ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 222 ผู้ติดตาม
หลังจากที่จื่อจุนขับรถพาเย่เชียนมาถึงโรงแรมที่จ้าวหยาและโจวรุหลานอยู่แล้ว เย่เชียนก็พาสองแม่ลูกมุ่งหน้าต่อไปยังสถานที่หลุมศพของเฉินฟู่เฉิง ส่วนจื่อจุนกับเซียวหวันนั้นแยกตัวออกไปต่างหาก เพราะพวกเขาจะต้องไปติดต่อกับสำนักงานกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติเพื่อรับรายงานข้อมูลสถานการณ์ล่าสุด
ทางด้านของอู๋หวนเฟิงก็ไม่ได้ไปกับเย่เชียนเช่นกัน เพราะเขาต้องการที่จะเริ่มต้นการตรวจสอบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจู้ซานและซูเจี้ยนจุน เพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป
เย่เชียนไม่รู้เลยว่าจ้าวหยากับโจวรุหลานนั้นคุยอะไรกันเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองแม่ลูกจะเข้าใจกันดีเป็นปกติแล้ว อันที่จริงเย่เชียนนั้นไม่คิดว่าโจวรุหลานทำผิดอะไรต่อจ้าวหยาเลย เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งที่สมควรที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเป็นเหตุผลของจ้าวเทียนห่าวที่ไม่มีวันยอมทอดทิ้งโจวรุหลานไปไหน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากันแค่เพียงในนามเท่านั้น แต่จ้าวเทียนห่าวก็ยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างดีที่สุด
ตั้งแต่ที่โจวรุหลานรู้ข่าวการเสียชีวิตของเฉินฟู่เฉิง เธอก็กลายเป็นคนไม่มีชีวิตชีวาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร จนบางครั้งมันก็ส่งผลถึงสภาพร่างกายภายนอกของเธอทำให้เธอนั้นดูแก่ชราลงอย่างน่าใจหาย แม้ว่าโจวรุหลานและเฉินฟู่เฉิงจะไม่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยากันอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาโจวรุหลานนั้นไม่เคยลืมเฉินฟู่เฉิงเลย เขายังคงเป็นที่พึ่งทางใจให้เธออยู่เสมอ แม้ว่าตัวจะอยู่ไกลกันสักเพียงใด แต่มาวันนี้วันที่เฉินฟู่เฉิงได้ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาลแล้ว โจวรุหลานก็รู้สึกว่าที่พึ่งทางใจของเธอก็หายไปจากโลกนี้ไปด้วย
ทางด้านของจ้าวหยานั้น แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นหน้าพ่อแท้ ๆ ของตัวเองมาก่อน แต่เมื่อเธอได้มารู้ความจริงในวันที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว มันก็ทำให้เธอรู้สึกโศกเศร้าและหดหู่ไปไม่น้อยว่าโจวรุหลานแม่ของเธอเลย เพราะอย่างไรเสียเลือดก็ข้นกว่าน้ำอยู่วันยังค่ำ การทำใจยอมรับเรื่องทั้งหมดภายในเวลาอันแสนสั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เย่เชียนไม่อยากรบกวนสองแม่ลูก เขาเพียงแต่ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังสุสานของเฉินฟู่เฉิงอย่างเงียบ ๆ และปล่อยให้สองแม่ลูกเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างดูดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกสีดำครึ้มปกคลุมจนท้องฟ้ากลายเป็นสีเทา
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงที่สุสาน เย่เชียนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้โจวรุหลาน ขณะเดียวกันจ้าวหยาเองก็เข้ามาช่วยพยุงแม่ของเธอลงจากรถด้วย จากนั้นทั้งสามก็เดินขึ้นไปบนภูเขา
สุสานของเฉินฟู่เฉิงนั้นถูกสร้างเอาไว้ที่บนยอดเขา แต่โดยรอบนั้นไม่มีสุสานอื่น ๆ ถูกสร้างเอาไว้เลยมันจึงดูเงียบเหงาอยู่เล็กน้อย ที่พื้นตรงบริเวณสุสานนั้นถูกปูด้วยหินอ่อนทั้งหมดและมีข้อความถูกสลักเอาไว้ว่า ‘สุสานของเฉินฟู่เฉิง’ ถัดลงมาอีกบรรทัดมีวันชาตะและวันมรณะถูกสลักกำกับเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าไม่สังเกตให้ดีอาจมองไม่เห็นข้อความเหล่านี้ เพราะมันถูกบดบังไปด้วยช่อดอกไม้ที่ผู้คนนำมาแสดงความเคารพต่อเฉินฟู่เฉิงผู้ล่วงลับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงสุสานเปล่า ๆ ที่ถูกทำขึ้นมา แต่มันก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพและรำลึกถึงของผู้คนในเมืองหนานจิงที่มีต่อเฉินฟู่เฉิง ในฐานะที่เขานั้นได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ในสายตาของคนบางคนเฉินฟู่เฉิงนั้นอาจเป็นแค่พวกนักเลงหัวไม้ก็ตาม แต่สำหรับคนจำนานมากแล้วเฉินฟู่เฉิงนั้นยิ่งใหญ่เทียบเท่าได้กับเทพเจ้าเลยทีเดียว
เมื่อโจวรุหลานเดินมาถึงที่สุสาน เธอก็ลงไปนั่งคุกเข่าแล้วใช้มือลูบที่พื้นหินอ่อนเบา ๆ แววตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและอาลัยอาวรณ์
“ฟู่เฉิง… ฉันพาลูกมาหาแล้วนะ” โจวรุหลานพึมพำ
“พ่อคะ!” จ้าวหยาตะโกนและคุกเข่าลงข้าง ๆ โจวรุหลาน “หนูขอโทษค่ะพ่อ… ที่หนูไม่แม้แต่จะมาเจอหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย หนูมันลูกอกตัญญู!”
