ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 224 จิตใต้สำนึกของจ้าวหยา
บางอย่างในคำพูดของเซียวหวันทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยลังเล ในหนึ่งเขาก็คิดว่าเย่เชียนนั้นคงจะมีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าอีกใจหนึ่งเขากลับยังคงคิดว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าใครเป็นไหน ๆ หลังจากเงียบไปสักพัก หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมองหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วพูดว่า “ลุง… พูดก็พูดเถอะนะ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะเก่งอะไรขนาดนั้น ผมอยากลองสู้กับเขาดูสักตั้ง จะได้รู้กันไปเลยว่าฝีมือของเขาน่ะมันขนาดไหนกันแน่ ผมยอมให้ตัวเองต้องมาเสียหน้าในเขตพื้นที่ทหารของผมไม่ได้หรอก!”
“นี่เอ็งยังกล้าพูดอยู่อีกเรอะ !?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนตะคอกพลางจ้องเขม็งไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ย
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นไม่มีลูก เขาจึงปฏิบัติกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยเหมือนกับเป็นลูกชายแท้ ๆ ของเขาเอง ถึงแม้ว่าเขามักจะคอยเข้มงวดกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะความเอ็นดูทั้งสิ้น
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ปู่อย่าไปโกรธเขาเลย… ที่จริงเขาก็โอเคอยู่นะ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ใช้อำนาจของเขาในทางที่ผิดในการมาจัดการกับผม ผมว่าเขาดูเป็นลูกผู้ชายดี”
“เขาคงจะกล้าหรอก!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดอย่างดุดัน “เพราะถ้าเขากล้าที่จะใช้ชื่อพ่อแม่ของเขาหรือของฉันในการข่มเหงผู้อื่นล่ะก็… ฉันก็ต้องจำใจตัดเขาออกจากวงศ์ตระกูล!” ถึงแม้ว่าคำพูดของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะดูรุนแรงมากก็ตาม แต่มันก็เผยให้เห็นถึงความรักที่มั่นคงและไม่ให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยหลงผิดไปกับสิ่งที่ชั่วร้าย
“ลุงครับ… ที่ชมรมของผมมีการแข่งขันที่ยุติธรรมสำหรับเขา ลุงไม่ต้องกังวลอะไรเลย เพราะผมจะออมมือให้เขา” หวงฟู่เส้าเจี๋ยยังคงพยายามพูดหว่านล้อมให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเห็นด้วยกับการต่อสู้อย่างลูกผู้ชายกับเย่เชียน
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นต้องการที่จะจบเรื่องงี่เง่าพวกนี้เสียที แต่ทว่าเย่เชียนกลับยิ้มอย่างจริงใจและมองมาที่เขา เมื่อเห็นเช่นนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจึงหยุดและไม่ได้พูดอะไรต่อ
เย่เชียนละสายตาจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วหันไปมองที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยแทน จากนั้นก็พูดว่า “แต่ตอนนี้ผมมีธุระที่ต้องไปทำจริง ๆ เพราะงั้นคุณช่วยนัดสะสางเรื่องนี้คืนนี้ได้ไหม ที่ไหนก็ได้บอกมาเลย”
“เอางั้นก็ได้… ถ้างั้นมาที่สโมสรชมรมชาร์ปไนฟ์คืนนี้!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
สโมสรชมรมชาร์ปไนท์นั้นถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการพักผ่อนของเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตทหาร ซึ่งคนนอกจะไม่สามารถเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้ได้
“ได้เลย!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป เขาเพียงแต่จ้องมองไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยด้วยสายตาดุดัน จากนั้นก็หันไปพูดกับเย่เชียน “ไอ้หนู! คืนนี้เอ็งไม่ต้องไว้หน้าฉันหรอกนะ เอ็งช่วยสอนบทเรียนดี ๆ ให้กับหลานชายฉันที ว่าเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้าน่ะมันหมายความว่ายังไง!”
