ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 231 ตอบโต้โดยไม่ต้องต่อสู้
“ฉันชื่อเสี่ยวโม่!” ชายคนนั้นแนะตัวอย่างสุภาพ
“คุณเสี่ยว… ถ้าคุณมีอะไรอยาจะพูด คุณก็พูดออกมาได้เลย ยังไงซะเรื่องงานมันก็คือเรื่องงานอยู่วันยังค่ำ ผมเข้าใจดี ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนสีเทา ๆ ทำธุรกิจสีเทา ๆ อยู่แล้ว แต่ถึงยังไงผมก็เป็นคนมีจรรยาบรรณมากพอ เพราะงั้นพูดสิ่งที่คุณอยากจะพูดมาได้เลยนะไม่ต้องกั๊ก” เย่เชียนพูด
เมื่อเสี่ยวโม่ได้ฟังเย่เชียนพูดออกมาเช่นนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย เย่เชียนจึงหันไปมองรอบ ๆ ก่อนที่จะยื่นมือไปหยิบกระเป๋าของเสี่ยวโม่มาส่งคืนให้เขา
“นี่กระเป๋าของคุณใช่มั้ย ? ผมคืนให้… ทางเราจะไม่ก้าวก่ายทรัพย์สินของคุณหรอก ส่วนเรื่องภาพข่าวหรือคลิปวีดีโอพวกนั้นผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณก็แล้วกัน คุณอยากจะเผยแพร่พวกมันหรือว่าอยากจะลบก็แล้วแต่คุณเลย ผมไม่บังคับ”
เสี่ยวโม่เอื้อมมือไปรับกระเป๋าของตัวเองคืนมาแบบงง ๆ เขาเหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงแล้วเขาเองก็เคยถูกยึดกระเป๋าและอุปกรณ์ทำข่าวของเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งก่อนที่เขาจะได้พวกมันคืน อีกฝ่ายก็มักจะทำการลบภาพและคลิปวีดีโอทั้งหมดออกไปจนหมด แต่คราวนี้มันแปลกมากที่เขานั้นกลับได้รับของ ๆ เขาคืนโดยทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งคนที่คืนมันมาให้เขายังบอกให้เขาทำตามใจตัวเองอีกด้วยว่าจะแพร่ข่าวออกไปหรือจะลบมันออกทั้งหมด
ในฐานะที่เสี่ยวโม่นั้นทำงานเป็นนักข่าวมานานหลายปี เขาก็สามารถรับรู้ได้ไม่ยากว่าคนอย่างเย่เชียนคนนี้คงจะไม่ใช่คนประเภทที่จะสามารถรับมือได้ง่าย ๆ เป็นแน่ ยิ่งได้มาเห็นตัวเป็น ๆ ของเขาในวันนี้ด้วยแล้วนั้น มันก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าชายวัยยี่สิบกว่า ๆ คนนี้จะสามารถสร้างความประทับใจบางอย่างให้กับเฉินฟู่เฉิงผู้ยิ่งใหญ่จนทำให้เขามอบทุกสิ่งทุกอย่างให้จัดการดูแลและทำการแข่งขันทางธุรกิจกับยักษ์ใหญ่อย่างจู้ซานและซูเจี้ยนจุน
“ในนี้มีหลักฐานเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งหมด พวกคุณไม่รอดแน่” เสี่ยวโม่พูดขึ้นหลังจากที่รับกระเป๋าของตัวเองมาวางไว้บนตัก ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นกลับฟังดูขาดความมั่นใจเล็กน้อยและปราศจากความเย่อหยิ่งเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก
“แล้วคุณมีพยานยืนยันหลักฐานทั้งหมดหรือเปล่าคุณเสี่ยว ? คุณเองก็เป็นนักข่าวมาตั้งนานหลายปีแล้วนี่ใช่มั้ย ? งั้นคุณก็น่าจะรู้หนิว่าแค่หลักฐานมันคงไม่เพียงพอที่จะหลอกสายตาของผู้คนได้หรอก” เย่เชียนพูดพร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่มุมปากของเขา
สิ่งที่เย่เชียนพูดออกมามันได้ทำให้เสี่ยวโมเพิ่งจะฉุกคิดได้ เพราะก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจแค่เพียงหลักฐานอย่างเดียวเท่านั้น โดยลืมเรื่องของพยานไปเสียสนิท เขาคิดแค่เพียงว่าถ้าเขาเอาตัวเองออกจากไปที่นี่ได้เมื่อไหร่ เขาจะรีบไปเปิดโปงเรื่องนี้ให้แก่สาธารณชนได้รู้โดยทันที