เย่เชียนเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน เขาเคาะสุสานไปสามครั้งจากนั้นก็ลุกขึ้น
ในชีวิตของเย่เชียนเขานั้นแทบจะไม่ยอมคุกเข่าให้ใครเลย มีก็แต่พ่อของเขาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก ตอนนั้นเขาดื้อมากจนไปทำอะไรผิดมาสักอย่าง พ่อของเขาจึงว่ากล่าวสั่งสอน เย่เชียนจึงคุกเขาลงเพื่อเป็นการขอโทษและสำนึกผิก ส่วนอีกคนก็คือกัปตันเทียนเฟิง ผู้ที่เป็นเหมือนดั่งเข็มทิศชีวิตอันใหม่ให้แก่เย่เชียน แล้วก็มาเฉินฟู่เฉิงนี่แหละที่เย่เชียนยอมคุกเข่าให้ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้รู้จักกับเฉินฟู่เฉิงอย่างลึกซึ้งมากนักก็ตาม แต่เขาคิดว่าชายผู้นี้นั้นเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ
โจวรุหลานยังคงลูบพื้นหินอ่อนของสุสานไปมาเบา ๆ ปากก็พึมพำบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเธอและเฉินฟู่เฉิง ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ทั้งมีความสุขและยากลำบากไปในคราวเดียวกัน “ฟู่เฉิง… คุณว่าถ้าเราได้มีโอกาสใช้ชีวิตหลังความตายด้วยกันมันจะเป็นยังไงนะ ? ฉันรู้ว่าฉันคงจะไม่ปล่อยให้คุณจากฉันไปไหนแน่ ๆ แม้ว่าฉันนั้นจะต้องตายอีกซักกี่หนก็เถอะ เพราะตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ เราทั้งคู่ต่างก็ตัดสินใจผิดไป… ฉันคิดถึงคุณเหลือเกินฟู่เฉิง ฉันคิดถึงคุณมาก! หัวใจของฉันมันเจ็บปวดไปหมดแล้ว”
“แม่อย่าเสียใจไปเลย… เพราะถ้าพ่อเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงไม่อยากให้แม่ต้องเป็นแบบนี้หรอกนะ” จ้าวหยาโอบโจวรุหลานพลางพูดปลอบเธอไปด้วย
“ถูกของจ้าวหยาครับคุณป้า… ท่านประธานเฉินบอกกับผมก่อนที่ท่านจะจากไปว่าท่านเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคุณป้ากับเขามาก ผมคิดว่าสิ่งที่ท่านปรารถนามากที่สุดคือการได้เห็นคุณป้ามีความสุขนะครับ” เย่เชียนพูดเสริม
โจวรุหลานยิ้มอย่างขมขื่นและจับมือของจ้าวหยาพร้อมกับพูดว่า “แม่ไม่เป็นไรหรอก… แม่แค่เสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสพาลูกมาเจอพ่อแท้ ๆ ของลูกเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้น กว่าเราจะมาเจอกันได้แบบนี้ มันก็สายไปเสียแล้ว ต่อไป… ลูกต้องคิดและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ให้ดีนะลูก อย่าทำผิดพลาดเหมือนพ่อกับแม่ เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกต้องมานั่งเสียใจทีหลังเหมือนกับแม่แบบนี้”
จ้าวหยาพยักหน้าตอบรับในขณะที่หันไปมองเย่เชียนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแววตาที่อ่อนไหวคู่นั้นมันทำให้เย่เชียนรู้สึกกลัวที่จะจ้องมองมันกลับไป เขาจึงรีบหันหน้าหนีไปทางโจวรุหลานแทน ทว่าเมื่อเขาเห็นสีหน้าของโจวรุหลานเขากลับรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่ทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมจนทำให้เขารู้สึกอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่โจวรุหลานกำลังคิดจะฆ่าตัวตายตามคนรักของเธอไปอย่างงั้นหรือ ?