เย่เชียนฉีกยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ได้เลยครับปู่… เดี๋ยวผมจะทำให้เขาลุกออกจากเตียงไม่ได้เลยซักเดือนนึงก็แล้วกัน ฮ่า ๆ ๆ ”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนถึงกับผงะไปด้วยคำพูดนั้นของเย่เชียน มันก็ถูกที่เขานั้นต้องการให้เย่เชียนช่วยสั่งสอนบทเรียนดี ๆ สักบทให้กับหลานชายของเขา แต่มันคงไม่ถึงกับต้องนอนติดเตียงไปสักเดือนหรอกมั้ง ? เพราะถึงยังไงหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ยังคงเป็นอนาคตของตระกูลหวงฟู่อยู่ดี แล้วถ้ามันเกิดอะไรร้ายแรงกับเขามึ้นมาจริง ๆ นั่นก็หมายความว่าตระกูลหวงฟู่ก็จะไม่มีผู้สืบทอด! อย่างไรก็ตามในเมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้พูดออกไปอย่างนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถคืนคำพูดได้เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้วที่ไม่สามารถตักกลับมาได้ หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจึงได้แต่หวังว่าเย่เชียนคงจะแค่พูดเล่นเท่านั้น
เมื่อมองดูเย่เชียนที่กำลังเดินกลับไปที่รถ หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ตะโกนไล่หลังไปว่า “จำไว้นะว่าคืนนี้สองทุ่มตรง… ถ้านายไม่มาตามนัด ฉันจะวุ่นวายและสร้างปัญหาให้นายไม่เว้นวันเลยคอยดู”
เย่เชียนส่ายหัวและอดขำไม่ได้กับท่าทางของหวงฟู่เส้าเจี๋ย จากนั้นเขาก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง ส่วนจ้าวหยาที่ยังคงนั่งอยู่ในรถนั้นเธอไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลยสักนิด เธอยังคงดูเศร้าซึมอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“เธอจะมัวมานั่งเศร้าแบบนี้ไม่ได้นะ” เย่เชียนพูดขณะที่มองไปทางจ้าวหยา “ฉันชอบเธอแบบเมื่อก่อนมากกว่า… เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีจริง ๆ ”
จ้าวหยาหันหน้าไปมองเย่เชียน ดวงตาทั้งสองข้างของเธอนั้นมีน้ำตาคลออยู่เต็มเบ้า ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มันไหลออกมา แต่เมื่อเธอเห็นหน้าเย่เชียน ความพยายามนั้นมันก็สิ้นสุดลง เธอไม่สามารถฝืนมันได้อีกต่อไปแล้ว เธอโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเย่เชียนพร้อมกันนั้นน้ำตาที่เธอกลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาอย่างกับเขื่อนแตกและตัวของเธอก็สั่นเทิ้มไปหมด ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนเข้มแข็งสักแค่ไหน ทว่าคำพูดของเย่เชียนเมื่อครู่มันก็ได้เข้าไปจี้จุดใจอ่อนของเธอเข้าให้โดยบังเอิญ
เย่เชียนรู้สึกตกใจกับปฏิกิริยาของจ้าวหยา เขาถึงกับทำตัวไม่ถูกไปเลยพักหนึ่ง แต่หลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้ว เขาก็ลูบไหล่ของเธอไปมาค่อย ๆ และพยายามโอบกอดเธอไว้เพื่อปลอบประโลม “ร้องออกมาให้พอ… ถ้ามันทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น ก็ร้องมันออกมาให้หมดเลย”
เซียวหวันซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลเห็นฉากนั้นทั้งหมด เธอรู้สึกตกตะลึงไปกับภาพที่เห็นและจู่ ๆ เธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เธอพึมพำบางอย่างออกมาคล้าย ๆ ว่า ‘ไอ้คนกะล่อน’ แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะเดียวกันนั้นจื่อจุนที่เห็นอาการของเซียวหมันก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ และหันไปมองทางเย่เชียนเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าเหมือนกับว่าเขานั้นเข้าใจอะไรบางอย่าง