ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 230 สหพันธ์ฝ่ายต่อต้านรุกราน
“เป็นอะไรไป ?” เย่เชียนถามขึ้นหลังจากสังเกตเห็นว่าอากัปกิริยาของเซียวหวันนั้นดูผิดปกติไป
เซียวหวันไม่ตอบ เธอเพียงแค่พลิกกล่องไม้ในมือให้เย่เชียนดู ซึ่งในนั้นมันมีแต่ว่างเปล่า! แม้ว่าเย่เชียนจะรู้สึกตงิดใจตั้งแต่แรก แต่เมื่อเขาเห็นกล่องเปล่านั้นเขาก็อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี
เย่เชียนเข้าใจแล้วว่าทำไม่เขาถึงรู้สึกได้ว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับไม่เผยตัวออกมาให้เห็น ดูจากรูปการณ์แล้วนี่คงเป็นแผนของไป๋ฮวยทั้งหมด เขาคงเดาได้ว่ากระทรวงความมั่นคงแห่งชาติจะเข้ามาเอี่ยวด้วยอย่างแน่นอน เขาอาจจะปล่อยข่าวการแลกเปลี่ยนพระบรมสารีริกธาตุในวันนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะดูว่ามีใครบ้างที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้บ้าง แต่ท้ายที่สุดของสำคัญชิ้นนั้นก็ยังคงอยู่ในกำมือของเขา
แม้ว่าเย่เชียนจะรู้สึกเหมือนถูกหลอก แต่เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าการคาดการณ์สถานการณ์ของหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นยอดเยี่ยมมาก เหตุการณ์ในครั้งนี้มันแสดงให้เย่เชียนเห็นว่าไป๋ฮวยคนที่เคยเป็นพี่ชายคนสนิทของเขานั้นกู่ไม่กลับอีกต่อไปแล้ว เขาถลำตัวลงไปสู่ความดำมืดและคงไม่สามารถที่จะกลับตัวกลับใจได้อีก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เย่เชียนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนและลำบากใจมากในการต้องเผชิญหน้ากับไป๋ฮวย เพราะเขานั้นยังแอบหวังอยู่ในใจว่าเขาจะสามารถทำให้ไป๋ฮวยเปลี่ยนใจกลับมาอยู่ฝ่ายเขาได้ แต่ทว่าในตอนนี้เย่เชียนรู้แล้วว่ามันคงจะสายไปเสียแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือการทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอย่างเร็วที่สุดโดยไม่มีความปรานีใด ๆ ทุกอย่างมันคงถูกกำหนดเอาไว้แล้วให้เป็นแบบนี้!
การต่อสู้กันระหว่างพี่น้องคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว!
เสียงไซเรนของรถตำรวจดังขึ้นทั่วบริเวณ ท้ายที่สุดพวกตำรวจก็ต้องแห่กันมาอยู่ดีเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันบานปลายเกินไปและสร้างความอลหม่านให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างเกินการควบคุม
“ไปกันเถอะ… ปล่อยให้พวกตำรวจเขาทำหน้าที่ของเขาไปดีกว่า พวกเราไม่ควรเปิดเผยตัวตนของเราในตอนนี้” จื่อจุนพูด
แน่นอนว่าเย่เชียนก็ไม่ต้องการให้พวกตำรวจรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่เช่นกัน มิฉะนั้นมันจะทำให้เป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับเขาในอนาคตได้
หลังจากที่ทั้งสี่คนออกจากวัดขงจื๊อแล้ว เย่เชียนก็เหลือบมองจื่อจุนและเซียวหวัน ก่อนที่จะพูดว่า “ผมทำตามคำขอของปู่แล้วนะ… เพราะงั้นอย่ามารบกวนผมอีก”
“นายคิดว่าฉันเต็มใจที่จะมาพัวพันกับนายรึไง !? ถ้ามันไม่ใช่เพราะภารกิจที่ผู้อำนวยการมอบหมายมาล่ะก็ ฉันคงไม่มายุ่งกับนายหรอก” เซียวหวันพูด “อีกอย่างผู้อำนวยการบอกให้นายช่วยเราชิงพระบรมสารีริกธาตุกลับมาไม่ใช่รึไง ? นี่นายยังทำมันไม่สำเร็จเลยนะ แล้วนายจะปล่อยเรื่องนี้ให้จบแบบนี้เนี่ยนะ ?!”