“แต่…” เสี่ยวโม่เริ่ม แต่เขาก็ต้องชะงักไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ทว่าเย่เชียนนั้นยังคงยืนยิ้มอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าขั้นตอนแรกในการโจมตีจิตใจด้านจิตวิทยาจะเสร็จสมบูรณ์แล้วสินะ
“คุณเสี่ยว… คุณไม่คิดเหรอว่างานของคุณน่ะมันทั้งยากลำบาก แถมเงินเดือนก็น้อยอีก ไม่พอคุณยังต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอยู่เรื่อยเลย” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพและเห็นอกเห็นใจ
เสี่ยวโม่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้ มันก็จริงอย่างที่เย่เชียนพูด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาชีพนักข่าวของเขาไม่ได้ง่ายขึ้นเลย ทั้งที่เขาก็ทำงานมานานแล้ว ทุกอย่างมันก็ยังคงเหมือนเดิม เงินน้อยและเสี่ยงอันตราย วินาทีนั้นเองที่เสี่ยวโม่เหลือบตาไปมองที่เย่เชียน จู่ ๆ มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขานั้นกำลังจ้องมองใครบางคนที่มีความสนิทสนมกับเขามานานอยู่
“ถึงผมเพิ่งมาอยู่ที่เมืองหนานจิงได้ไม่นาน แต่ผมก็พอที่จะได้ยินชื่อเสียงของคุณมาอยู่บ้าง คุณน่ะมักจะต้องทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อเปิดโปงความมืดให้สังคมได้รับรู้ ผมว่ามันเป็นงานที่น่ายกย่องมากนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันก็อันตรายมากด้วยเช่นกัน คุณรู้มั้ยว่าสมัยนี้คนที่ทำงานเพื่อสังคมแบบคุณมันหาได้ยากมาก” เย่เชียนยังคงพูดชมเชยเสี่ยวโม่ต่อไปเพื่อให้เขาคล้อยตาม
เสี่ยวโม่นั้นเป็นลูกชาวนา หลังจากที่เขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้วเขาก็มาที่เมืองหนานจิงแห่งนี้เพื่อทำงานเป็นนักข่าว หัวใจของเขายึดมั่นอยู่เสมอว่าเขานั้นจะทุ่มเททุกหยาดเหงื่อแรงกายทำงานหนักเพื่อตอบแทนสังคม ถือได้ว่านี่เป็นสิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำมันให้ได้เสมอมา แต่ตลอดการทำงานหลายปีที่ผ่านมา เขาเองก็ต้องผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดีมามากมายจนนับไม่ถ้วน ซึ่งมากยากยิ่งที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดหรือข้อความสั้น ๆ หลายต่อหลายครั้งเขาแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพียงเพื่อแค่ต้องการที่จะเปิดเผยความจริงบางอย่างให้โลกได้รู้
ยิ่งเย่เชียนพูด เสี่ยวโม่ก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้นั้นเป็นคนที่ช่างเข้าใจหัวอกหัวใจคนอย่างเขาอย่างลึกซึ้ง…
เสี่ยวโม่รู้ดีว่าคนที่มีอิทธิพลอย่างเย่เชียน ถ้าเย่เชียนคิดที่จะกำจัดคนอย่างเขา มันก็เป็นเรื่องง่ายมาก ซึ่งโดยทั่วไปผู้มีอิทธิพลคนอื่น ๆ ก็มักจะทำเช่นนั้นกับเขา ไม่ว่าการเป็นการข่มขู่หรือกดดันด้วยความรุนแรง แต่เย่เชียนนั้นกลับไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น เย่เชียนกลับเลือกที่เจรจากับเขาอย่างสลบเสงี่ยมและมีจรรยาบรรณ การกระทำนี้เองที่ทำให้เสี่ยวโม่รู้สึกว่าเขานั้นต้องคิดใหม่เสียแล้วกับชายผู้นี้
