ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 227 การสมคบคิดอันแสนแยบยล
ซูเจี้ยนจุนได้ฟังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสูบซิการ์ไปอีกสองสามที หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เขาก็พูดขึ้นว่า “หนูจ้าว… เท่าที่ฉันรู้มาพ่อบุญธรรมของหนูน่ะเป็นถึงประธานของหงเหมินกรุ๊ปเลยไม่ใช่หรือ ? หนูไปขอความช่วยเหลือจากเขา มันจะง่ายกว่ามั้ย ? ทำไมหนูจ้าวถึงต้องมาขอให้ฉันช่วยล่ะ ?”
จ้าวหยายิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ประธานซู… คุณจำพวกที่มาช่วยฉันเมื่อไม่นานนี้ได้มั้ย ? พวกเขาทั้งหมดมาจากสำนักงานกระทรวงความมั่นคงแห่งชาตินะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเย่เชียนจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างแน่นอน แล้วถ้าฉันไปขอให้พ่อช่วยล่ะก็ หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติก็ต้องจะเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ฉันกลัวว่ามันจะไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียไปน่ะสิ แต่สำหรับคุณน่ะมันแตกต่างออกไป เพราะธุรกิจของคุณถูกกฎหมาย อีกอย่างทางการก็มีการสนับสนุนการแข่งขันกันทางธุรกิจมากมายอยู่แล้วด้วย ฉันบอกได้เลยว่าอุตสาหกรรมทั้งหมดของพ่อฉันน่ะมันไม่เหมาะกับคนอย่างเย่เชียนหรอก ฉันว่าถ้าประธานซูกับประธานจู้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับเย่เชียนในทางธุรกิจล่ะก็ เย่เชียนคงไม่มีอำนาจและความสามารถมากพอที่จะต่อสู้และรับมือกับพวกคุณได้หรอก ประธานซูคงไม่ได้อยากเห็นเย่เชียนครองเมืองหนานจิงจริง ๆ หรอกใช่มั้ย ?”
ซูเจี้ยนจุนยังคงสูบซิการ์แต่ก็ตั้งใจฟังสิ่งที่จ้าวหยาพูดไปพร้อมกันด้วย เขาสังเกตทั้งคำพูดและท่าทีของจ้าวหยาหมายจะจับผิดอะไรบางอย่างจากการแสดงออกของเธอ แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจรู้ได้เลย เพราะจ้าวหยานั้นดูโกรธเกรี้ยวอยู่เล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีรอยยิ้มที่ดูจริงใจ ซึ่งมันยากมากที่เขาจะบอกได้ว่าคำพูดของจ้าวหยานั้นเป็นความจริงหรือเท็จกันแน่
“หนูจ้าวจะเยินยอลุงมากเกินไปแล้ว… ลุงซูคนนี้เป็นแค่นักธุรกิจรายเล็ก ๆ มาโดยตลอดและโดยพื้นฐานแล้วอุตสาหกรรมย่อยเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะสามารถแข่งขันและต่อสู้กับเย่เชียนได้หรอก” ซูเจี้ยนจุนพูด
“ประธานซูจะถ่อมตัวไปทำไม ? คุณเป็นถึงสามยักษ์ใหญ่ของเมืองหนานจิง ทั้งพ่อของฉัน ประธานจู้แล้วก็คุณ พวกคุณต่างก็แข็งแกร่งด้วยกันทั้งหมด” จ้าวหยาพูด
คำพูดของจ้าวหยาทำให้ซูเจี้ยนจุนรู้สึกยินดีอย่างมาก ถึงแม้ว่าดูภายนอกซูเจี้ยนจุนจะมีท่าทีเฉย ๆ และถ่อมตัว แต่ลึก ๆ ในใจของเขาแล้ว เขาก็ยังคงไม่ยอมรับอยู่ดีว่าเขานั้นได้พ่ายแพ้ให้กับเฉินฟู่เฉิงไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นการที่มีใครสักคนมาพูดจาสรรเสริญเขาให้เทียบเท่ากับเฉินฟู่เฉิงแบบนี้ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คำพูดนั้นมันจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วหนูจ้าวมีแผนอะไรหรือยัง ?” ซูเจี้ยนจุนถาม