เย่เชียนรู้สึกหมดหนทางกับเธอ เขาจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “หึ… มันเป็นเพราะข่าวกรองของพวกเธอผิดพลาดเอง ทำให้ฉันต้องมาโดยเปล่าประโยชน์ ฉันว่าพวกเธอควรกลับไปทบทวนและวิจารณ์หน่วยของตัวเองซะเถอะ”
“นี่นาย…!!!” เซียวหวันสบถออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เซียวหวัน! หยุดโวยวายได้แล้ว! ในเมื่อเหตุการณ์นี้มันเป็นความผิดพลาดของพวกเราเอง… ฉันว่าเราควรรีบกลับไปรายงานสถานการณ์ให้ผู้อำนวยการทราบโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า!” จื่อจุนหยุดการกระทำที่โกรธเกรี้ยวของเซียวหวันเอาไว้ ทำให้เธอต้องจำใจหันหน้าหนีไป
หลังจากที่เซียวหวันกับจื่อจุนเดินกันไปได้สักพัก จู่ ๆ เซียวหวันก็หันกลับมาหาเย่เชียนและโยนกล่องไม้ในมือของเธอไปให้เย่เชียนอย่างโกรธเกรี้ยวและพูดว่า “เอาไปสร้างโลงศพให้ตัวเองซะไป!”
เย่เชียนตกตะลึงอย่างมากพลางคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ? เมื่อเห็นเช่นนั้นจื่อจุนก็มองมาที่เย่เชียนเป็นการขอโทษพร้อมกับพูดว่า “ฉันขอโทษแทนเธอด้วยนะคุณเย่… อย่าไปโกรธเคืองเธอเลย”
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ… เธอยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงน่ะ จริง ๆ แล้วผมน่ะรู้สึกเอ็นดูและเป็นห่วงเธอนะ” เย่เชียนจงใจพูดเสียงดังให้เซียวหวันได้ยิน ซึ่งเซียวหวันนั้นได้แต่ฮัมเพลงเพื่อกลบเกลื่อนและแอบจ้องมองเย่เชียนอย่างดุเดือด
จื่อจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เฮ้อ… งั้นพวกฉันไปก่อนนะ เราต้องรีบกลับไปรายงานผู้อำนวยการคืนนี้”
“ครับ!” เย่เชียนพยักหน้า
จื่อจุนพยักหน้าตอบแล้วเดินออกไปทางซ้าย
เมื่อเห็นจื่อจุนและเซียวหวันจากไป เย่เชียนและอู๋หวนเฟิงก็เดินกลับไปที่รถ
“หวนเฟิงนายคิดยังไงกับสถานการณ์ในคืนนี้ ?” เย่เชียนถาม
หวนเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งและตอบว่า “เราทุกคนถูกหลอก”
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ฉันว่าแล้วเชียว! ฉันน่ะรู้สึกแปลก ๆ มาตั้งแต่แรกละว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยแต่กลับไม่ยอมเผยตัวเองออกมาให้เห็นเลยแม้แต่เงา ขนาดว่าไอ้พวกคนญี่ปุ่นพวกนั้นเข้ามาเอี่ยวด้วยแล้วนะ เขาก็ยังนิ่งอยู่ได้ ที่แท้ไอ้กล่องไม้นี่มันก็ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยสินะ หึ ๆ ๆ ด้วยวิธีนี้พวกซีไอเอไม่ใช่แค่หลงกลต้องจ่ายเงินให้กับเขาเพียงเท่านั้นนะ แต่ยังมุ่งเป้าไปที่กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติด้วย แถมพวกนั้นยังพลาดไม่ได้ของไปอีก เฮ้อ! หมาป่าผีนี่ไม่ทิ้งฉายาของเขาเลยสินะ”
อู๋หวนเฟิงไม่พูดอะไรต่อ เขาได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จนเต็มปอดพลางตระหนักกับตัวเองว่า หมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับคนอย่างเขา สมแล้วที่เขานั้นเคยได้รับการยกย่องให้เป็นมืองวางอันดับต้น ๆ ในกลุ่มเขี้ยวหมาป่า
……
