ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 221 ความรู้สึกของลูกผู้ชาย
ภูเขาสีม่วงลูกนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 400 เมตรเท่านั้น ทำให้เย่เชียนสามารถเดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเย่เชียนมองย้อนลงไปทางด้านล่างของภูเขา เขาก็พบว่ามันมีหมอกหนาปกคลุมอยู่โดยรอบ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองทางด้านบน เขาก็เห็นเมฆลอยอยู่เหนือศีรษะไม่ไกล ทว่าเมื่อเทียบอุณหภูมิกันระหว่างตีนเขากับยอดเขาแล้ว ที่ยอดเขานั้นมีอุณหภูมิต่ำอย่างน้อยก็สามถึงสี่องศาซึ่งถือว่าเย็นพอควรเลยทีเดียว
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียอย่างมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้…
ทางเดินขึ้นภูเขาสีม่วงนั้นไม่แย่มากนักเพราะมันมักจะได้รับการปรับปรุงอยู่อย่างสม่ำเสมอ มีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่ยังมีความชันและขรุขระอยู่บ้าง เย่เชียนกระโดดข้ามราวบันไดไปยืนอยู่บนขอบหน้าผาและมองออกไปสู่ห้วงนภาเบื้องหน้า แววตาของเขานั้นดูหดหู่ระคนเหงาหงอย จะว่าไปในช่วงหลายปีมานี้ เย่เชียนได้ต่อสู้มาอย่างหนักเพื่อกลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเขา แม้ว่ามันจะมีบ้างที่เขาต้องเจอกับช่วงเวลาอันแสนยากเย็น แต่ทุกครั้งเขาก็จะสามารถผ่านมันไปจนได้ในที่สุด ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกหมดหนทางอย่างแท้จริง เพราะเขานั้นไม่สามารถเปลี่ยนใจคนที่เขานับถือว่าเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่งให้กลับมาจากความมืดมิดได้
ความรู้สึกของลูกผู้ชายคืออะไรกันแน่ ? มันคือความแข็งแกร่ง การต่อสู้ การดื่มกิน การร้องไห้ หรือว่าความเศร้าโศกเสียใจ ?
ผู้ชายก็เป็นมนุษย์เดินดินคนหนึ่งเหมือนกัน เป็นมนุษย์ที่มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึก ชีวิตของเย่เชียนนั้นต้องผ่านเรื่องราวทั้งดีร้ายมามากมาย และบางครั้งเขาก็รู้สึกว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาจะต้องห้ำหั่นกันเองระหว่างคนที่เป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด
เย่เชียนยังคงจำร่องรอยของความเหงาและความเศร้าโศกที่มักจะฉายอยู่ในแววตาของกัปตันเทียนเฟิงผู้ก่อตั้งกลุ่มเขี้ยวหมาป่าได้อย่างชัดเจน และแล้วในตอนนี้สิ่งเดียวกันนั้นเองที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวของเขา
……
สิบสองปีที่แล้ว บนทางหลวงแห่งกรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
รถแท็กซี่คันหนึ่งพุ่งฝ่าไฟแดงมาอย่างรวดเร็ว ที่ด้านข้างของตัวรถนั้นมีร่องรอยของการเฉี่ยวชนมาอย่างโชกโชนจนนับไม่ถ้วน รถแท็กซี่คันดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานทูต
ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ รถตำรวจมากมายวิ่งมาจากทุกสารทิศ ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็คือรถแท็กซี่คันนั้นนั่นเอง คนขับรถแท็กซี่เป็นชายอายุประมาณสามสิบ ดวงตาของเขาแดงก่ำและเต็มไปด้วยความกระหายเลือด ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจจอดรถที่ข้างทางอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็หันไปคว้าเอาปืนไรเฟิลจู่โจมออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วเดินลงมาจากรถอย่างมุ่งมั่น