“คุณเสี่ยว… คุณไม่คิดเหรอว่าผมน่ะอาจจะถูกใครสักคนโจมตีและใส่ร้ายป้ายสีน่ะ ?” เย่เชียนเริ่มเข้าประเด็น
“นี่คุณกำลังจะบอกฉันว่า ฉันถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดคุณทางอ้อมงั้นเหรอ ?” เสี่ยวโม่ถามขึ้น อย่างที่บอกว่าเขานั้นทำงานเป็นนักข่าวมากนานหลายปี และเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือใหม่อะไรเลย เพราะเพื่อน ๆ ในสายงานของเขาหลายคนก็เต็มใจที่จะทำหน้าที่เป็นหมารับใช้ให้กับผู้มีอิทธิพลบางคนโดยแลกกับเงินสินบนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น บางคนถึงขั้นจงใจเขียนข่าวเพื่อวิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีมูลอย่างเสีย ๆ หาย ๆ เลยทีเดียว
เย่เชียนพยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “ในเมื่อคุณเสี่ยวเองก็อยู่ในวงการนี้มาตั้งนานแล้ว คุณก็คงจะเคยเห็นเรื่องพวกนี้มาเยอะแยะแล้วล่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยนี่”
“มันก็จริงของคุณ ฉันน่ะได้ยินมาว่าซูเจี้ยนจุนกับจู้ซาน สองคนนั้นน่ะกำลังจัดตั้งพันธมิตรขึ้นมาเพื่อจัดการกับคุณแล้วล่ะ” เสี่ยวโม่พูด
“บางครั้งมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นมิตรแท้และใครที่เป็นศัตรู ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่นอนหรอกคุณเสี่ยว ผมว่าที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับผลกำไรในตอนนั้นล้วน ๆ นั่นแหละ ดูอย่างเช้านี้สิ เลขาของผมบอกว่าราคาหุ้นของบริษัทกำลังร่วงลงอย่างมาก หลังจากนั้นแป๊บเดียวคุณหยูซิงก็โทรเข้ามารายงานผมว่ามีเรื่องที่สโมสรนี่อีก ที่จริงตอนแรกผมน่ะคิดว่าคุณเป็นนักข่าวที่ทางซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานส่งมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของผมซะอีก แต่พอผมได้มาเจอกับคุณเสี่ยว ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคนอย่างคุณคงไม่มีทางไปร่วมมือกับสองคนนั้นแน่ ๆ ” เย่เชียนพูด
“ประ… ประธานเย่!” เสี่ยวโม่สำลักเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างเร่งรีบว่า “ฉันรู้แล้วว่าฉันต้องทำอะไร” หลังจากนั้นเขาก็กำลังจะลบรูปถ่ายและคลิปวิดีโอในกล้องและโทรศัพท์ของเขา
“เดี๋ยวคุณเสี่ยว!” เย่เชียนจับมือของเสี่ยวโม่เอาไว้และพูดว่า “ไม่ต้องหรอก… เพราะผมจะให้คำอธิบายและพิสูจน์ให้คุณเห็นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เอง แล้วถ้ามันเป็นความผิดของผมจริง ๆ ล่ะก็ คุณสามารถนำมันมาใช้จัดการกับเย่เชียนคนนี้ได้เลย ผมไม่ใช่คนที่ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าและไม่กล้ายอมรับความจริงหรอก คุณเก็บรูปภาพและหลักฐานเหล่านี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกันไว้เดี๋ยวผมพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้ว คุณค่อยพิจารณาและตัดสินใจก็ได้ว่าจะลบรูปภาพและหลักฐานเหล่านั้นหรือเปล่า”
