ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 226 ลูกศิษย์
หลังจากที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยตั้งหลักได้แล้ว เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปโจมตีเย่เชียนต่อทันทีโดยใช้ลูกเตะของเขามุ่งเป้าไปที่ส่วนหัวของเย่เชียนก่อน แต่เมื่อเย่เชียนเห็นเช่นนั้น เย่เชียนก็ยกแขนขึ้นมาป้องกันเอาไว้ได้ทัน ทว่าลูกเตะอันทรงพลังของหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ส่งผลให้เย่เชียนนั้นรู้สึกชาที่แขนไปเล็กน้อย
หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจเมื่อเห็นว่าเย่เชียนไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับมาได้นอกไปเสียจากการป้องกันตัวเองจากลูกเตะของเขา เขาจึงคิดว่าหากตัวเองเตะไปอย่างต่อเนื่องล่ะก็ เย่เชียนคงจะต้องยอมพ่ายแพ้ไปในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็หมุนตัวเตะเย่เชียนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สีหน้าของเขานั้นมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ทว่าทางฝ่ายเย่เชียนก็ยังคงไม่ตอบโต้ เขาเพียงแค่พยายามหลบหลีกการโจมตีของหวงฟู่เส้าเจี๋ยไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนกับว่าเย่เชียนนั้นกำลังถูกหวงฟู่เส้าเจี๋ยไล่ต้อนให้จนมุมอยู่ มันทำให้ผู้ชมที่มุงดูกันอยู่ด้านล่างเวทีเริ่มส่งเสียตะโกนโห่ร้อง เพราะพวกเขาต้องการเห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านี้ ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนอีกฝ่ายนั้นเอาแต่หนี
หลังจากที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยบุกโจมตีเย่เชียนอยู่พักเดียว เขาก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกเย่เชียนล่อหลอกให้ไล่ตามราวกับสุนัขที่วิ่งตามเจ้าของ เขาเริ่มอ่อนกำลังลงไปเรื่อย ๆ แต่ยังคงฝืนโจมตีเย่เชียนต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างเย่เชียนนั้นสามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
“ผมรู้… ว่านักสู้ที่ดีนั้นมันต้องมีทั้งความหนักแน่นและหัวใจที่แข็งแกร่งสู้ไม่ถอย แต่รู้มั้ยว่าบางทีมันก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย คุณไม่รู้รึไงว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่น่ะมันเปล่าประโยชน์! มันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องโต้กลับบ้างแล้วล่ะนะ” เย่เชียนพูดอย่างสบาย ๆ ทั้งที่ต้องคอยหลบลูกเตะของหวงฟู่เส้าเจี๋ยไปด้วย
แต่ทันทีที่เย่เชียนพูดจบประโยค เท้าขวาของเขาก็กระทืบลงไปที่พื้นของเวทีอย่างรุนแรง ส่งผลให้พื้นมีรอยแตกไปจนทั่ว! เย่เชียนไม่รอช้า เขารีบดีดตัวพุ่งเข้าไปหาหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วใช้มือซ้ายคว้าแขนของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเอาไว้ ขณะเดียวกันนั้นเองเย่เชียนก็โจมตีหวงฟู่เส้าเจี๋ยด้วยหมัดขวาของเขาโดยเป้าหมายคือส่วนกลางของลำตัว
สัญชาตญาณของหวงฟู่เส้าเจี๋ยบอกเขาว่าการที่เย่เชียนพูดเช่นนั้นจะต้องมีการโจมตีจากเย่เชียนอย่างกะทันหันแน่ ๆ แต่กว่าที่เขาจะทำอะไรได้ทัน เย่เชียนก็พุ่งตัวเข้ามาหาเขาเรียบร้อยแล้ว หวงฟู่เส้าเจี๋ยจึงทำได้เพียงแต่รับหมัดนั้นด้วยมือขวาที่ยังคงเป็นอิสระอยู่ ทว่าด้วยพละกำลังอันแสนมหาศาลของเย่เชียนทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ไหว จึงทำให้ทั้งหมัดของเย่เชียนและมือของเขาปะทะเข้าไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างรุนแรงอยู่ดี ถึงแม้ว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะสามารถผ่อนแรงจากการปะทะเอาไว้ได้ แต่มันก็ยังทำให้ความเจ็บปวดที่ได้รับจากหน้าอกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและเขาก็รู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ร่างกำยำของเขากระเด็นออกไปไกลราวกับว่าแรงโน้มถ่วงบนโลกนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