ส่วนหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็มีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า เขาไม่ต้องการสนใจกับเรื่องของรัก ๆ ใคร ๆ ของพวกหนุ่มสาวสักเท่าใดนัก เขาจึงหันไปมองหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่นั่งก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในรถของเขาก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถของตัวเอง จากนั้นไม่นานที่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็แยกย้ายกันออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้บ้า… นายมันคนขี้โกง!” จ้าวหยาทุบอกของเย่เชียนเบา ๆ ไปหลายทีพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นและน้ำตาที่ไหลอาบเต็มสองแก้ม
เย่เชียนไม่เข้าใจว่าเขานั้นไปทำอะไรให้จ้าวหยาไม่พอใจตั้งแต่ตอนไหน เขาจึงได้แต่แอบถอนหายใจออกมาอย่างลับ ๆ เพราะตอนนี้เขาเข้าใจว่าจ้าวหยานั้นกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่มั่นคงและเธอคงอยากที่จะระบายทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา
“นายเคยรู้บ้างมั้ยว่าฉันน่ะรู้สึกอึดอัดใจขนาดไหนเวลาที่ฉันต้องเห็นนายกับเจ๊หยูอยู่ด้วยกันแบบนั้น!” จ้าวหยาพูดพลางสะอึกสะอื้นมากกว่าเดิม “ฉันมันโง่… ฉันได้แต่แอบหวังอยู่คนเดียวอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่ามันคงจะดีนะถ้าฉันได้เป็นคนคนนั้นบ้าง แต่มันก็ไม่เคยเลย! ฉันรู้ดีว่าฉันมันไม่สวย นิสัยก็ไม่ดี แถมความสามารถก็ไม่มากเท่าเจ๊หยู… แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันดันไปรักนายเข้าให้แล้ว!”
เมื่อเย่เชียนได้ฟังความรู้สึกของจ้าวหยา เขาก็แน่นิ่งไป มันไม่ใช่ว่าเขาจะโง่และไม่รู้เลยว่าจ้าวหยานั้นคิดยังไงกับเขา แต่โดยปกติมันจะอยู่ในสถานการณ์ที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนขนาดนี้ ทว่าตอนนี้จ้าวหยากลับพูดความรู้สึกที่แท้จริงของเธอออกมาทั้งหมด และมันก็คงจะเป็นการโกหกถ้าเย่เชียนจะพูดว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกอะไรกับจ้าวหยาเลย อันที่จริงเย่เชียนนั้นก็รู้สึกชอบจ้าวหยาอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขานั้นมีหลินโรโร่วอยู่แล้ว ถ้าเขาไปรู้สึกรักหรือชอบใครอีกสักคนขึ้นมาแล้วเขาจะกล้าไปเผชิญหน้ากับหลินโรโร่วได้ยังไง ? ซึ่งกับหลินโรโร่วนั้นเย่เชียนคิดว่าบางทีมันอาจเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือความผูกพันบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกอยากที่จะปกป้องและดูแลเธอไปตลอดชีวิต แต่ที่แน่ ๆ เย่เชียนนั้นไม่ต้องการที่จะทำให้ใครต้องมาเสียใจเพราะเขาเลยสักคนเดียว
เย่เชียนได้แต่นิ่งเงียบและยังคงลูบไหล่ของเธอเบา ๆ ต่อไป
“เย่เชียน! นายเคยรักฉันบ้างมั้ย ? บอกฉันมาทีว่านายรู้สึกยังไงกับฉัน…” จ้าวหยาเงยหน้าขึ้นสบตากับเย่เชียนพร้อมกับรอคอยคำตอบจากเขาด้วยความคาดหวัง
เย่เชียนสบตากับเธอโดยบังเอิญ เขาอ้าปากเพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่ากลับไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาเลยสักคำเดียว แต่จ้าวหยาก็ยังคงรอคอยคำตอบจากเขาอยู่อย่างคาดหวัง เย่เชียนจึงหายใจเข้าลึก ๆ และในที่สุดเขาก็พูดว่า “จริง ๆ แล้วฉันเองก็รักเธอเหมือนกัน… แต่…”