เสียงไซเรนของรถตำรวจค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ชายคนนั้นทีละนิด ๆ ทว่าใบหน้าของเขากลับยังคงสงบนิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีอารมณ์หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกต่างหาก
ชายคนนั้นหรี่ตามองไปที่รถตำรวจคันแรกที่ขับเข้ามาในระยะยิง เขาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนที่จะเล็งปืนไปที่รถตำรวจอย่างไม่ลังเล ชั่ววินาทีนั้นเองที่นิ้วของเขาลั่นไกปืนที่อยู่ในมือ กระสุนลูกแรกพุ่งออกไปเจาะเข้าที่ล้อรถจนเกิดเสียงยางระเบิดดังสนั่น รถตำรวจคันนั้นเสียหลักจนพุ่งลงไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางจนช่วงหน้ารถยับยู่ยี่ แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะยังไม่สาแก่ใจ เขายิงตามไปอีกสองนัดติดกัน โดยเล็งไปที่หัวของตำรวจทั้งสองนายที่นั่งอยู่ในรถคันนั้น และผลก็เป็นไปตามที่คาด ตำรวจทั้งสองนายเสียชีวิตคาที่ทันที
เมื่อปลิดชีวิตตำราจทั้งสองนายได้แล้ว รถตำรวจคันอื่น ๆ ก็เริ่มเข้ามาสมทบในบริเวณนั้นมากขึ้น ชายคนนั้นจึงยิงกราดเพื่อป้องกันตัวเองแล้ววิ่งเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดย่อมที่อยู่ไม่ไกล ช่วงจังหวะนั้นเหล่าบรรดาตำรวจแล้วทหารที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวไม่สามารถแม้แต่จะมีโอกาสได้เงยหน้าขึ้นมาจากที่กำบังได้เลย ชายคนนี้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพจีน ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมฝีมือของพวกตำรวจและทหารเหล่านี้นั้นมันถึงไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย
วินาทีต่อมารถจี๊ปทหารลายพรางก็ถูกขับเข้ามาในที่เกิดเหตุ ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถอย่างเท่และทรงพลัง เขาสวมเครื่องแบบของหน่วยรบพิเศษและถือปืนไรเฟิลจู่โจมในมือ สีหน้าของเขานั้นดูเย็นชาปนโศกเศร้าขณะที่มองไปที่ชายขับรถแท็กซี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนสาธารณะใกล้ ๆ
เขาคือคนนี้คือ เทียนเฟิง สมาชิกของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพจีนนั่นเอง และชายขับรถแท็กซี่คนนั้นก็คืออาจารย์ของเขาเอง ผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมรบและคนที่คอยสอนความรู้ทางทหารให้กับเขามาอย่างนับไม่ถ้วน
“ทุกคนหลบไปก่อน เดี๋ยวฉันจะเข้าไปเอง!” เทียนเฟิงตะโกน
เมื่อได้ฟังคำสั่งอันหนักแน่นจากกัปตันของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพจีนแล้ว ตำรวจและทหารทุกนายก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง
……
เย่เชียนยังคงจำสีหน้าและท่าทางของเทียนเฟิงในขณะที่เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังได้เป็นอย่างดี หลังจากที่อาจารย์ของเทียนเฟิงรู้ว่าเทียนเฟิงได้มาถึงที่นั่นแล้ว อาจารย์ของเทียนเฟิงก็เลิกคลั่งและหยุดยิง ทั้งสองคนคุยกันอย่างสงบเป็นเวลานาน จนในที่สุดอาจารย์ของเทียนเฟิงก็ฆ่าตัวตาย!