ทางด้านของซูเจี้ยนจุนเองก็ไม่น้อยหน้า เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นธุรกิจของเย่เชียนก็ต้องประสบกับปัญหาหุ้นตกตั้งแต่ตลาดหุ้นเพิ่งจะเปิด สิ่งนี้เองที่เกือบทำให้โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนระเบิดจากการโทรเข้ามาของเหล่าบรรดาผู้บริหาร
ไม่ต้องสืบก็รู้ได้ไม่ยากว่าเรื่องพวกนี้ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานต้องเป็นคนทำมันขึ้นมาแน่นอน เย่เชียนต้องมาปวดหัวตั้งแต่เช้า เพราะเขาเกรงว่าการสูญเสียยอดดุลและดัชนีของหุ้นที่ลดลงในวันนี้มันจะกระทบกับความผันผวนของราคาหุ้นดังกล่าวทั้งหมดและจะทำให้ผู้คนเริ่มไม่ไว้วางใจบริษัทของตนและผลที่ตามมานั้นมันก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาได้เลย
เกี่ยวกับการแข่งขันในตลาดหุ้นนั้นเย่เชียนเป็นถึงหนึ่งในสองของผู้เล่นหุ้นรายใหญ่ ซึ่งอีกฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถทราบจุดประสงค์ของเขาได้เลย
ในขณะที่เย่เชียนกำลังรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดอยู่ จู่ ๆ หยูซิงก็โทรเข้ามา หลังจากได้ฟังหยูซิงพูดแล้ว เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและวางสายโทรศัพท์จากนั้นก็ออกไปทันที สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะยุ่งยากมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะซูเจี้ยนจุนและจู้ซานได้โจมตีเขาอย่างดุเดือดเช่นนี้และไม่เพียงแค่พวกเขาโจมตีราคาหุ้นของอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นเพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากำลังคุกคามและรุกรานอุตสาหกรรมการบันเทิงอีกด้วย
เย่เชียนนั้นค่อนข้างประเมินซูเจี้ยนจุนและจู้ซานต่ำจนเกินไป เขาคิดว่าหลังจากที่เฝิงเฝิงหนีหางจุดตูดไปพร้อมกับลูกสมุนของเขาภายใต้แรงกดดันของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนในวันนั้นแล้ว พวกเขาก็น่าจะไม่เคลื่อนไหวไปอีกสักพัก แต่ทว่าไม่เพียงแค่พวกเขาไม่สำนึกถึงบทเรียน แต่กลับทำให้มันย่ำแย่ลงอีกด้วย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ย่ำแย่มากดั่งที่ ‘คาร์ล มาคส์’ นักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันกล่าวเอาไว้ว่า ‘หากมีโอกาสได้กำไรถึง 300% พวกเขาเหล่านั้นก็จะเหยียบย่ำกฎหมายและศีลธรรมทั้งหมดเพื่อไขว่คว้ามันอย่างถึงที่สุด’
เมื่อมาถึงที่ประตูสโมสร เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าหยูซิงรออยู่ตรงนี้มานานแล้ว เขาจึงก้าวไปหาหยูซิงแล้วพูดว่า “บอกผมเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องนี้ทั้งหมดที!”
“ประธานเย่… คือมีแขกสองสามคนเสพยาในห้องของสโมสรของพวกเรา จู่ ๆ บรรดานักข่าวก็โผล่หน้ามาทำข่าวและเผยแพร่เรื่องพวกนี้ออกไปว่าสโมสรของเราเป็นแหล่งซื้อขายยาเสพติด!” หยูซิงพูดสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้อารมณ์ของเขาคงที่ จากนั้นก็ถามว่า “คุณหยูซิง… คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ ?”