เย่เชียนยังไม่ทันพูดจนจบประโยค แต่จ้าวหยากลับยื่นนิ้วชี้อันเรียวยาวของเธอมากดลงที่ริมฝีปากของเขาเบา ๆ เป็นการห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า “พอแล้วล่ะ… ให้ฉันรู้แค่นี้ก็พอ ส่วนที่เหลือนั่นน่ะช่างมันเถอะ”
ทว่ารอยยิ้มของจ้าวหยานั้นช่างดูขมขื่นเหลือเกิน…
ก่อนที่คำพูดของเย่เชียนจะสมบูรณ์และเสร็จสิ้นจู่ๆ จ้าวหยาก็ยื่นนิ้วชี้ออกมาและกดไปที่ริมฝีปากของเย่เชียนเพื่อไม่ให้เขาพูดต่อให้จบ และแล้วเธอก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อยและพูดเบาๆ ว่า “แค่นี้มันก็เพียงพอสำหรับคนอย่างฉันแล้วที่ได้รับจากนาย..ส่วนที่เหลือนั้นมันไม่จำเป็นแล้ว..ฉันขอเพียงแค่นี้ก็พอ” ในรอยยิ้มของเธอนั้นมีความขมขื่นและร่องรอยของการสูญเสียและโศกเศร้าผสมปนเปกันอยู่อย่างไม่สามารถอธิบายได้
ว่ากันว่าเมื่อผู้ชายสองคนหลงรักผู้หญิงคนเดียวกันแล้ว พวกเขาคนใดคนหนึ่งก็จะยอมแพ้ไปก่อนที่จะได้คำตอบอย่างแท้จริง แต่เมื่อผู้หญิงสองคนหลงรักผู้ชายคนเดียวกัน พวกเธอจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับความรักอย่างแท้จริงเพียงเท่านั้น
“ไปกันเถอะ… นายบอกว่าจะพาฉันไปที่ที่จะทำให้ฉันลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ใช่มั้ย ?” จ้าวหยาพูดพลางผละตัวเองออกจากอ้อมแขนของเย่เชียนแล้วไปนั่งตัวตรงอยู่ในที่ของเธอ จากนั้นก็เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า
เย่เชียนได้แต่พยักหน้าแล้วขับรถออกไปทันที หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงภูเขาสีม่วง
“ถ้าเธอขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขาของภูเขาลูกนี้แล้วมองออกไปยังก้อนเมฆและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มันจะทำให้เธอตระหนักได้ว่าความทุกข์ยากและอุปสรรคต่าง ๆ นั้นมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่คนเราทุกคนต้องเจอ แต่ไม่ช้าก็เร็วมันจะผ่านไป”
“สูงขนาดนั้นฉันขึ้นไปไม่ไหวหรอก” หลังจากลงจากรถแล้ว จ้าวหยาก็พูดออกมาขณะมองขึ้นไปบนยอดเขา
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขารู้ว่าตอนนี้เธอแค่ต้องการให้เขาเอาใจเธอก็เท่านั้น “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอเอง!” เย่เชียนพูดจบก็จับมือจ้าวหยาไว้แน่น
รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นที่มุมปากของจ้าวหยาทันที เธอเอนหัวของเธอพิงลงบนไหล่ของเย่เชียน
การคาดเดาของเย่เชียนนั้นถูกต้อง เพราะจ้าวหยาแค่อยากรู้สึกใกล้ชิดกับเย่เชียนและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เอาไว้ในหัวใจของเธอให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงแค่ความสุขเล็ก ๆ ของผู้หญิงคนนี้ที่หลงรักเย่เชียนเพียงข้างเดียว
ทั้งสองคนนั่งกันอยู่เงียบ ๆ บนยอดเขาภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลและเมฆหนาเหนือศีรษะ สายลมเย็น ๆ ค่อย ๆ พัดผ่านใบหน้าของพวกเขาทั้งสอง มันเป็นภาพแห่งความอบอุ่นและความรักที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
ไม่มีคำพูด บทสนทนา หรือถ้อยคำใด ๆ ระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้องการทำลายความรู้สึกอันแสนหอมหวานและบรรยากาศแห่งความสุขอันท่วมท้นเหล่านี้
ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ลับตาไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางหมู่ก้อนเมฆ…