ก่อนที่จะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของอาจารย์ของเทียนเฟิง เขาได้จับมือของเทียนเฟิงเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง จากนั้นคำขอโทษจากก้นบึ้งของหัวใจก็หลุดออกมาจากปากของเขา “ฉันต้องขอโทษด้วย… ทั้งกับนาย กับเครื่องแบบนี่ กับยศที่ไหล่อันนี้ แล้วยังเหรียญกล้าหาญบนหน้าอกอีก…”
เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบสองปีก่อนระหว่างเทียนเฟิงและอาจารย์ของเขา ผู้ที่ซึ่งเป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมสาบานมันกำลังจะซ้ำรอยกันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นเรื่องของเย่เชียนและไป๋ฮวย ซึ่งเขาทั้งสองคนก็เปรียบได้ดั่งเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันมาเช่นกัน สำหรับเย่เชียนนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าต่อจากนี้ไปใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องสิ้นชีพไป เพราะสำหรับเขาที่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้นั้น มันก็เหมือนกับว่าทั้งเขาและไป๋ฮวยได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ทางด้านของเซียวหวันที่เห็นเย่เชียนยืนอยู่ริมหน้าผา เธอก็รู้สึกแปลก ๆ ในใจ มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ตัวเธอเองนั้นก็ไม่อาจที่จะสรรหาคำมาบรรยายได้ จู่ ๆ ขาของเธอก็ก้าวออกไปข้างหน้าหมายที่จะเดินไปหาเย่เชียน แต่ทว่าจื่อจุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คว้าข้อมือของเธอเพื่อหยุดเธอเอาไว้เสียก่อน เซียวหวันจึงหันไปมองจื่อจุนและเห็นว่าเขานั้นกำลังส่ายหัวให้เธออยู่เบา ๆ เธอจึงก้าวเท้ากลับมายืนอยู่ที่เดิมและปล่อยให้เย่เชียนยืนอยู่ที่ริมหน้าผาอย่างนั้นต่อไปเงียบ ๆ
ทั้งสามคนยืนอยู่ที่หน้าผานั่นกันอย่างเนิ่นนานโดยไม่มีแม้แต่คำพูดแม้แต่คำเดียวหลุดออกมาจากปาก…
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง แต่เย่เชียนนั้นยังคงยืนอยู่นิ่งไม่ขยีบตัวเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขานั้นได้ถูกสาปให้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว ทว่าเซียวหวันและจื่อจุนที่อยู่ทางด้านหลังนั้นทนไม่ไหว พวกเขาจึงนั่งยอง ๆ พลางถูแขนและขาของตัวเองไปมาด้วยความหนาวเย็น พวกเขาอดที่จะสงสัยอยู่ในได้ใจไม่ได้เลยว่า ‘นี่เย่เชียนไม่หนาวบ้างเลยรึไง ?’
แน่นอนล่ะว่าความอดทนของเขี้ยวหมาป่านั้นเป็นเลิศ โดยเฉพาะราชาหมาป่าเย่เชียน แล้วพวกเขาทั้งสองจะเทียบเคียงกับเขาได้อย่างไร ? ในเมื่อผู้ก่อตั้งกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่านั้นเป็นนักรบที่เก่งที่สุดของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าแห่งกองทัพจีน ทำให้ในระหว่างการฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ นั้น ความอดทนก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทุกคนจะต้องฝึกมันด้วย เพราะถ้าไม่มีความอดทน ก็จะไม่สามารถเป็นนักรบที่ดีได้ตามที่กัปตันเทียนเฟิงเคยกล่าวเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ภาพที่เย่เชียนนั้นยืนอยู่ริมหน้าผาโดยมีชายหญิงคู่นั่งเฝ้าอยู่ข้างหลังนั้น มันทำให้พวกนั้นท่องเที่ยวที่เดินผ่านมาอดไม่ได้ที่จะหยุดดูพวกเขาด้วยความแปลกใจ จนมีครั้งหนึ่งที่สองตายายเดินผ่านมาแล้วทักเย่เชียนว่า “มันไม่มีอะไรที่คนหนุ่มสาวพยายามแล้วทำไม่ได้หรอกหลานเอ๋ย… อย่าเพิ่งรีบโหยหาความตายเลย อุปสรรคในชีวิตมันเป็นเรื่องธรรมดา”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!”