เสี่ยวโม่มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจอย่างมาก จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น ในตอนนี้เขาเชื่อมั่นแล้วว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนดี ซึ่งซูเจี้ยนจุนและจู้ซานนั้นไม่สามารถเทียบกับเย่เชียนได้เลย เสี่ยวโม่คิดในใจว่าถ้าหากเย่เชียนขอให้เขาทำอะไรในอนาคตล่ะก็ เขาก็จะทำมันโดยไม่ลังเลใจใด ๆ อย่างแน่นอน
หลังจากที่พูดคุยกันจนเสร็จสิ้นแล้ว เย่เชียนก็เดินไปส่งเสี่ยวโม่ออกจากสโมสรเป็นการส่วนตัว ทัศนคติของเสี่ยวโม่ที่มีต่อเย่เชียนระหว่างก่อนและหลังจากที่เขาได้พบปะพูดคุยกับเย่เชียนนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ขนาดว่าเย่เชียนเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกว้างขวางขนาดนี้ แต่เขากลับพูดจาดี มีเหตุผลและให้เกียรตินักข่าวอย่างเขา เสี่ยวโม่ประทับใจมากและคิดว่าเย่เชียนคนนี้ช่างเป็นคนที่ควรค่าแก่การถูกยกย่องแล้วอย่างแท้จริง
บางครั้งการที่คนเราต้องการที่จะเอาชนะใครสักคนหนึ่ง มันก็มีวิธีการมากมายหลายต่อหลายวิธี ทว่าการเจรจาโดยสันติ มันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าลองทำเป็นอันดับต้น ๆ
เมื่อมองไปที่เย่เชียน หยูซิงก็รู้ได้ว่าชายคนนี้แหละที่เขาจะจงรักภักดีด้วย เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้มันแสดงให้เห็นว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนมีจรรยาบรรณอย่างแท้จริง เขาไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างสันติเท่านั้น แต่เขายังสามารถเอาชนะใจนักข่าวที่ชื่อเสี่ยวโม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย หยูซิงรู้สึกชื่นชมเย่เชียนเชียนมากและได้ให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปเขาจะทำงานอย่างเต็มกำลังและพร้อมที่จะสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างเคียงข้างเย่เชียนต่อไปในอนาคต
……
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้าเหนือเมืองหนานจิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ดูเหมือนว่าความวุ่นวายในตอนกลางวันของเมืองที่มีชีวิตชีวา ตอนนี้มันจะตกอยู่ในความเงียบงันไปแล้วอย่างสมบูรณ์
ที่สโมสร เย่เชียนกำลังนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ทว่าคิ้วของเขานั้นขมวดกันเป็นปมแน่น ถึงแม้ว่าความวุ่นวายในตลาดหุ้นเมื่อช่วงเช้าจะสงบลงแล้ว และผู้บริหารฝ่ายต่าง ๆ ต่างก็พยายามทำงานกันอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม ทว่าราคาหุ้นก็ยังคงลดลงจากเดิมหลายเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ถ้าหากเย่เชียนยังคงนิ่งนอนใจและปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปอย่างนี้เรื่อง ๆ ล่ะก็ ธุรกิจบางส่วนอาจประสบปัญหาจนถึงขั้นต้องล้มละลายได้
“หวนเฟิง… ฉันอยากให้นายไปทำอะไรบางอย่างน่ะ” เย่เชียนพูดขึ้นหลังจากที่จ้องมองอู๋หวนเฟิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลอยู่เป็นเวลานาน
“บอสสั่งมาได้เลย!” อู๋หวนเฟิงพูดอย่างหนักแน่น
