ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 223 หวงฟู่เส้าเจี๋ย
อย่างที่รู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าคนอย่างเย่เชียนนั้นไม่ใช่พวกปอดแหกหรืออะไรทำนองนั้น เขาแค่ไม่ต้องการที่จะเพิ่มปัญหาที่มีมากอยู่แล้วให้มันมากขึ้นไปอีก อีกอย่างถ้าเกิดว่าเขามีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ เขาก็มีคุณปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนคอยสะสางให้อยู่แล้ว ถึงมันอาจจะต้องผ่านขั้นตอนอันแสนยุ่งยากก็เถอะ
เย่เชียนจอดรถเข้าข้างทางแล้วเดินลงไปดูสภาพรถจี๊ปที่พังยับเยินคันนั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้เขาก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสองมวน มวนหนึ่งเพื่อสูบเอง ส่วนอีกมวนนั้นเขายื่นมันให้กับชายที่นั่งฝั่งคนขับ
“พี่ชาย… ทำไมขับรถเร็วจังเลยล่ะ ?” เย่เชียนพูดอย่างอารมณ์ดี
“ฉันไม่มีอารมณ์สูบ!” ชายในรถจี๊ปปฏิเสธบุหรี่ที่เย่เชียนยื่นให้ “นายจะเอายังไง ? ดูซิรถมันพังยับเยินขนาดนี้”
“พี่ชายไม่ต้องห่วง เรียกค่าเสียหายมาได้เลย เดี๋ยวผมจ่ายให้!” แม้เย่เชียนจะรู้สึกว่าชายคนนั้นพยายามพูดจายั่วยุให้เขามีน้ำโห แต่เขาก็ยังคงพูดคุยเหมือนกับว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก
“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน” ชายคนนั้นพูดพลางเหลือบมองเย่เชียนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ถ้าพี่ชายไม่ต้องการเงิน แล้วพี่ชายต้องการอะไรล่ะ ?” เย่เชียนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาจำคำสอนของอาจารย์ได้ไม่เคยลืมว่า ความอดทนใจเย็นและมีสตินั้นใช้ได้ดีกับทุก ๆ สถานการณ์
“เราจะมาเสียหน้าในพื้นที่ทหารของเราไม่ได้หรอก” ชายคนนั้นพูด
“พวกพี่ชายเป็นใครงั้นหรือ ?” เย่เชียนถาม
“ฉัน… ร้อยเอกหวงฟู่เส้าเจี๋ย!” ชายคนนั้นพูดพลางชี้ไปที่ยศบนบ่าของเขา “สังกัดกรมยุทโธปกรณ์ภาคสนามแห่งกองทัพจีนเขตเมืองหนานจิง… ยศร้อยเอก!”
“โอ้โห! สุดยอดไปเลยพี่!” เย่เชียนแกล้งพูดชมอย่างสุภาพ เพราะยศร้อยเอกนั้นไม่ใช่ยศที่อยู่ในระดับสูงอะไรมากนัก แต่คนที่จะมีมันได้ก็ต้องมีฝีมือดีระดับหนึ่ง ทว่าการที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยคนนี้ได้อยู่ในสังกัดกรมยุทโธปกรณ์ภาคสนามแห่งกองทัพจีนเขตเมืองหนานจิงนั้น มันก็ทำให้ทหารธรรมดา ๆ เทียบไม่ติดเลยเช่นกัน
หวงฟู่เส้าเจี๋ยเหลือบมองไปที่เย่เชียนอีกครั้ง ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ยังคงมีทีท่าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอาการฉุนเฉียวหรือโกรธเกรี้ยวใด ๆ อย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ และถ้าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเย่เชียนมาก่อน เขาก็คงคิดว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้นั้นเป็นเพียงเด็กธรรมดา ๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร
“นายคือเย่เชียนคนนั้นใช่มั้ย ? คนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนให้ทุกคนพูดถึงอยู่ตอนนี้น่ะ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามขึ้น