“เย่เชียนน่ะมีตาเฒ่าจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติหนุนหลังอยู่ เราคงไม่สามารถใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายหรือวิถีใต้ดินอะไรมากได้ ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าเย่เชียนน่ะเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน เพราะงั้นความสัมพันธ์ของเขากับคนในองค์กรคงยังมีไม่มากนัก ฉันเลยคิดว่าถ้าเราใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเอาชนะใจคนในองค์กรได้ก่อนเขาล่ะก็ มันก็น่าจะทำให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิ่งถ้าพวกเขาได้รู้ว่าฉันคนนี้นั้นเป็นถึงลูกสาวแท้ ๆ ของเฉินฟู่เฉิงด้วยแล้ว ยังไง ๆ คนพวกนั้นก็ต้องเข้าข้างฉันมากกว่าเย่เชียนอยู่แล้วคุณว่างั้นมั้ย ? พอถึงเวลานั้นเราจะสามารถโค่นเย่เชียนลงได้ รวมไปถึงพวกกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอะไรนั่นด้วย ส่วนตาเฒ่านั่นก็คงทำอะไรมากไม่ได้แล้วตอนนั้นน่ะ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นการต่อสู้กันทางธุรกิจตามกฎหมาย” จ้าวหยาพูด
ซูเจี้ยนจุนได้ฟังก็อดรู้สึกเห็นด้วยกับสิ่งที่จ้าวหยาพูดมาทั้งหมดไม่ได้ มันจริงอย่างที่เธอว่า ถ้าหากเขาร่วมมือกันกับจู้ซานและจ้าวหยาผู้ซึ่งเป็นถึงลูกสาวแท้ ๆ ของเฉินฟู่เฉิง เขานั้นก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้โดยง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีโอกาสครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของซูเจี้ยนจุนแล้วก็ได้ที่จะเอาชนะคนอย่างเย่เชียน แม้ว่าเขาอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากเฝิงเฝิงให้เข้ามาช่วยด้วยอีกแรงถ้าเกิดว่าอะไร ๆ ไม่เป็นไปตามที่คิดก็เถอะ
“ที่หนูพูดมามันก็ฟังดูมีเหตุผลนะ… แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องของธุรกิจ แล้วฉันจะได้อะไรงั้นหรือ ?” ซูเจี้ยนจุนถาม
“ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้วฉันได้ทรัพย์สินและธุรกิจของพ่อกลับคืนมาทั้งหมด ฉันจะยกหุ้นหนึ่งในสี่ให้เป็นของคุณทันทีประธานซู” จ้าวหยาพูดอย่างหนักแน่น
หุ้นจำนวนหนึ่งในสี่นั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย! อีกอย่างสำหรับซูเจี้ยนจุนแล้ว จ้าวหยาเองก็เป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น เธอจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เขาได้รับส่วนแบ่งในไตรมาสนี้ เขาก็จะชะลอตัวลงและค่อย ๆ กลืนกินหุ้นของจ้าวหยาไปทีละน้อย ๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะต้องตกมาเป็นของเขาทั้งหมด
ซูเจี้ยนจุนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีชัย แต่ในไม่ช้าเขาก็รีบปกปิดรอยยิ้มนั้นเอาไว้อีกครั้งตามฉายาเสือยิ้มซ่อนเขี้ยว เพราะใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอของซูเจี้ยนจุนนั้นได้ซ่อนมีดที่คมกริบเอาไว้ในใจอย่างสมบูรณ์แบบ
“เรื่องนี้มันต้องพิจารณากันในระยะยาว… อีกอย่างฉันคิดว่าคนอย่างเย่เชียนคงไม่ง่ายที่จะจัดการหรอกนะ” ซูเจี้ยนจุนพูด
