั้นของเย่เชียน เพราะจากการคุยกันผ่านทางโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ เขาก็พอจะเดาได้ว่าเย่เชียนนั้นจะมาแนวไหน
ที่กลางโต๊ะมีชุดน้ำชาวางอยู่ตรงกลาง เย่เชียนเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วดื่มจนหมดอย่างไม่แคร์สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ด้วย จากนั้นก็พูดว่า “อื้ม! ชาดีนี่ อ่อ… ท่านประธานจู้กับท่านประธานซู คุณทั้งสองนั้นช่างดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก”
“แหม… เย่เชียน เธอก็พูดเกินไป ฉันมันแก่ปูนนี้แล้ว” จู้ซานพูด “ว่าแต่เราบอกให้เธอมาให้ตรงเวลาไม่ใช่เหรอ ?”
เย่เชียนรู้สึกตลกไปกับคำพูดคำจาของจู้ซาน เขากล้าดียังไงถึงมาเรียกชื่อของเขาอย่างสนิทสนมแบบนี้ “ท่านประธานจู้อย่าเริ่มหน่า…”
“เอาล่ะ ๆ ทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลย ท่านประธานเย่อย่าไปคิดมาก ประธานจู้เขาก็เป็นคนตรง ๆ แบบนี้แหละ” ซูเจี้ยนจุนพูดพร้อมรอยยิ้ม
จู้ซานมองไปที่เย่เชียนอย่างไม่แยแส แต่หลังจากเงียบไปสักพักเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ที่ฉัน ประธานจู้และหมิงเซียงนัดเธอมาในวันนี้เพราะเราว่ามีอะไรอยากให้เธอดูหน่อยน่ะ”
หลังจากพูดเสร็จจู้ซานก็มองกู๋หมิงเซียง เดิมทีนั้นกู๋หมิงเซียงรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเขาคิดว่าวันนี้ตัวเองมาพร้อมกับซูเจี้ยนจุนและจู้ซาน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนระดับสูงเช่นกันและเริ่มที่จะไม่หวั่นเกรงต่อเย่เชียน…