“ผมรับรองได้เลยว่าไม่มียาเสพติดในสโมสรของเราอย่างแน่นอน ยาพวกนี้มันต้องเป็นของแขกที่มาใช้บริการแน่ ๆ ผมว่าเรื่องนี้มันถูกเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว เพราะจู่ ๆ ไอ้พวกนักข่าวมันก็โผล่มาทำข่าวกันซะอย่างงั้น พวกเขาดูไม่ลังเลที่จะมุ่งหน้าไปที่ห้อง ๆ นั้น ผมว่า… ใครบางคนกำลังจ้องโจมตีพวกเราอยู่!” หยูซิงวิเคราะห์สถานการณ์ให้เย่เชียนฟังอย่างตรงไปตรงมา
เย่เชียนก็พยักหน้าเบารับเบา ๆ ถึงแม้ว่าหยูซิงจะไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรมากนัก แต่เขาก็ยังมีมันสมองที่เฉียบแหลมอยู่บ้าง ซึ่งมันก็คู่ควรสำหรับเขาที่จะดูแลและรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
“แล้วตอนนี้พวกนั้นอยู่ที่ไหนกัน ?” เย่เชียนพูดขณะที่เขาเดินเข้าไปในสโมสร
อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เย่เชียนได้ทวงความยุติธรรมให้กับผู้คนในเมืองหนานจิงจากเฝิงเฝิงเมื่อคราวก่อน มันเลยทำให้ที่สโมสรมีคนเข้ามาอุดหนุนและใช้บริการกันอย่างหนาแน่นทุกวัน เมื่อเย่เชียนเดินผ่านกลุ่มลูกค้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แต่ทว่าลูกค้าที่เต็มแน่นในวันนี้ก็อาจจะบางตาลงได้ ถ้าหากว่าพวกเขารู้เรื่องราวร้าวฉานที่เกิดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของเขาในฐานะประธานสโมสรที่จะต้องคิดหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้คนยังคงติดใจและเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“พวกนั้นถูกควบคุมตัวเอาไว้แล้วครับ กำลังรอเวลาที่จะไปซักถามถึงข้อมูลต่าง ๆ ” หยูซิงพูด
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “คนส่วนใหญ่รู้กฎและไม่กล้าสร้างความวุ่นวายที่นี่ งั้นใครก็ตามที่ต้องการที่จะเข้ามาสร้างปัญหาที่นี่ คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน… ไปกันถอะ! ที่นี่เป็นที่ของพวกเรา อย่าปล่อยให้ใครมาทำอะไรได้ตามอำเภอใจ”
“ผมได้ทำการยึดโทรศัพท์มือถือและกล้องของพวกนักข่าวเอาไว้ในห้องทำงานของผมแล้วครับท่านประธาน!” หยูซิงตอบอย่างแข็งขันด้วยแววตาเป็นประกาย
เย่เชียนไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น ลึก ๆ แล้วเย่เชียนนั้นไม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาสักเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าและจบอย่างรวดเร็วกว่า เพราะฉะนั้นการทำสงครามเย็นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการจัดการกับเรื่องราว ๆ ต่างเหล่านี้ ซึ่งการทำให้คนเหล่านี้ยอมจำนนโดยไร้ซึ่งการใช้ความรุนแรงนั้นถือเป็นศิลปะและทักษะการทำสงครามเย็นขั้นสูงสุดเลยก็ว่าได้ แต่ทว่าการกระทำเช่นนี้นั้นต้องอาศัยทั้งการวางแผนและความอดทนไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเย่เชียนเดินมาถึงที่ออฟฟิศของหยูซิงแล้ว เขาก็ผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไปอย่างสุขุม เมื่อเขาเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว เมื่อชายคนนั้นเห็นเย่เชียนเดินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางหยิ่งผยองพร้อมกับมองหน้าเย่เชียนตรง ๆ อย่างไม่กลัวเกรงใด ๆ แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าชายคนนี้คือเย่เชียน ประธานสโมสรแห่งนี้ และยังเป็นยักษ์ใหญ่คลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างหนาหูในเมืองหนานจิงแห่งนี้อีกด้วย
“นั่งลงเถอะ… เรามาคุยกันดีกว่า!” เย่เชียนพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูจากท่าทางของชายคนนี้แล้ว เย่เชียนก็รู้ได้เลยว่าเขาคงจะไม่ใช่คนที่จะคุยอะไรด้วยได้ง่าย ๆ
ชายคนนั้นก็นั่งลงอย่างช้า ๆ ทว่าไม่มีท่าทีที่สุขุมหรือมีมารยาทให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เพราะสายตาของเขานั้นดูเหมือนจะมองมาที่เย่เชียนราวกับว่าเขานั้นเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนยังไงยังงั้น
“ผมชื่อเย่เชียนเป็นประธานของสโมสรแห่งนี้ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรือ ?” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพและนอบน้อม
อันที่จริงแล้วคนประเภทนี้เย่เชียนสามารถที่จะจัดการทำให้เข้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่พอใจมากที่สโมสรของเขามีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันจึงทำให้เย่เชียนรู้สึกว่าอย่างน้อย ๆ คนคนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่มีความดีอยู่บ้าง และบางทีการเจรจากันดี ๆ มันก็อาจจะพลิกกลายเป็นผลประโยชน์กับเขาในอนาคตก็เป็นได้