จ้าวหยาเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเช่นกัน เพราะเธอรู้ว่าซูเจี้ยนจุนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อตระหนักถึงเรื่องเย่เชียน แต่มันก็เป็นข้อเสนอที่ยากมากที่จะปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวหยาชอบความมั่นใจในตัวเองของซูเจี้ยนจุนมากกว่าคนอื่นที่มั่นใจในตัวเกินไป เพราะบางครั้งคนเหล่านั้นอาจจะถูกหลอกได้ง่ายกว่า
“ประธานซู… คุณไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยเหรอ ? ฉันว่าคุณประเมินตัวเย่เชียนสูงเกินไปแล้ว เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ แบบนั้นประธานซูกลัวหรือ ?” จ้าวหยาพูด
“ฉันไม่เคยประมาทศัตรูน่ะ ฮ่า ๆ ๆ ” ซูเจี้ยนจุนพูดและหัวเราะ
จ้าวหยายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเป็นเจ้าภาพของสหพันธ์นี้เอง… และฉันขอให้พวกคุณยินดีกับชัยชนะของพวกเราด้วย!” จ้าวหยายืนขึ้นและยื่นมือออกไป
ซูเจี้ยนจุนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็หัวเราะและยืนขึ้นเพื่อจับมือกับจ้าวหยา “ขอความร่วมมือด้วย… ยินดีกับชัยชนะ!”
ในห้องประชุมส่วนตัว ทั้งสองคนได้บรรลุข้อตกลงและให้ความร่วมมือกันร่วมต่อต้านเย่เชียนด้วยการสมรู้ร่วมคิดอย่างร้ายกาจ แต่ก็มิอาจรู้ได้ว่าท้ายที่สุดใครจะเป็นหนูและใครจะเป็นแมว
……
หลังจากออกจากสโมสรของชมรมชาร์ฟไนฟ์แล้ว เย่เชียนก็ได้รับสายโทรศัพท์ของหวังยู่ ซึ่งหลังจากทราบที่อยู่แล้วเย่เชียนก็ขับรถตรงไปหาเธอ
ที่ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวยนั้น หวังยู่ยืนพิงรถของเธออยู่ภายใต้เงาสะท้อนของแสงจันทร์ที่ทำให้มีความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความภวังค์แห่งฝัน หวังยู่สวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ที่พลิ้วไหวไปกับสายลมยามค่ำคืนราวกับนางฟ้าที่ลงมาจากบัลลังก์แห่งดวงจันทร์
เมื่อได้ยินเสียงของรถขับเข้ามาจอดแล้ว หวังยู่ก็หันหน้าไปมองเย่เชียนที่กำลังลงมาจากรถและยิ้มให้เธอเล็กน้อย
เย่เชียนเดินไปยืนข้าง ๆ หวังยู่และยังคงยิ้มให้เธอ จากนั้นเขาก็เอนตัวพิงรถของเธอเช่นกัน สายตาของเขาจ้องมองไปยังแม่น้ำฉินหวย
“นายมาที่เมืองหนานจิงตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ?” หวังยู่ถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบงัน
“สองสามวันที่แล้วน่ะ… คุณล่ะมาทำอะไรที่เมืองหนานจิง ?” เย่เชียนถามกลับ
“ฉันลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์น่ะ เลยมาเที่ยวที่นี่” หวังยู่พูด “นายจะปักหลักอยู่ที่เมืองหนานจิงและไม่กลับไปที่เซี่ยงไฮ้แล้วเหรอ ? ดูเหมือนว่านายจะมีชื่อเสียงมากเลยนะในเมืองหนานจิงเนี่ย”
“ผมแค่โชคดีน่ะ… เพราะหลังจากที่ผมมาถึงที่เมืองหนานจิงนี่ ผมก็บังเอิญได้รับสืบทอดอุตสาหกรรมของผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองนี้แบบงง ๆ ผมแค่ได้รับส่วนบุญของเขามาก็แค่นั้นเอง”