“ผมชื่อเย่เชียน… ที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน และผมก็เป็นอย่างนั้นตามความหมายของชื่อผมแหละ ผมไม่ได้ต้องการที่จะมาสร้างปัญหาอะไรกับใครที่นี่เลย” เย่เชียนพูดเสียงเรียบ เขาไม่ได้ต้องการที่จะมีปัญหากับใครจริง ๆ ตามที่พูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่จ้าวหยาอยู่ที่นี่กับเขาด้วย
“อย่ามาพูดจาไร้สาระให้เสียเวลาเลยดีกว่า พอดีฉันรับปากกับเพื่อนของฉันคนนึงเอาไว้ พูดง่าย ๆ เลยนะ นายต้องมาสู้กับฉันสักตั้ง แล้วถ้าฉันแพ้… ฉันจะลืมเรื่องทั้งหมดไปซะ แต่ถ้าฉันชนะล่ะก็ นายต้องไปกับฉันเพื่อไปคุกเข่าขอโทษกับเพื่อนฉันซะ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
เย่เชียนพยักหน้างง ๆ ดูเหมือนว่าชายที่ชื่อหวงฟู่เส้าเจี๋ยคนนี้จะมีเลือดของชายชาติทหารอยู่พอสมควร “แต่ว่าผมไม่รู้จักใครในเขตทหารนี่เลยนะ แล้วผมจะไปทำให้เพื่อนของพี่ชายขุ่นเคืองได้ยังไงกันล่ะ ?”
“เพื่อนของฉันไม่ได้เป็นคนแถวนี้หรอก เอาจริง ๆ เราก็ไม่เชิงว่าเป็นเพื่อนกัน เขาแค่เคยช่วยฉันเอาไว้เมื่อตอนที่ฉันไปเซี่ยงไฮ้ พอมาตอนนี้เขามีเรื่องให้ฉันช่วย ฉันก็เลยอยากตอบแทนเขากับเรื่องในตอนนั้นแค่นั้นเอง” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
“ว่าแต่… เพื่อนของพี่ชายคือใครงั้นเหรอ ?” เย่เชียนถามซื่อ ๆ
“เขาชื่อเหว่ยเฉินหลง เจ้าชายแห่งตงเซียนกรุ๊ปยังไงล่ะ นายคงรู้จักเขาดีอยู่แล้วนี่” หวงฟู่เส้าเจี๋ยตอบ
เหว่ยเฉินหลงนั่นเองที่เป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องงี่เง่านี่ นี่เขาอยากแก้แค้นถึงขนาดขอให้เพื่อนทหารในเขตหนานจิงตามเขามาเลยรึ ? แบบนี้แสดงว่าเย่เชียนยังไม่ได้สั่งสอนบทเรียนดี ๆ สักบทให้กับเหว่ยเฉินหลงเลยสินะ
“ผมน่ะรู้จักเขาดี แล้วพี่ชายล่ะรู้จักเขาดีรึเปล่า ? พี่ชายยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือเขาแบบนี้ พี่ไม่กลัวว่ามันจะมีผลกระทบกับหน้าที่การงานของพี่รึไง ?” เย่เชียนถามหวงฟู่เส้าเจี๋ย
“ฉันรู้หน่าว่าพวกตงเซียนกรุ๊ปน่ะทำอะไรกันอยู่… อีกอย่างฉันมันเป็นคนไม่ลืมคุณคน ใครที่เคยช่วยฉันไว้ ถ้าฉันมีโอกาสตอบแทนได้ มันก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ มันจะได้หมดหนี้บุญคุณกันไปเสียที อ่อ… แล้วเรื่องที่มันกำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้น่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานเลย เพราะงั้นเรามาสู้กันแบบลูกผู้ชายดีกว่า!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
“แต่ผมไม่ได้อยากสู้กับพี่ชายนี่นา” เย่เชียนพูดอย่างเฉยเมย
หวงฟู่เส้าเจี๋ยค่อนข้างจะรู้สึกแปลกใจไปกับคำพูดนั้นของเย่เชียน เพราะเท่าที่เขาเคยได้ยินมานั้น ผู้คนในเมืองหนานจิงต่างก็ร่ำลือกันว่าเย่เชียนคนนี้เป็นคนฉุนเฉียวและมีอำนาจเหนือใคร แล้วทำไมตอนนี้เย่เชียนถึงยังนิ่งเฉยอยู่ได้ทั้งที่เขานั้นท้าสู้ต่อหน้าขนาดนี้
“ถ้านายไม่สู้… งั้นวันนี้พวกเราก็คงไม่ต้องไปไหนกันละ!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างดุดัน