“ฉันต้องการให้กู๋หมิงเซียงเป็นอัมพาตครึ่งตัวและไม่สามารถดูแลตัวเองได้!” เย่เชียนพูดพร้อมกับประกายแววตาที่เย็นยะเยือก เพราะถ้าหากกู๋หมิงเซียงไม่ได้ขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่เขาดูแลก่อนหน้านี้ให้กับจู้ซานและซูเจี้ยนจุนล่ะก็ มันก็จะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ การทรยศของกู๋หมิงเซียงนั้นทำให้เกิดความวุ่นวายต่อบริษัทอย่างมาก มันเป็นความจริงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และถ้าเย่เชียนไม่เชือดไก่ให้ลิงดูแล้วล่ะก็ ผู้บริหารและผู้จัดการคนอื่น ๆ ก็อาจจะทรยศลับหลังเขาอีกก็เป็นได้
อู๋หวนเฟิงพยักหน้ารับ ซึ่งในออฟฟิศนั้นเย่เชียนไม่ได้เปิดไฟ ซึ่งมันมีเพียงแสงจากภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องร่างของอู๋หวนเฟิงอย่างน่าหวาดกลัว
เย่เชียนยังคงนั่งพิงเก้าอี้ เขาหลับตาพลางคิดถึงเรื่องราวไปต่าง ๆ นานา
เวลาผ่านพ้นไปนานมากกว่าเย่เชียนจะลืมตาขึ้นมาได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องโทรไปรบกวนให้ซ่งหลันต้องลำบากอยู่ดี
“น้องชายที่แสนดีของฉัน นายคิดถึงพี่สาวคนนี้บ้างแล้วสินะ กว่าจะโทรมาได้ฉันคิดว่านายลืมฉันไปแล้วซะอีก” เสียงอันมีเสน่ห์ของซ่งหลันดังมาจากปลายสาย
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น แต่จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผมมีปัญหาบางอย่างน่ะ”
“หึ… นายมันก็เป็นซะแบบเนี้ย!” ซ่งหลันพูด “นายจะคิดถึงฉันก็ต่อเมื่อนายมีปัญหาเท่านั้นแหละ แต่เมื่อไหร่ที่นายสบายดีฉันก็จะถูกทิ้งเอาไว้เหมือนหมูเหมือนหมา ฉันมันไม่เคยอยู่ในสายตาของนายเลยใช่มั้ย ?”
เย่เชียนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาและพูดต่อไปว่า “ไม่ใช่นะ… พี่หลันหลันอย่าพูดแบบนั้นสิ ผมน่ะคิดถึงพี่ทุกวันเลย นี่ไม่รู้ตัวเลยใช่มั้ยว่าผมน่ะแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะบินกลับไปเซี่ยงไฮ้เพื่อเจอหน้าพี่ แต่มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่สามารถทิ้งมันไปได้”
“จริงเหรอ ?” เห็นได้ชัดว่าซ่งหลันนั้นไม่เชื่อคำพูดของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อย เพราะเด็กคนนี้มักจะพูดจาหวาน ๆ เพื่อหว่านล้อมเธอทุกครั้งที่เขาพยายามจะขออะไรบางอย่าง
“ก็ต้องจริงน่ะสิ… เรื่องจริงไม่อิงนิยายเลย!” เย่เชียนพูดอย่างหนักแน่น เพราะกลัวว่าพี่สาวคนนี้จะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีก
“ฉันจะเชื่อนายก็ได้! แต่นายต้องสัญญากับฉันก่อนนะว่านายต้องให้รางวัลกับฉันหลังจากเรื่องพวกนี้มันเสร็จสิ้นแล้ว” ซ่งหลันต่อรอง
“ได้สิไม่มีปัญหา… ถ้าพี่อยากได้อะไร ผมก็จะหามาให้พี่ตราบเท่าที่ผมหาให้ได้ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” เย่เชียนเหม่อมองฟ้าแล้วพูด
“นายพูดเองนะ! ฉันไม่ได้บังคับนายนะ!” ซ่งหลันยิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูดต่อ “จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก ก็… ครั้งแรกของฉันน่ะ… ฉันอยากให้นายเป็นคนทำมัน”