บรรดาเหล่าผู้ชมต่างก็ต้องตกตะลึงไปกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า เพราะคนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคลากรในกองทัพจีน ทำให้พวกเขานั้นต่างก็เคยเห็นการต่อสู้แขนงต่าง ๆ มาแล้วนับไม่ถ้วน ทว่าพวกเขานั้นไม่เคยเห็นการโจมตีที่รุนแรงและสมบูรณ์แบบเท่าการโจมตีของเย่เชียนเมื่อครู่นี้มาก่อนเลย นั่นจึงทำให้เหล่าคนดูพากันส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือกันอยู่เป็นเวลานาน แม้ว่าเย่เชียนจะเป็นศัตรู แต่สำหรับการต่อสู้แล้ว หากใครแข็งแกร่งกว่าคนผู้นั้นก็ย่อมได้รับการสรรเสริญและเคารพ
แม้ว่าหมัดเมื่อครู่นั้นจะไม่ใช่ทักษะการต่อสู้แบบอันจินอันทรงพลัง อีกทั้งเย่เชียนเองก็ใด้ใช้พลังของเขาเพียงแค่ 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เขาก็แอบเป็นกังวลว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะรับความเจ็บปวดไม่ไหว เพราะเย่เชียนไม่ได้ต้องการเอาให้ถึงตายหรือแม้กระทั่งบาดเจ็บสาหัส เขาต้องการเพียงแค่สั่งสอนบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับหวงฟู่เส้าเจี๋ยเท่านั้น ซึ่งถ้าเขาออกแรงมากกว่านี้อีกแค่นิดเดียวหรือใช้ทักษะการต่อสู้แบบอันจินแล้วล่ะก็ ป่านนี้ทั้งหัวใจ ทั้งเครื่องใน หรือแม้กระทั่งซี่โครงช่วงอกของหวงฟู่เส้าเจี๋ยคงจะแหลกสลายถึงขั้นอาจเสียชีวิตเลยก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าผู้คนจะยังคงปรบมือแสดงความสรรเสริญให้แก่เย่เชียน แต่ทว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจอะไรกับมันมากนัก เขาอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูอาการของหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่ยังคงล้มพับอยู่ที่พื้น
“ไหวรึเปล่า ?” เย่เชียนถามอย่างเป็นกังวลพลางช่วยพยุงหวงฟู่เส้าเจี๋ยให้ลุกขึ้นมานั่ง
ดูจากภายนอกแล้วหวงฟู่เส้าเจี๋ยอาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่เย่เชียนรู้ดีว่าภายในนั้นคงจะเสียหายมากเลยทีเดียว
หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถพูดออกเสียงได้ เขาจึงได้แต่พยักหน้าตอบเย่เชียนเท่านั้น แววตาของหวงฟู่เส้าเจี๋ยในตอนนี้มีทั้งความสรรเสริญยินดีและความผิดหวังปนกันอยู่ มันเป็นเรื่องยากที่คนที่มั่นใจในฝีมือของตัวเองสูงอย่างหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะยอมรับกับความพ่ายแพ้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าฝีมือของเย่เชียนนั้นอยู่เหนือกว่าเขาไปอีกหลายขุม
“ถึงเวลาที่จะทำตามคำขอของผมแล้วหรือยัง ?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หวงฟู่เส้าเจี๋ยพยายามสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด เขานั้นเป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะยอมรับความจริงและทำตามคำพูดของตัวเองอย่างไม่มีข้อกังขา ในเมื่อวันนี้เขาเป็นฝ่ายแพ้ เขาก็ต้องยอมรับกับผลนั้น ๆ หวงฟู่เส้าเจี๋ยจึงปล่อยแขนของเย่เชียนแล้วค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อที่จะเปลี่ยนเป็นท่าคุกเข่า แต่ทันใดนั้นเองที่เย่เชียนรีบหยุดการกระทำของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเอาไว้ก่อน
“ผมพูดเล่นเฉย ๆ หน่า ผมไม่ได้คิดที่จะมีลูกศิษย์จริง ๆ หรอก” เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยขณะที่พูด
ที่จริงแล้วเย่เชียนเพียงแค่ต้องการสอนให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอย่างที่ปู่บอก ถึงแม้ว่าการมั่นใจในตัวเองสูงนั้นจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่หากมีความมั่นใจมากจนเกินไป มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน เพราะบางครั้งคนคนนั้นอาจโอหังจนลืมตัวไปทำร้ายข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่าได้ในอนาคต