จู่ ๆ เย่เชียนก็ตะโกนออกไปสู่ท้องฟ้าเบื้องหน้าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงสะท้อนดังกึกก้องไปมาอยู่ในหุบเขาเบื้องล่างจนฟังดูพิลึกชอบกล
หลังจากที่เย่เชียนตะโกนออกไปอย่างนั้น เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ทว่าเขาเองก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยที่จู่ ๆ เขาตะโกนออกไปเสียงดังแบบนั้น เขาจึงหันไปขอโทษขอโพยสองตายายยกใหญ่และไม่ลืมที่จะพูดขอบคุณพวกเขาอย่างจริงใจด้วย
จากนั้นเย่เชียนก็เหลือบมองจื่อจุนและเซียวหวันแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”
การที่เย่เชียนไปยืนอยู่ที่ริมหน้าผาแบบนั้น เขาไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่อย่างใด เพราะการฆ่าตัวตายหนีปัญหามันไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชายในความคิดของเขา เย่เชียนเพียงแค่ต้องการหาที่สงบ ๆ เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ความหดหู่ที่อยู่ข้างในออกมาก็เท่านั้น
เมื่อลงมาถึงตีนเขา เย่เชียนก็โยนกุญแจรถให้จื่อจุนแล้วพูดว่า “คุณช่วยมาขับรถให้ผมที”
“นี่นาย! นายเห็นพวกเราเป็นอะไรน่ะ ? เราแค่มาช่วยนายทำงานให้เสร็จไม่ได้มาเป็นคนขับรถของนายนะ” เซียวหวันพูดอย่างเกรี้ยวกราดเพื่อทำลายบรรยากาศและความรู้สึกที่คลุมเครือภายในใจของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะพูดไปแบบนั้นแต่เซียวหวันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจเย่เชียนอยู่ลึก ๆ ซึ่งเธอก็เข้าใจดีว่ามิตรภาพระหว่างสหายที่เป็นเหมือนดั่งพี่น้องนั้นมันลึกซึ้งเพียงใด และการต่อสู้ระหว่างพี่น้องนั้นก็โหดร้ายมากขนาดไหน
จื่อจุนจ้องเขม็งไปที่เซียวหวัน จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังตำแหน่งคนขับ
เย่เชียนนั้นไม่ได้สนใจเซียวหวันเลย เพราะในความคิดของเขานั้น เธอคนนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะโตเป็นสาว และคงเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายเอาเสียเลย เย่เชียนจึงไม่อยากที่จะทะเลาะกับเธออีก เขาได้แต่เงียบไม่โต้เถียงอะไรกลับไป จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดประตูหลังแล้วเข้าไปนั่งที่เบาะหลังคนเดียว
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่แยแสของเย่เชียนแล้ว เซียวหวันก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีก เธอตามเขาเข้าไปนั่งลงที่เบาะหลังข้าง ๆ เมื่อเย่เชียนเหฌนเธอมานั่งข้าง ๆ เขาก็จ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงในคราบของสายลับคนนี้ด้วยความประหลาดใจ ส่วนเซียวหวันก็จ้องเขม็งมาที่เย่เชียนอย่างเกรี้ยวกราดเช่นกัน
“อะไร ? ฉันจะนั่งตรงนี้ด้วยไม่ได้รึไง ?”
เย่เชียนไม่มีอารมณ์จะเสวนาต่อ เขาจึงเพียงยิ้มกลับเล็กน้อย หลังจากบอกปลายทางของเขาให้จื่อจุนแล้ว เขาก็เอนหลังพิงเบาะแล้วหลับตาลงไปอย่างเหนื่อยล้า
จื่อจุนจึงสตาร์ทรถและขับตรงไปยังโรงแรมที่จ้าวหยาพักอยู่ตามคำสั่ง
ตั้งแต่ออกมาจากโรงน้ำชา เชียวหวันรู้สึกว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย มันจึงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก แต่พอเธอได้เห็นเย่เชียนที่ดูอ่อนแอเช่นนี้แล้ว ความโกรธเกรี้ยวในใจของเธอก็จางหายไป
เซียวหวันตัดสินใจสะกิดแขนของเย่เชียนเบา ๆ และพูดว่า “นี่ ๆ นายพูดอะไรบ้างสิ”
“ผมชื่อเย่เชียน… ที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน…” เย่เชียนพูดอย่างอ่อนแรงโดยไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองเธอ
“เชอะ!” เซียวหวันเม้มปากและทำหน้ามุ่ย “นายคนที่อยู่ที่โรงน้ำชากับนายตอนนี้ทำไมมันถึงต่างกันราวกับฟ้ากะเหวแบบนี้ล่ะ ?”