“หยาเอ๋อร์… ลูกไปกับเย่เชียนก่อนนะ แม่ขออยู่ต่ออีกสักหน่อย” โจวรุหลานพูด
“แม่! หนูจะอยู่กับแม่ หนูจะมั่นใจได้ยังไงล่ะว่าแม่จะไม่เป็นอะไรถ้าแม่อยู่ที่นี่คนเดียวน่ะ” จ้าวหยาพูดด้วยความวิตกกังวล
โจวรุหลานยิ้มตอบแต่ทว่ารอยยิ้มนั้นดูขมขื่นอย่างยิ่ง “แม่ไม่เป็นไรหรอก… แม่แค่อยากจะคุยกับพ่อของหนูน่ะ ลูกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะนั่งแท็กซี่ตามไปทีหลัง” โจวรุหลานพูด
จ้าวหยาลังเล แต่ในที่สุดเธอก็พยักหน้าและยอมให้แม่ของเธออยู่ที่นี่ต่อไปเพียงลำพัง
“เย่เชียน ป้าต้องขอบคุณเธอมาก” โจวรุหลานเหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดด้วยความจริงใจ “แล้วอย่าลืมดูแลหยาเอ๋อร์ของฉันให้ดี ๆ ล่ะ ถึงเธอจะเป็นเด็กดื้อและเอาแต่ใจ แต่ถึงยังไงเธอก็จิตใจดีและน่ารักมากเลยนะ”
เย่เชียนผงะ! หรือว่านี่จะเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของโจวรุหลาน ? เขาพยายามจ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอเพื่อหาคำตอบ แต่ทว่าเขากลับมองไม่เห็นเจตนารมณ์ของการฆ่าตัวตายเลยสักนิด หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบว่า “คุณป้าไม่ต้องกังวลเลยครับ ผมจะดูแลหยาเอ๋อร์ให้ดีที่สุด”
หลังจากที่เย่เชียนและจ้าวหยาร่ำลากับโจวรุหลานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็พากันเดินลงมาจากยอดเขา
“จ้าวหยา… คุณป้าดูท่าไม่ค่อยดีเลย เธอต้องคอยดูแลเขาอย่าให้คลาดสายตาเลยนะ” เย่เชียนพูดหลังจากที่เขาและจ้าวหยาเดินลงมาถึงตีนเขาแล้ว
จ้าวหยาไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าเป็นการรับรู้เบา ๆ สีหน้าและแววตาของเธอนั้นยังคงมีความเศร้าแฝงอยู่อย่างปิดไม่มิด
“เธออยากไปที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า ?” หลังจากที่ขึ้นรถแล้วเย่เชียนก็หันไปถามจ้าวหยาที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้าง ๆ เขา
“ฉันไม่รู้…” จ้าวหยาตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยดีนัก
น้ำเสียงของจ้าวหยาในตอนนี้มันทำให้เย่เชียนรู้สึกหดหู่อย่างมาก เขาชอบจ้าวหยาตอนที่เธอเกรี้ยวกราดและซุกซนกับเขามากกว่า
“ถ้างั้นฉันจะพาเธอไปที่ ๆ นึงนะ” เย่เชียนพูด ส่วนจ้าวหยานั้นยังคงได้แต่พยักหน้ารับและไม่ได้พูดอะไรกลับเช่นเคย ตอนนี้เธอนั้นรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองและล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดที่ทุกข์ใจของเธอ
เย่เชียนจึงได้แต่แอบถอนหายใจอย่างลับ ๆ ก่อนที่จะขับรถออกไป
หลังจากที่ขับรถกินบรรยากาศธรรมชาติสองข้างทางมาได้พักหนึ่ง เย่เชียนก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อเขาสังเกตุเห็นรถคันหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะกำลังขับตามเขามา ตอนแรกเขาเดาว่าอาจจะเป็นพวกของซูเจี้ยนจุนและจู้ซาน แต่เมื่อคิดดูดี ๆ มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะต่อให้พวกเขาจะรู้สึกโกรธแค้นที่เพิ่งจะถูกเย่เชียนตบหน้าฉาดใหญ่ไปเมื่อครั้งก่อน แต่นี่มันก็เร็วเกินไปที่สองคนนั้นจะบุ่มบ่ามทำอะไรกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นการท้านทายอานาจของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอย่างเปิดเผยเช่นนี้ มันก็มีแต่พวกสติไม่ดีเท่านั้นที่จะลงมือทำ