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ แล้วพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “วันนี้ผมไม่ว่างจริง ๆ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ… แต่ถ้าพี่ชายอยากจะสู้กับผมจริง ๆ ล่ะก็ พี่ช่วยนัดเป็นวันอื่นละกัน”
พูดจบเย่เชียนก็ยิ้มให้อย่างจริงใจไปอีกทีหนึ่งก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปที่รถ การกระทำนั้นทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกหัวเสียขึ้นมาทันที นี่เขาท้าสู้ถึงขนาดนี้แต่เย่เชียนจะมาบอกให้เขานัดสู้กันวันอื่นเนี่ยนะ ? หวงฟู่เส้าเจี๋ยจึงกระโดดลงจากรถด้วยความกระวนกระวาย จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปกระชากไหล่ของเย่เชียนพร้อมกับตะโกนว่า “หยุด!”
แววตาของเย่เชียนเปลี่ยนจากนิ่งเฉยไปเป็นเยือกเย็นทันทีที่มือของหวงฟู่เส้าเจี๋ยสัมผัสกับหัวไหล่ของเขา คนที่รู้จักกับเย่เชียนทุกคนจะรู้กันดีว่า เย่เชียนนั้นเกลียดมากเวลาที่มีใครสักคนมากระชากไหล่ของเขาจากข้างหลังแบบนี้ ซึ่งแม้แต่เพื่อนสนิทเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน มีครั้งหนึ่งที่หลี่เหว่ยยี่แค่อยากแกล้งเย่เชียนเล่น ๆ โดยการไปแอบอยู่ที่หลังประตูห้อง และเมื่อเย่เชียนเดินเข้ามา เขาก็พุ่งออกมาจากหลังประตูไปตบเข้าที่ไหล่ของเย่เชียนเพื่อแกล้งให้เขาตกใจ มันได้ผล! เย่เชียนตกใจมากจนเผลอเตะสวนเข้าไปที่หลี่เหว่ยยี่อย่างรุนแรงจนเขานั้นบาดเจ็บสาหัส! ทำให้หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครในกลุ่มเขี้ยวหมาป่าคิดที่จะแกล้งเย่เชียนเล่นทำนองนี้อีก
“นี่ถ้าที่นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะล่ะก็ ป่านนี้ผมคงส่งคุณไปเที่ยวหายมทูตในนรกแล้ว!” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยผงะไปในทันที แต่อีกใจหนึ่งเขาก็รู้สึกได้ถึงชัยชนะ เพราะในที่สุดมันก็ดูเหมือนว่าเขานั้นได้ไปสะกิดต่อมโกรธของเย่เชียนเข้าจนได้ เขาจึงถือโอกาสนี้ยั่วโมโหเย่เชียนต่อเสียเลย
“แล้วถ้าฉันไม่ปล่อยล่ะ ?! นายจะทำไม ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามพร้อมกับกดน้ำหนักเพิ่มลงไปที่ไหล่ของเย่เชียน ทว่าช่างน่าเสียดายนัก เพราะถึงเขาจะทำแบบนั้นมันก็หาได้ทำให้เย่เชียนขยับเขยื่อนได้ เย่เชียนยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคงดั่งภูผา
เย่เชียนไม่ทนอีกต่อไป คลื่นความโกรธถาโถมในตัวเขาทำให้เขาหมุนตัวไปจับข้อมือของหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วบิดมันทันที ไม่เพียงแค่นั้นเย่เชียนยังง้างเท่าเตะไปด้วยอีกทีหนึ่ง
“หยุดนะ!” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
ทว่าเย่เชียนนั้นไม่สนใจฟังเสียงใครอีกต่อไปแล้ว ส่วนทางด้านของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้น เขาเองก็ไม่ได้คาดว่าเย่เชียนจะโจมตีตัวเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนั้น เขาจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการตั้งการ์ดเพื่อป้องกันตัวเอง
พลั่ก!!!