“เอาล่ะ… วันนี้ผมหมดธุระกับคุณแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะไปผมขอแนะนำให้คุณเลิกยุ่งกับเหว่ยเฉินหลงนั่นจะดีกว่า เพราะมันจะไม่มีผลดีทั้งกับคุณและครอบครัวของคุณ เชื่อผมเถอะ” เย่เชียนพูดด้วยความหวังดี “ฉันไปละ… หวังว่าเจอกันคราวหน้าเราจะไม่มีปัญหากันเหมือนกับคราวนี้นะ”
พูดจบเย่เชียนก็กระโดดลงจากเวทีแล้วเดินตรงไปยังประตูทางออก ซึ่งเหล่าผู้ชมต่างก็ยอมหลีกทางให้เขาเป็นอย่างดี
“อ่อ… รู้มั้ยว่าผมเสียเวลากับคุณไปมากเลยนะวันนี้น่ะ เพราะงั้นอย่าลืมมาเลี้ยงข้าวผมเป็นค่าเสียเวลาด้วยละกัน” เย่เชียนหันมาพูดส่งท้าย
หวงฟู่เส้าเจี๋ยมองดูเย่เชียนที่กำลังจะเดินจากไปด้วยแววตาเหม่อลอย แต่จู่ ๆ เขาก็สูดหายใจเข้าอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าเขานั้นตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ จากนั้นเขาก็พรวดพราดลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งตามเย่เชียนไปอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์!!!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยวิ่งไปคุกเข่าลงใกล้ ๆ เย่เชียน
“นี่คุณทำอะไรของคุณน่ะ ? ผมไม่ได้อยากมีใครมาเป็นลูกศิษย์ของผมนะ ลุกขึ้นเถอะ!” เย่เชียนพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างโง่เขลา
“ไม่! ถ้าอาจารย์ไม่ยอมรับผมเป็นศิษย์ ผมก็จะไม่ลุกขึ้น!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างหนักแน่นและแน่วแน่
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มอันโง่เขลาเป็นรอยยิ้มที่แสนเยือกเย็น
“นี่คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่น่ะ ? คุณกำลังล้อผมเล่นใช่มั้ย ?” เย่เชียนถามเสียงเย็น
หวงฟู่เส้าเจี๋ยถึงกับผงะกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเย่เชียน แต่เขาก็ยังคงดึงดันที่จะขอร้องเย่เชียนต่อไป “เปล่าเลย… เปล่าเลยครับอาจารย์! ผมรู้ตัวดีว่าผมน่ะมันเป็นคนอวดเก่งและหยิ่งยโสมากขนาดไหน แต่พอผมได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของอาจารย์แล้ว มันก็เปลี่ยนความคิดโง่ ๆ ของผมไปเลยทันที ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเหนือฟ้ามันยังมีฟ้าน่ะเป็นยังไง! ผมนับถือและเลื่อมใสในฝีมือของอาจารย์จริง ๆ นะ เพราะงั้นได้โปรด… ยอมรับผมเป็นลูกศิษย์สักคนเถอะ!”
แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะทำให้เย่เชียนรู้สึกกระจ่างแจ้งและเข้าใจความคิดของหวงฟู่เส้าเจี๋ยมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงส่ายหัวและปฏิเสธคำขอของหวงฟู่เส้าเจี๋ยอยู่ดี “ผมคงรับคุณมาเป็นลูกศิษย์ไม่ได้หรอก ผมน่ะไม่ได้มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปเป็นอาจารย์ของใคร อีกอย่างที่ผมมาประลองฝีมือกับคุณในวันนี้ นั่นก็เพราะคุณปู่ต้องการให้ผมช่วยสั่งสอนหลานชายของเขาว่าคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าคืออะไร เขาไม่ต้องการให้หลายชายของเขาต้องกลายเป็นคนเย่อหยิ่งและทะนงตัวมากจนเกินไป เพราะมันอาจส่งผลร้ายให้คุณในอนาคตได้มากกว่าที่คุณคิด ผมเชื่อนะว่าวันนึงคุณจะยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
เมื่อเย่เชียนพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่นั้นครุ่นคิดและประหลาดใจไปกับการกระทำของชายคนที่ชื่อเย่เชียนคนนี้
ทันทีที่เย่เชียนเดินลับประตูไป เหล่าบรรดาผู้ชมที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ตีวงล้อมเข้ามาหาหวงฟู่เส้าเจี๋ยเพื่อถามเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียน ทว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยเองก็ไม่ได้รู้จักเย่เชียนดีมากไปกว่าคนพวกนี้เช่นกัน