“พระอาทิตย์ตกก็ดูสวยดีนะ… แต่น่าเสียดายที่มันกำลังจะหายไป” จ้าวหยาพึมพำ “พระอาทิตย์ตกไปแล้ว… ก็ใกล้จะหมดวันแล้วสินะ” ดูเหมือนว่าคำพูดของจ้าวหยานั้นจะมีความหมายแฝงอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมันช่างฟังดูแสนเศร้า อาจเป็นเพราะเธอนั้นไม่ต้องการให้วันเวลาดี ๆ ที่ได้อยู่กับเย่เชียนแบบนี้ผ่านพ้นไป
“ก็ถ้าดวงอาทิตย์ไม่ตก แล้วดวงอาทิตย์จะขึ้นได้ยังไงล่ะ ?” เย่เชียนพูดหยอกล้อ
จ้าวหยาหันหน้าไปสบตากับเย่เชียนแล้วรอยยิ้มที่จริงใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “เย่เชียน… ขอบคุณนะ” จ้าวหยาพูด “ฉันไม่ได้ขอให้นายรักฉันเหมือนที่ฉันรักนายอยู่อย่างนี้หรอก… ฉันแค่อยากขอที่ว่างในหัวใจของนาย ถึงแม้ว่ามันจะแค่นิดเดียวก็ตาม ฉันขอแค่ที่เล็ก ๆ ให้ฉันได้อยู่ในหัวใจของนาย แค่นั้นก็พอสำหรับคนอย่างฉันแล้ว”
“ยัยโง่!” เย่เชียนพึมพำกับตัวเอง
“ว่าไงนะ ? นี่นายกำลังชมว่าฉันน่ารักทางอ้อมอยู่ใช่มั้ย ?” จ้าวหยาแสร้งทำเป็นผ่อนคลายและพูดหยอกล้อ
เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เย่เชียน… ฉันจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อนายเหมือนกับเจ๊หยู” จ้าวหยาพูดขณะมองไปที่ก้อนเมฆอันไกลโพ้น “ทุกคนต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักและสิ่งที่เราปรารถนา”
เย่เชียนจ้องมองไปที่จ้าวหยาด้วยความประหลาดใจในคำพูดของเธอ มันทำให้เย่เชียนนั้นรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในหัวใจของเขา แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่
“ไปกันเถอะ… ลงไปข้างล่างกัน!” จ้าวหยาพูด
เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและยืนขึ้น จากนั้นเขาก็กำลังจะช่วยประคองจ้าวหยาขึ้นมา แต่อาจเป็นเพราะจ้าวหยานั้นนั่งนานเกินไป ขาของเธอจึงรู้สึกชาและเจ็บเล็กน้อย ทำให้เธอยืนด้วยตัวเองไม่ไหว เธอเจอจึงล้มตัวลงไปในอ้อมแขนของเย่เชียนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เย่เชียน… ฉันขออะไรนายหน่อยได้มั้ย ?” จ้าวหยาพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเย่เชียน
“อะไรเหรอ ?” เย่เชียนถามอย่างแผ่วเบา
“นายช่วยแบกฉันลงจากภูเขาหน่อยได้มั้ย ?” จ้าวหยาถามด้วยความคาดหวัง
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับความรู้สึกจ้าวหยาในตอนนี้ ซึ่งมันไม่เหมือนกับอาการผิดหวังหรืออกหักแต่อย่างใด แต่มันเหมือนกับว่าเธอจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว ซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่
“ได้สิ!” เย่เชียนตอบ จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงและเงยหน้าขึ้นมองจ้าวหยา เธอนั้นเป็นอีกคนหนึ่งแล้วสินะที่คนอย่างเย่เชียนถึงกับยอมคุกเข่าให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่การคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพหรือยอมจำนนก็ตาม แต่การกระทำเช่นนี้มันก็เป็นข้อบ่งบอกได้แล้วว่าจ้าวหยานั้นมีความสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน
จ้าวหยายิ้มอย่างมีความสุขและขึ้นไปขี่หลังของเย่เชียนอย่างเต็มใจ
ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ผู้ชายคนหนึ่งบนภูเขาสีม่วงกำลังแบกผู้หญิงของเขาเอาไว้บนหลังและกำลังเดินช้า ๆ ลงจากยอดเขาทีละก้าว ๆ มันเป็นภาพและฉากแห่งความสุขที่แสนหอมหวานอย่างสมบูรณ์แบบ
จ้าวหยาขอแค่ได้อยู่กับเย่เชียนอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะแค่ไม่นานก็ตาม แต่ต่อจากนี้ไปจ้าวหยาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างและแลกด้วยทุกสิ่งเพื่อเย่เชียนคนนี้เพียงคนเดียว