เย่เชียนเตะเข้าไปที่แขนของหวงฟู่เส้าเจี๋ยอย่างแรงจนหวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกว่าแขนของเขานั้นชาไปหมด เขาเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็เสียศูนย์ล้มลงไปกับพื้น
“เหอะ! ผมก็คิดว่าไอ้ยศบนบ่ามันจะมีอะไรมากกว่านี้ซะอีก” เย่เชียนพูดอย่างไม่แยแส
เย่เชียนสะบัดเท้าตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปเห็นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนผู้ซึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับจื่อจุนและเซียวหวัน เสียงตะโกนเมื่อครู่นี้คงมากจากเซียวหวันนั่นเอง! และแท้จริงแล้วหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เป็นหลานชายของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอีกด้วย ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็รู้ดีว่าหลานชายของตัวเองนั้นมีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือเป็นคนชอบวางท่าและหยิ่งผยอง เขาคิดว่าตัวเองนั้นมีความสามารถเหนือใคร ๆ ดังนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจึงอยากให้เย่เชียนสอนบทเรียนที่ดีให้แก่หวงฟู่เส้าเจี๋ยสักหน่อย เผื่อว่ามันจะทำให้เขารู้และเข้าใจเสียทีว่าเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า และเขาก็ไม่ควรที่จะมั่นใจอะไรเกินไปถ้าหากยังไม่เจอของจริงกับตาตัวเอง
“ไอ้เวรนี่เล่นทีเผลอเหรอวะ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยรีบลุกขึ้นมาจากพื้นและพับแขนเสื้อของเขาขึ้น จากนั้นก็กำลังจะพุ่งเข้าหาเย่เชียน
“หยุด!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนตะโกนอย่างดุดัน
“ใครวะ ?! บังอาจ… เอ่อ…!?!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องหุบปากของตัวเองไปอย่างกะทันหัน เมื่อเขาหันไปเห็นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเป็นคนตะโกนออกคำสั่ง
“คุณลุง!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยก้มหัวและทักทายอย่างเคารพ
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่ได้ว่างตลอดทั้งวันหรอกนะ… บอกฉันมาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมพวกเอ็งถึงมาทะเลาะกันโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ ?”
เย่เชียนจึงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ปู่! ไม่มีอะไรเลย มันก็แค่เรื่องของวัยรุ่นใจร้อนน่ะ พวกเราแค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยแค่นั้นแหละ”
อันที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าสองคนนี้จะเป็นญาติกัน เพราะตอนแรกเขาคิดว่าคงเป็นแค่คนใช้แซ่สกุลคล้ายกันเฉย ๆ แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดจริง ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด
หวงฟู่เส้าเจี๋ยมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเย่เชียนกับลุงของเขานั้นจะเคยเจอกันมาก่อน หรือถึงขั้นรู้จักและสนิทสนมกัน ? เพราะฟังจากคำพูดอย่างไม่เป็นทางการของเย่เชียนที่คุยกับลุงของเขาแล้วมันก็เดาได้ไม่ยาก
หวงฟู่เส้าเจี๋ยยังคงไม่ยอมลดละ เขาเริ่มเดินเข้าไปหาเย่เชียนอีกครั้ง แต่เมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเห็นเช่นนั้น เขาก็จ้องเขม็งไปที่หลานชายของตัวเองแล้วพูดว่า “เอ็งอย่าคิดนะว่าเขาจะเป็นพวกไก่อ่อนไร้ฝีมือน่ะ เขามันเป็นนักสู้ที่ต้องต่อสู้มาทั้งชีวิตของเขา เอ็งคิดว่าฝีมือระดับเอ็งจะสู้เขาไหวงั้นเรอะ ? เอ็งอยากจะตายสักที่ครั้งกันล่ะ ?”