“แล้วนายจะกลับไปที่เซี่ยงไฮ้อีกมั้ย ?” แววตาของหวังยู่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ก็ต้องกลับไปสิ ในเมื่อเมืองเซี่ยงไฮ้มันเป็นศูนย์กลางทางการเงินของจีนนี่นา แถมยังเป็นที่อยู่ของเหล่ามังกรซ่อนเล็บและเสือซ่อนเขี้ยวอีกด้วย ส่วนเมืองหนานจิงแห่งนี้ก็คงเป็นแค่บททดสอบสำหรับผมแค่นั้นล่ะมั้ง เพราะถ้าผมไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหนานจิงได้ล่ะก็ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าผมจะกลับไปที่เซี่ยงไฮ้น่ะ” เย่เชียนตอบเรียบ ๆ
หวังยู่หันหน้าไปแอบมองเย่เชียนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“เรื่องเมื่อตอนเที่ยงคุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ?” เย่เชียนถามด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ดีว่าคนอย่างหวังยู่นั้นคงจะไม่มีทางประสบกับปัญหาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ก็ตาม แต่ถึงยังไงใจของเขาก็ยังอยากถามเธอเพื่อความแน่ใจอยู่ดี
“ฉันไม่เป็นไร” หวังยู่ส่ายหัว
เย่เชียนยิ้มแล้วพูดว่า “ผมรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไปเยอะมากเลยนะ ผมจำได้ว่าทุกครั้งที่ผมเจอกับตุณ แต่ละครั้งผมจะต้องโดนคุณดุด่าสาปแช่งอยู่ทุกที ยิ่งครั้งสุดท้ายนี่ผมถึงกับถูกคุณจับตัวไปส่งสถานีตำรวจแน่ะ”
หวังยู่เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดขึ้นว่า “ฉันก็เหมือนเดิมนั่นแหละหน่า… ทั้งหมดมันเป็นเพราะนายนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องหงุดหงิดอยู่ตลอด ครั้งแรกที่ฉันเจอนาย… นายก็ดันทำตัวเหมือนนักเลง แล้วจากนั้นนายก็… นายก็…” เธอยังคงจำความคลุมเครือที่เธอมีต่อเย่เชียนได้เป็นอย่างดี และจำสิ่งเลวร้ายที่เย่เชียนเคยทำกับเธอเอาไว้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ซึ่งเมื่อเธอนึกถึงสิ่งเหล่านั้น หวังยู่ก็ทำอะไรไม่ถูกและหน้าของเธอก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ หวังยู่นั้นเธอลังเลอยู่เป็นเวลานานและเธอก็พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
เมื่อเห็นท่าทางที่น่ารักของหวังยู่แล้ว เย่เชียนก็อดใจไม่ไหวที่จะแกล้งหยอกล้อเธออีก เย่เชียนจึงพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “คุณผู้หญิงครับ… คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง ? คุณจำได้มั้ยว่าครั้งแรกที่ผมพบกับคุณน่ะ ผมช่วยคุณจับโจรนะ! แต่แทนที่คุณจะขอบคุณผม แต่คุณกลับต้องการที่จะจับผมไปสถานีตำรวจ คุณเกลียดผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
หวังยู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ว่าไงนะ! ตอนนั้นฉันจำได้ว่าฉันเชิญนายกลับไปที่สถานีตำรวจอย่างสุภาพมากเลยนะ อีกอย่างฉันก็แค่อยากให้นายช่วยไปให้ปากคำเฉย ๆ ไม่ได้จับนายไปเข้าห้องขังสักหน่อย แต่นายกลับทำตัวมีพิรุจน่าสงสัยเองแถมยังไม่เต็มใจที่จะไปที่สถานีตำรวจกับฉันอีก ฉันก็เลยสงสัยว่านายอาจจะเป็นผู้มีความผิดในคดีอะไรสักอย่างหรือเป็นอาชญากรออนไลน์ก็แค่นั้นเอง”
เย่เชียนหันหน้าไปหาเธอและยื่นหน้าของเขาเข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “คุณผู้หญิง! คุณลองมองผมใกล้ ๆ อีกทีซิ คนดี ๆ หน้าหล่อ ๆ อย่างผมจะไปเป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรทางอินเทอร์เน็ตได้ยังไง ? ไม่ต้องอ้างเลยเห็นได้ชัดเลยว่าคุณน่ะเกลียดผม!”