“เขาชื่อเย่เชียน ที่เป็นคนดังของเมืองหนานจิงคนใหม่ไง เขารู้จักกับลุงของฉันด้วยนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าระหว่างสองคนนั้นมันเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ แต่ดูแล้วไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ฉันเองก็รู้แค่นี้แหละ”
“โธ่! หัวหน้ากอง ถ้าคุณไม่รู้ทำไมคุณไม่ลองไปถามลุงของคุณดูเล่า ? คิดดูสิถ้าเราได้เขามาช่วยฝึกวิชาให้ล่ะก็ หน่วยของเรามันจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหน!” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไอ้บ้านี่! งั้นทำไมนายไม่ลองไปถามเองล่ะ ? ฉันไม่กล้าถามหรอก” หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกหวั่นเกรงอย่างมากเมื่อนึกถึงท่าทางที่จริงจังและเคร่งเครียดของหวงฟู่ชิงเตี๋ยน
“เอ้า! หัวหน้ากองทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ? ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าลุงของคุณกับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันน่ะ คุณก็ไปขอให้ลุงของคุณช่วยพูดกับเขาให้สิ บางที… เขาอาจจะยอมมาสอนพวกเราก็ได้นะ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ล่ะก็ ชมรมชาร์ปไนฟ์ของพวกเราจะต้องโด่งดังและยิ่งใหญ่อย่างมากแน่นอน” ชายคนนั้นพูดต่อ
“เออ… ที่นายพูดมาก็มีเหตุผลนี่หว่า ไม่รู้ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงกันนะ! เอาล่ะ… ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจะเข้าไปคุยกับลุงของฉันให้ลองพูดกับเขาดู มันคงพอจะมีโอกาสอยู่บ้างแหละหน่า แค่ขอให้มาช่วยฝึกวิชาให้พวกเราเองนี่ ไม่ได้ขอให้ไปทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรสักหน่อย”
หลังจากพูดจบหวงฟู่เส้าเจี๋ยพรวดพราดลุกขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้นมากเกินไปของเขา จึงทำให้เขาเกือบที่จะล้มลงกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากที่เขาตั้งหลักได้แล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปอย่างโซซัดโซเซ
……
ภายในห้องประชุมส่วนตัว ณ สโมสรหมิงยู่
จ้าวหยาและซูเจี้ยนจุนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีชุดน้ำชาตั้งอยู่ที่กลางโต๊ะชุดหนึ่ง แต่มันก็ระเหิดและหมดความร้อนไปเสียแล้ว
ซูเจี้ยนจุนนั่งเอาขาไขว้กัน โดยมีรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เผยอบู่บนใบหน้าของเขา มือข้างหนึ่งถือซิการ์ที่เขานั้นสูบมันไปแล้วครึ่งหนึ่ง กลิ่นของซิการ์ตลบอบอวลไปทั่วห้อง ทว่ามันกลับทำให้จ้าวหยาผู้ซึ่งไม่ได้ชอบกลิ่นของมันต้องไอออกมาสองสามครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“หนูจ้าว… เอ้ย! ไม่สิ ฉันควรเรียกหนูว่าหนูเฉินสินะ” ซูเจี้ยนจุนพูด “หนูขอให้ฉันออกมาพบหนูในวันนี้ แล้วทำไมหนูถึงไม่พูดอะไรเลยสักคำล่ะ ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จ้าวหยาก็พูดว่า “ประธานซู… คุณเรียกฉันว่าจ้าวหยาก็พอ ฉันหวังว่าคุณจะช่วยฉันได้”
“แล้วหนูจ้าวจะให้ฉันช่วยอะไรหรือ… บอกมาได้เลย” ซูเจี้ยนจุนพูด
“ฉันหวังว่าคุณจะช่วยคืนทรัพย์สินของพ่อฉันให้” จ้าวหยาพูด
ซูเจี้ยนจุนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ในไม่ช้ามันก็กลับมาเป็นปกติ เขาจ้องมองไปที่จ้าวหยาราวกับว่าต้องการที่จะมองเข้าไปในความคิดของเธอ “หนูขอให้ฉันช่วยนำทรัพย์สินและกิจการของเฉินฟู่เฉิงมาคืนให้หนูน่ะเหรอ หนูจ้าวกำลังแค่ล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ย ?”
“แล้วคุณคิดว่าฉันล้อเล่นหรือเปล่าล่ะ ?” จ้าวหยาพูดต่อ “ก่อนที่พ่อของฉันจะเสียชีวิตไป เขาแค่ต้องการให้เย่เชียนเข้ามาช่วยจัดการและดูแลทรัพย์สินและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้เย่เชียนกลับต้องการที่จะครอบครองมัน และฉันก็ไม่สามารถปล่อยให้พ่อของฉันผิดหวังได้ รากฐานที่มาจากความยากลำบากของพ่อที่สร้างเอาไว้ มันกลับต้องมาตกอยู่ในกำมือของคนแบบนี้ ฉันหวังว่าคุณคงจะช่วยฉันได้นะ”