เย่เชียนจับพวงมาลัยรถแน่นแล้วค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้น ขณะเดียวกันสายตาของเขานั้นก็คอยสังเกตรถที่ตามมาข้างหลังอยู่เป็นระยะ ๆ ในตอนนี้เย่เชียนขับรถมาจนถึงเขตตัวเมืองแล้ว ทำให้การจราจรนั้นมีรถอยู่บนถนนมากขึ้นจนยากที่จะแซงหรือไล่ตามเขาได้ทัน เขาใช้โอกาสนี้ในการพยายามสลัดรถที่ตามมาออก โดยการเหยียบคันเร่งแซงรถที่อยู่ข้างหน้าเขาไปทีละคัน ๆ จนเขานั้นเริ่มทิ้งระยะห่างจากรถคันนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความช่ำชองในการขับรถ ทำให้เย่เชียนทิ้งห่างจากรถต้องสงสัยคันนั้นได้อย่างไม่น่าสงสัย
ทว่าเมื่อเย่เชียนมองผ่านกระจกหลังไปที่รถคันนั้นอีกครั้ง เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะรถคันนั้นไม่มีทีท่าว่าจะแหกกฎจราจรมาเพื่อไล่ตามเขาให้ทันแต่อย่างใด แต่รถคันนั้นกลับปฏิบัตืตามกฎอย่างเครีงครัด
เมื่อเย่เชียนเพ่งมองไปที่ป้ายทะเบียนรถ เย่เชียนก็รู้ทันทีว่ารถคันนี้มาจากแผนกยุทโธปกรณ์ปฏิบัติการพิเศษภาคสนามของทหารในเมืองหนานจิง เนื่องจากป้ายทะเบียนนั้นถูกขึ้นต้นด้วยตัวอักษร D นั่นเอง มันทำให้เย่เชียนคิดกับตัวเองว่าใครก็ตามที่กำลังขับรถคันนี้อยู่อาจจะกำลังออกมาปฏิบัติหน้าที่ในการขับรถลาดตระเวนดูความเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายใด ๆ เพราะถ้าพวกเขาตามเย่เชียนมาจริง พวกเขาก็คงจะไม่ใช้รถจะหน่วยงานเช่นนี้ เพราะมันจะดูสะดึชุดตาจนเกินไป
ทหารจากแผนกยุทโธปกรณ์ปฏิบัติการพิเศษภาคสนามนั้นค่อนข้างที่จะเกรี้ยวกราดเลยทีเดียว อีกทั้งพวกเขานั้นไม่ได้สนใจเรื่องเงินมากเท่ากับเรื่องปืนและความมั่นคง เย่เชียนคิดว่าตัวเขาเองนั้นไม่ได้มีข้อบาดหมางใด ๆ กับทหารจากแผนกนี้เลย มันคงเป็นแค่ความบังเอิญที่มาเจอกันในวันนี้ก็เท่านั้น อีกอย่างเย่เชียนเองก็ไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับใครเพิ่มอีกแล้วในตอนนี้ เพราะแค่เรื่องของซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานมันก็ทำให้เย่เชียนปวดหัวมากพอแล้ว ไหนจะภารกิจจากสำนักงานกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอีกล่ะ เมื่อคิดเช่นนั้น เย่เชียนก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงโดยการเปลี่ยนเลนให้รถคันนั้นแซงหน้าไปก่อน แต่ทว่ารถจี๊ปคันนั้นก็ชะลอความเร็วและเปลี่ยนเลนตามเขามาเช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ตระหนักได้แล้วว่า รถคันนั้นคงกำลังตามเขามาจริง ๆ เย่เชียนจึงคิดว่าเขาจะขับรถไปจอดที่ที่มีคนอยู่ไม่มากนักเพื่อเคลียร์กับปัญหานี้ แต่หลังจากที่เขาขับผ่านสะพานลอยไปแล้วนั้น รถราบนท้องถนนก็เริ่มบางตาลง จู่ ๆ รถจี๊ปคันนั้นก็เร่งความเร็วและพุ่งเข้าหารถของเย่เชียน
เย่เชียนมองไปที่รถคันนั้นก็พบว่ามีชายหนุ่มสองคนในชุดทหารนั่งอยู่ที่เบาะหน้า ทั้งคู่น่าจะอายุราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ เมื่อรถจี๊ปที่กำลังเร่งความเร็วนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้น เย่เชียนก็หักพวงมาลัยและดึงเบรกมือจึงทำให้รถของเขาดริฟท์หลบรถจี๊ปไปได้อย่างหวุดหวิด และรถจี๊ปคันนั้นก็พุ่งไปชนเกาะกลางถนน!