เย่เชียนนั้นเข้ามาใกล้เธอมากเกินไป จนหวังยู่แทบจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเย่เชียนที่มาสัมผัสกับแก้มของเธออย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็แดงก่ำโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจึงผลักเย่เชียนออกไปเบา ๆ และพูดว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจไง… ก็ตอนแรกฉันไม่รู้จักนายนี่ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายเป็นคนยังไง”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ?” เย่เชียนรีบถามต่อ
“ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จักนายอยู่ดี แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ?” หัวใจของหวังยู่เต้นแรงและเร็วอย่างมาก ทำให้เธอดูตื่นตระหนกเล็กน้อย
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “อันที่จริงผมคิดว่าตอนที่คุณขี้งอนและฉุนเฉียวน่ะดูน่ารักกว่าตอนนี้อีกนะ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย!” หวังยู่พูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนอย่างโกรธเกรี้ยว
เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยและไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้รับมือยากจริง ๆ เขาชมเธออยู่แท้ ๆ แต่เธอกลับดุเขากลับ
“นายกับพ่อของฉันเจอกันได้ยังไง ? ยิ่งไปกว่านั้นนายยังติดสินบนพ่อฉันอีกด้วย นายคงไม่ได้ต้องการที่จะลากพ่อของฉันลงน้ำด้วยหรอกใช่มั้ย ?” หวังยู่พูด
เย่เชียนยิ้มอย่างจริงใจและพูดว่า “มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ? พ่อของคุณกับผมเป็นเพียงแค่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กันก็แค่นั้นแหละ อีกอย่างผมจะไม่ทำผิดจริยธรรมและไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมายแบบนั้นอย่างแน่นอน ผมจะไม่ทำให้คุณต้องเป็นกังวลเพราะผมหรอก พ่อของคุณน่ะเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐที่ผมเคยพบเจอมาทั้งหมด และเขาก็มีความยุติธรรมอย่างมาก เขาคือแบบอย่างที่ดีและเป็นคนที่ประชาชนรักอย่างแท้จริง”
“ฉันหวังว่านายจะพูดความจริงนะ” หวังยู่พูด
หลังจากที่เงียบกันไปครู่หนึ่ง หวังยู่ก็ถามอย่างตะกุกตะกักและประหม่าว่า “เย่เชียน… ฉันสงสัยน่ะว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกับ… เอ่อ… คุณฉินหยูนี่มันยังไงกันเหรอ ?”
“เรื่องนี้มันสำคัญด้วยเหรอ ?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอโทษที… นายลืมมันไปเถอะ” หวังยู่หันหน้าหนีไป
“หรือว่า… คุณหึงเหรอ ?” เย่เชียนโน้มใบหน้าของเขาเข้าไปหาเธอแล้วพูดต่อไปว่า “ผมเข้าใจถูกใช่มั้ยว่าคุณกำลังหึงน่ะ ?”
“บ้าหน่า! ฉันจะไปหึงนายทำไมกัน ? ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับนายสักหน่อยหนิ” หวังยู่พูดพร้อมกับทำหน้ามุ่ยและบุ้ยปากเล็กน้อย