“แต่ลุง…” หวงฟู่เส้าเจี๋ยต้องการที่จะเถียงหวงฟู่ชิงเตี๋ยน แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาอันแสนเย็นยะเยือกของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจับจ้องมาที่เขาแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนคำที่อยากจะพูดลงไป
แม้ว่าโดยปกติแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคนนี้จะดูเป็นคนใจดีและเป็นมิตร แต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับหลายชายจอมโอหังคนนี้ เขาก็มักจะมีใบหน้าที่เคร่งเครียดและไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ สำหรับหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้น เขาไม่กลัวพ่อหรือแม่ของเขาเลย แต่เขากลับกลัวลุงของเขาคนนี้อย่างมาก
“อย่ามั่นใจในตัวเองให้มันมากนัก! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเย่เชียนยั้งมือเอาไว้ล่ะก็ ป่านนี้เอ็งคงตายไปนานแล้ว! เอ็งไม่รู้ตัวบ้างเลยรึไง ?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนตะคอกอย่างเย็นชา
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ใจ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนขี้โกง เพราะเขานั้นเล่นทีเผลอ ไม่ได้สู้กันแบบลูกผู้ชายอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งมันทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยต้องอับขายขายขี้หน้า เขายังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าคนอย่างเย่เชียนนั้นจะเก่งและมีฝีมือเหนือไปกว่าเขา
ทันใดนั้นเซียวหวันก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายและเดินเข้าไปหาหวงฟู่เส้าเจี๋ย จากนั้นเธอก็ตบไหล่เขาเบา ๆ และกระซิบที่ข้างหูของหวงฟู่เส้าเจี๋ยว่า “ที่จริงแล้วลุงของคุณเขาก็แค่ขู่ให้คุณกลัวก็แค่นั้นแหละ… เชื่อฉันสิเด็กคนนั้นน่ะไม่มีอะไรหรอก ฉันเชื่อว่าแค่สามนาทีคุณก็จัดการกับเขาได้แล้ว”
“จริงเหรอ !?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยเหลือบมองไปที่เซียวหวันอย่างว่างเปล่า แม้ว่าเขาอยากจะเชื่อในสิ่งที่เซียวหวันพูด แต่การโจมตีของเย่เชียนเมื่อครู่นี้มันก็ทรงพลังมาก ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ ก็ทำได้
“ก็จริงน่ะสิ! ฉันจะโกหกคุณไปทำไมล่ะ” เซียวหวันพูดอย่างหนักแน่นและจริงจัง
ถึงแม้ว่าบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองจะไม่ดังมาก แต่มันก็สามารถดังไปถึงหูของเย่เชียนและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้อย่างชัดเจน ทำให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นถึงกับจ้องเขม็งที่ไปเซียวหวันด้วยสายตาเฉียบคม แต่ทว่าเซียวหวันกลับหันไปแลบลิ้นใส่เย่เชียน จากนั้นเธอก็หันหน้าหนีไปอย่างซุกซน ทำให้เย่เชียนนั้นสงสัยอย่างมากว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ? แต่เขาก็คิดอะไรไม่ออก เพราะเขาไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกับเธอ เขาจึงคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเธอคงจะเกลียดเขาเข้าไส้หรืออะไรทำนองนั้น