เย่เชียนได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมาและโน้มตัวเข้าไปหาเซียวหวันอย่างกะทันหัน ทำให้ปากกับจมูกของพวกเขาทั้งสองเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ในตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้จนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ทันใดนั้นเองที่เซียวหวันเริ่มที่จะหายใจเข้าออกเร็วขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงและรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเย่เชียนใกล้ ๆ แล้ว เซียวหวันก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ช่างมีผิวพรรณที่ดีเหลือเกิน ดวงตาของเขาดิ่งลึกราวกับท้องฟ้าในยามค่ำคืนอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล แถมหน้าตาของเขาก็ยังหล่อมากอีกด้วย เซียวหวันตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าแก้มขาว ๆ ของเธอในตอนนี้นั้นมันได้เปลี่ยนกลายเป็นสีชมพูระเรื่อไปแล้ว
“นี่คุณผู้หญิง… ไม่สิสาวน้อย! คุณต้องการให้ผมเป็นคนแบบนั้นกับคุณหรอกเหรอ ?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่มุมปากของเขา
“ฉัน… เอ่อ… ฉัน…” เซียวหวันถึงกับพูดติดอ่าง เธอสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้วโดยสมบูรณ์ ทว่าจื่อจุนที่กำลังมองผ่านกระจกมองหลังอยู่นั้นกลับยิ้มออกมาอย่างคลุมเครือ
“ไอ้คนกะล่อน… นายอย่าเข้ามาใกล้ฉัน!” เซียวหวันผลักเย่เชียนออกไปเบา ๆ เย่เชียนไม่ได้ขัดขืนหรือตอบโต้อะไร เขาเพียงแต่เอนหลังกลับไปนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เหมือนเดิม
หัวใจของเซียวหวันนั้นยังคงแปรปรวนอยู่และความคิดของเธอก็สับสนวุ่นวายไปหมด เธอคิดไม่ออกเลยว่าต่อจากนี้ไปเธอจะวางตัวกับเย่เชียนอย่างไร
“ฉันชื่อเซียวหวัน! และฉันก็ยังไม่ได้อนุญาตให้นายเรียกฉันว่าสาวน้อยด้วย!” เซียวหวันหน้ามุ่ยและบุ้ยปากพูด
“ก็คุณเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หนิ” เย่เชียนพูดโดยไม่สนใจท่าทางที่โกรธเกรี้ยวของเซียวหวันเลย
เซียวหวันนั้นอายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถของเธอเอง มันทำให้เธอสามารถเข้าไปทำงานที่กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ว่าอายุ 23 จะเป็นอายุที่ไม่มาก แต่ถ้าเดาอายุของเธอจากใบหน้าของเธอแล้ว ใคร ๆ ก็คงคิดว่าเธอนั้นยังเป็นสาว ๆ วัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีแน่ ๆ ทว่าเธอไม่ชอบเลยที่มันต้องเป็นแบบนั้น เพราะใจจริงแล้วเธอต้องการให้ผู้คนมองดูเธอที่ความสามารถมากกว่าอายุหรือรูปร่างหน้าตา เธอจึงไม่พอใจมากเวลาที่มีคนเรียกเธอว่าสาวน้อยหรือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
เซียวหวันจึงตะโกนกลับไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไอ้คนขี้โกง! ฉันไม่อยากยุ่งกับนายแล้ว”
เย่เชียนได้แต่เงียบและไม่ได้โต้เถียงอะไรกับเธอ เขาไม่อยากทำให้เธอโกรธไปมากกว่านี้อีก หลังจากที่เงียบกันไปสักพัก เย่เชียนก็ถามจื่อจุนว่า “คุณรู้มั้ยว่าพวกนั้นจะซื้อขายกันเมื่อไหร่ ?”
“น่าจะอีกไม่กี่วันนี้นะ… แต่มันก็ยังไม่แน่หรอก พวกเรากำลังตรวจสอบกันอยู่ หวังว่าเร็ว ๆ นี้คงจะมีข่าวคืบหน้าอะไรส่งมาบ้าง” จื่อจุนตอบ
เย่เชียนพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป