ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 228 สงครามกำลังจะปะทุในไม่ช้า
แม้ว่าเย่เชียนจะแกล้งถามหวังยู่ออกไปอย่างนั้น แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่นะ ? เขารู้สึกว่าระหว่างเขากับหวังยู่นั้นมันเหมือนมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ผูกกันไว้ระหว่างเธอกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่ทั้งสองคนเจอกันมันก็ดูเหมือนกับว่าจะต้องเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวายเกิดขึ้นเสมอทุกครั้งไป
ทันใดนั้นเองเสียโทรศัพม์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เย่เชียนจึงขอตัวหวังยู่เพื่อเดินออกมารับสาย ที่ปลายสายนั้นเป็นเสียงของเซียวหวันดังลอดออกมาเบา ๆ
“เย่เชียน… ตอนนี้นายอยู่ไหนน่ะ ? รีบมาที่วัดขงจื๊อด่วนเลย!” เสียงเล็กแหลมของเซียวหวันนั้นเบามาก ฟังดูเหมือนกับว่าเธอพยายามกระซิบให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าจะมีใครได้ยิน
เย่เชียนคิดได้อย่างเดียวคือ หมาป่าผีไป๋ฮวยคงกำลังจะทำการส่งมองพระบรมสารีริกธาตุแน่ ๆ มิเช่นนั้นเซียวหวันคงจะไม่เป็นกังวลถึงเพียงนี้ “ผมจะรีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย!” เย่เชียนตอบแล้วกดวางสายไป
จากนั้นเย่เชียนก็เดินกลับไปหาหวังยู่แล้วพูดอย่างขอโทษว่า “ผมมีงานเข้า! ต้องรีบไปด่วนเลย”
“นายไปเถอะ… ระวังตัวด้วยล่ะ!” หวังยู่เห็นท่าทางของเย่เชียนก็เดาได้ว่าเขาคงจะมีเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากต้องไปทำด่วน สำหรับหวังยู่แล้ว ทุกครั้งที่เย่เชียนต้องไปจัดการกับเรื่องอะไรก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องพวกนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ และครั้งนี้เองก็เช่นกัน มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รีบไปขนาดนี้ แม้ว่าเธออยากจะช่วยเขาก็ตาม แต่ในเมื่อเย่เชียนไม่ได้ขอให้เธอช่วย เธอก็รู้ว่ามันคงเป็นเรื่องที่คนอย่างเธอไม่สมควรที่จะเข้าไปพัวพันด้วย เธอจึงได้แต่หวังว่าเขาจะปลอดภัยกับอะไรก็ตามที่เขาจะต้องไปเผชิญหน้าด้วย
เมื่อเย่เชียนเข้าไปนั่งในรถ เขาก็กดโทรศัพท์หาอู๋หวนเฟิงทันที โชคดีที่อู๋หวนเฟิงนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เย่เชียนอยู่ เย่เชียนจึงบอกให้เขารออยู่ที่นั่นเพื่อให้เขาขับรถไปรับมาด้วยกัน
แม้ว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นจะไม่ใช่คนธรรมดา ๆ แต่การขโมยและส่งมอบพระบรมสารีริกธาตุนั้น เขาคงจะไม่สามารถลงมือทำทุกอย่างเองเพียงคนเดียวได้ เขาจะต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เย่เชียนมีอู๋หวนเฟิงไปด้วย มันก็อาจจะทำให้เขาทำภารกิจนี้สำเร็จได้ง่ายขึ้นอีกระดับหนึ่ง
หลังจากที่เย่เชียนรับอู๋หวนเฟิงขึ้นรถมาด้วยกันแล้ว เย่เชียนก็ขับรถตรงไปที่วัดขงจื๊ออย่างรวดเร็ว
ดินแดนแห่งหกราชวงศ์นั้นมีแม่น้ำฉินหวยที่ยาวถึงสิบไมล์ ซึ่งวัดขงจื๊อที่เป็นสถานที่ประดิษฐานและสักการะบูชาขงจื๊อและยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเมืองหนานจิงอีกด้วย ทำให้เย่เชียนนั้นไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนสมบัติของชาติ ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้ยังเป็นดินแดนของขงจื๊อ ซึ่งพวกนั้นเลือกที่จะซื้อขายสิ่งของทางพุทธศาสนาซึ่งมันเป็นเรื่องที่ตลกเล็กน้อย
ไม่นานนักเย่เชียนและอู๋หวนเฟิงก็มาถึงที่วัดขงจื๊อ เย่เชียนขับรถไปจอดในที่ลับตาคนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดขงจื๊อมากนัก ซึ่งขณะที่อยู่ระหว่างทาง เย่เชียนก็ได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้อู๋หวนเฟิงฟังจนหมดแล้ว ทว่าอู๋หวนเฟิงนั้นกลับไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแต่นึกถึงหมาป่าผีไป๋ฮวย และมีเพียงประกายไฟปะทุขึ้นภายในดวงตาของเขาโดยไม่รู้ตัว
เย่เชียนเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลากลางคืนจึงทำให้นักท่องเที่ยวในวัดขงจื้อมีจำนวนน้อยมาก แต่ถึงยังไงก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ริมแม่น้ำฉินหวยที่อยู่หน้าวัดขงจื๊อ มีทั้งคู่รักหลายคู่เดินเล่นกันไปตามริมแม่น้ำและมีความสุขไปกับโลกใบเล็ก ๆ ของพวกเขา ซึ่งเย่เชียนกวาดสายตามองไปแต่ก็ไม่พบจื่อจุนกับเซียวหวันเลย ซึ่งพวกเขาจะต้องซ่อนตัวเอาไว้อย่างดีเป็นแน่
ขณะที่เย่เชียนกำลังจะเข้าไปเพื่อที่จะมองหาพวกเขา จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้น ซึ่งมันเป็นเสียงเตือนข้อความ ‘ศาลาจูซิง!’ ข้อความถูกส่งมาโดยเซียวหวัน นี่จะต้องเป็นที่ตั้งของธุรกรรมการแลกเปลี่ยนครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากเปลี่ยนเสียงโทรศัพท์ให้เป็นระบบสั่นแล้ว เย่เชียนก็เหลือบมองไปที่อู๋หวนเฟิงและเดินเข้าไป
ทั้งสองไม่ได้ตรงดิ่งเข้าไปทางประตู แต่กลับเดินไปรอบ ๆ แสร้งทำเป็นนักท่องเที่ยวและเดินเล่นจนมาถึงศาลาจูซิง หลังจากนั้นเย่เชียนก็กวาดสายมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่พบร่องรอยของหมาป่าผีไป๋ฮวยเลย แต่กลับมีชายร่างใหญ่ผมสีบลอนด์ทองและตาสีฟ้าสองสามคนที่ดึงดูดความสนใจของเย่เชียนอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวบ่อยก็ตาม แต่ทว่าชาวต่างชาติเหล่านี้กลับดูไม่ใช่นักท่องเที่ยวอย่างเห็นได้ชัด เพราะดวงตาของพวกเขานั้นคอยสอดส่องไปรอบ ๆ จนดูผิดสังเกต และพวกเขาก็ไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์เลยแม้แต่น้อย เพราะบนใบหน้าของพวกเขานั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังรอใครบางคนอยู่ ซึ่งเย่เชียนก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเหล่านี้จะต้องเป็นคนที่ทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนพระบรมสารีริกธาตุกับไป๋ฮวยอย่างแน่นอน
จู่ ๆ โทรศัพท์ของเย่เชียนก็สั่นอยู่ภายในกระเป๋าเสื้อ และเมื่อเขาหยิบมันออกมาดูก็เห็นเป็นข้อความสั้น ๆ ว่า “ฉันเห็นนายแล้วนะ… เงยหน้าขึ้นมา!”
เย่เชียนเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าแล้วกวาดสายตามองขึ้นไปก็พบร่างสีดำสองร่างที่นั่งยอง ๆ อยู่บนหลังคา ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา เพราะคิดว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นมีความอดทนสูงมากที่สามารถทนกับยุงที่เกรี้ยวกราดของเมืองหนานจิงในฤดูร้อนได้ ซึ่งเย่เชียนคิดว่าพวกเขาคงจะสวมชุดวัสดุป้องกันพิเศษเฉพาะรูปแบบภารกิจสำหรับเจ้าหน้าที่หน่วยลับ
หลังจากเย่เชียนขยิบตาให้อู๋หวงเฟิงแล้ว ทั้งสองก็แอบย่องไปทางด้านข้างและปีนข้ามกำแพงไป ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงในเขี้ยวหมาป่านั้นก็ไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนกับอู๋หวนเฟิงก็ปีนขึ้นไปบนยอดของอาคารได้ในชั่วอึดใจเดียว
เมื่อเย่เชียนย่องและคลานต่ำไปจนถึงอาคารฝั่งของเซียวหวันแล้ว เย่เชียนก็ลูบหัวเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยนและกระซิบว่า “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ?”
สำหรับพฤติกรรมที่ดูน่าอับอายและสนิทสนมกันจนเกินไปของเย่เชียนเช่นนี้ มันทำให้เซียวหวันทำตัวไม่ถูก เธอเพียงจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนอย่างดุร้าย แต่เธอก็ไม่ได้ตำหนิเขาหรืออะไร เพราะเธอกลัวว่าตำแหน่งที่ซุ่มอยู่จะถูกเปิดเผย เมื่อคิดเช่นนี้เซียวหวันก็ต้องฝืนทนกับเย่เชียนเอาไว้และพูดเบา ๆ ว่า “เราได้รับรายงานมาว่าคืนนี้พวกเขาซื้อขายกันที่นี่ เพราะงั้นพวกเราจึงรีบมากันก่อน โชคดีที่ฉันรู้เบอร์โทรศัพท์ของนาย ไม่งั้นฉันก็คงติดต่อนายไม่ได้ นายหายไปไหนมา ? ไม่คิดจะบอกกันบ้างหรือไง ?” ประโยคหลังนั้นเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นการบ่นและตำหนิติเตียนราวกับความโกรธเคืองของภรรยาที่สามีกลับบ้านช้าจนดึกดื่นและไม่บอกอะไรเธอล่วงหน้าเลย
“อ้าว! มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกหรือไง ? ในเมื่อเธอน่ะเป็นคนไปเติมเชื้อไฟให้กับหวงฟู่เส้าเจี๋ยเองนี่ เขาถึงอยากจะสู้กับฉันขนาดนั้นน่ะ” เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะหยิบเรื่องนี้ออกมาพูด
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วเซียวหวันก็รีบปิดปากของเธออย่างเชื่อฟัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยต้องเป็นฝ่ายแพ้ให้กับเย่เชียนอย่างแน่นอน ถึงว่าล่ะเย่เชียนเก่งขนาดนี้นี่เอง คุณปู่หวงฟู่ถึงได้ปฏิบัติกับเขาดีเป็นพิเศษและเข้าข้างเขาอยู่ตลอด
จากนั้นเซียวหวันก็หันหน้าไปมองที่อู๋หวนเฟิงที่หมอบต่ำอยู่ข้าง ๆ เย่เชียน แล้วเธอก็มองไปที่เย่เชียนเหมมือนกับว่าเธอนั้นอยากจะถามอะไรบางอย่าง
“น้องชายของฉันเอง!” เย่เชียนแนะนำสั้น ๆ ง่าย ๆ โดยไม่ได้คิดที่จะอธิบายอย่างละเอียดให้เซียวหวันฟัง ซึ่งเธอก็เม้มปากของเธอและไม่ได้จะถามอะไรต่อ เธอเพียงหันหน้าไปและเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของสถานการณ์ด้านล่างต่อไป
“ไป๋ฮวยจะมาด้วยมั้ย ?” อู๋หวนเฟิงถามด้วยความคาดหวัง ซึ่งเขาเฝ้าหวังเอาไว้ว่าจะได้เอาคืนไป๋ฮวยได้ในเร็ววัน
“ไม่รู้เหมือนกัน!” เย่เชียนก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับอู๋หวนเฟิง ถึงแม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะต่อสู้กับไป๋ฮวยแล้วก็ตาม แต่ถึงยังไงแล้วเขาก็ไม่ต้องการให้ไป๋ฮวยตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอยู่ดี
“อะไรล่ะ… กลัวเหรอ ?” เซียวหวันหันหน้ามามองเย่เชียนและเผยให้เห็นท่าทางที่เย้ยหยัน
คิ้วของอู๋หวนเฟิงก็ขมวดเล็กน้อยและมีคลื่นแห่งจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ซึ่งเมื่อเซียวหวันสัมผัสได้เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อยและร่องรอยแห่งความหวาดกลัวก็เพิ่มขึ้นอย่างลับ ๆ ในใจของเธอ เธอนั้นไม่เคยรู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้ตัวของเธอมากขนาดนี้ราวกับว่าเธอกำลังอยู่ข้าง ๆ ขุมนรกและกำลังก้าวเข้าไปเหยียบมัน
จื่อจุนก็ดูเหมือนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาพบว่าร่องรอยของจิตสังหารที่ทรงพลังนั้นมาจากร่างของอู๋หวนเฟิงแล้ว จื่อจุนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อยและแอบคิดในใจว่า ‘ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเป็นทหารรับจ้างจากเขี้ยวหมาป่าสินะ’
เย่เชียนลูบไหล่ของอู๋หวนเฟิงเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาหน่า ๆ ก็แค่เด็กผู้หญิง”
ถึงแม้ว่าเซียวหวันจะไม่พอใจที่เย่เชียนบอกว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงก็ตาม แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์รอบตัวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของอู๋หวนเฟิงแล้ว เธอก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรโต้กลับไป
เย่เชียนหันหน้าไปสบตากับเซียวหวันและพูดว่า “คนของเขี้ยวหมาป่าไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด… เพราะพวกเราทุกคนต้องเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความตาย แล้วถ้าพวกเราเอาแต่กลัวล่ะก็… ป่านนี้พวกเราคงจะตายกันไปนานแล้ว”
เซียวหวันไม่ได้พูดอะไรตอบเย่เชียน เธอเข้าใจดีว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นมันเป็นความจริง แต่สำหรับพวกเธอที่เป็นตัวแทนของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติแล้วมันไม่เหมือนกัน เพราะทุก ๆ ภารกิจล้วนเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงชีวิต และถ้าหากพวกเธอกลัวล่ะก็ พวกเธอก็ต้องเอาชนะศัตรูให้จงได้หรือไม่ก็หาทางเอาตัวรอดเอาเอง
“คนพวกนั้นเป็นใคร ?” เย่เชียนถามพลางชี้ไปที่ชาวต่างชาติร่างกำยำที่อยู่ด้านล่าง
“พวกเขาทั้งหมดเป็นคนของซีไอเอจากสหรัฐอเมริกา และในซีไอเอนั้นไฟล์ของพวกเขาทั้งหมดถูกจัดอยู่ในประเภทเพิกถอนบุคลากรปฏิบัติการลับ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้และแม้แต่บุคคลภายในของซีไอเอเองก็ยังไม่ทราบถึงการมีอยู่ของพวกเขาเลย” จื่อจุนพูดอย่างจริงจัง
“แล้วการกระทำเหล่านี้จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือเปล่า ?” เย่เชียนยังคงถามต่อ
“ไม่หรอก” จื่อจุนพูด “ทุก ๆ ปีจะมีตัวแทนของแต่ประเทศถูกจับหรือไม่ก็ถูกลอบฆ่าในประเทศอื่น ๆ อยู่แล้ว และนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้นำของทุกประเทศต่างก็รู้ดี มันเป็นเพียงแค่สงครามของสายลับที่ไม่มีใครต้องการเปิดเผยเพราะงั้นต่อให้เราฆ่าพวกซีไอเอ ถึงยังไงมันก็เป็นเพียงเบื้องหลังของประเทศเพียงเท่านั้น และพวกเขาจะไม่หยิบประเด็นเหล่านี้มาพิพาทกันระหว่างประเทศอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังขโมยสมบัติประจำชาติของประเทศเราไป พราะงั้นรัฐบาลของพวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้หรอก”
เย่เชียนพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรต่อ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจื่อจุนจะไม่พูดอะไร ถึงยังไงเย่เชียนก็จะไม่ปรานีอยู่แล้ว เพราะเย่เชียนนั้นมีความเกลียดชังและความแค้นอย่างลึกซึ้งกับซีไอเออย่างมาก สำหรับภารกิจนี้นั้น หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็มอบหน้าที่และการรับผิดชอบให้แก่เย่เชียนแต่เพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้นเย่เชียนก็จะไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย
จื่อจุนยื่นกระเป๋าเดินทางให้และพูดว่า “มีของเล่นอยู่ในนั้น… ลองดูซิว่าเหมาะมั้ย”
เย่เชียนหยิบมันขึ้นมาและเปิดมันออกดู และมันก็เป็นตามที่เขาคาดเอาไว้ว่าจื่อจุนนั้นมาจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ดังนั้นอาวุธทั้งหมดในกระเป๋าก็ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นล่าสุดทั้งนั้น
เย่เชียนหยิบปืนสองกระบอกส่งให้อู๋หวนเฟิง ถึงแม้ว่าเขาจะมีเพียงแขนเดียวก็ตาม แต่ทว่าอู๋หวนเฟิงกลับคาบปืนเอาไว้ในปากและใส่แม๊กกาซีนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเซียวหวันที่ที่เฝ้าดูอยู่ก็ตกตะลึงอย่างมากและแอบคิดว่า นี่ขนาดมีแขนเดียวยังสามารถเปลี่ยนแม๊กกาซีนปืนได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าอู๋หวนเฟิงนั้นจะต้องฝึกฝนอย่างหนักสักกี่ครั้งกว่าจะมาเป็นเขาในวันนี้ได้
ตอนนี้แต่ละคนนั้นมีปืนพกอยู่คนละสองกระบอกและปืนไรเฟิลจู่โจมคนละหนึ่งกระบอก!
เมื่อทุกคนได้รับปืนกันไปจรหมดแล้ว จื่อจุนก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวพวกคุณรับผิดชอบในการเข้าปะทะนะ… ส่วนผมจะคอยเฝ้าระวังและสนับสนุนด้วยปืนไรเฟิลจู่โจมโอเคมั้ย ?”
อาจเป็นเพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคอยเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าและเย่เชียนให้เขาฟังว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด ทำให้จิตใต้สำนึกของจื่อจุนยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวเย่เชียนอยู่ลึก ๆ ดังนั้นเขาจึงถามความเห็นชอบของเย่เชียนโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้การกระทำและปฏิบัติการทั้งหมดเย่เชียนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
ถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะมอบคำสั่งของภารกิจนี้ให้กับเย่เชียนก็ตาม ถึงยังไงมันก็เป็นวิธีที่เรียบง่ายโดยการพูดปากเปล่าเพียงเท่านั้น ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้อะไรมากและนอกจากนี้การจัดเตรียมของการของจื่อจุนก็สมเหตุสมผลและยอดเยี่ยมมากเช่นกัน เมื่อนึกถึงการเผชิญหน้ากับไป๋ฮวยที่กำลังจะมาถึงนี้ เย่เชียนก็รู้สึกแย่ลงเล็กน้อย จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่จื่อจุนและพูดว่า “งั้นเดี๋ยวผมขอจัดการกับหมาป่าผีไป๋ฮวยเองก็แล้วกัน!”
จื่อจุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าตอบ