ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 246 ตกตะลึงกันทั่วหล้า
เช้าวันรุ่งขึ้น…
การต่อสู้กันในตลาดหุ้นยังคงดุเดือดเช่นเดิม แต่คราวนี้ฝ่ายของซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานนั้นกลายเป็นฝ่านตั้งรับแทนที่จะเป็นฝ่ายโจมตีเหมือนเมื่อวันก่อน เห็นได้ชัดว่าแผนของซ่งหลันที่วางเอาไว้มันกำลังเป็นไปได้สวยเลยทีเดียว
ส่วนทางด้านของเจียงเจิ้งยี่นั้น เรียกได้ว่าเขาได้เดินทางมาถึงยุคมืดของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะหลู่หลงกวงได้นำคดีของเขาขึ้นศาลกลางตามคำสั่งของเย่เชียนที่ต้องการฟ้องร้องให้ถึงที่สุด โดยทางฝ่ายของเย่เชียนนั้นมีทั้งหลักฐานและพยานอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะซูอิ๋งเจิ้นที่ได้ไปขึ้นศาลตามนัดเพื่อทำการเปิดโปงการทุจริต รวมไปถึงการรับและติดสินบนของเจียงเจิ้งยี่ทั้งหมด
การปรากฏตัวของซูอิ๋งเจิ้นนั้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับเจียงเจิ้งยี่เป็นอย่างมาก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงที่มีศักดิ์เป็นเมียน้อยอันเป็นที่รักที่สุดของเขาจะหักหลังเขาเช่นนี้
มันจบแล้วสินะ… เส้นทางการเมืองของเจียงเจิ้งยี่!
นอกจากเจียงเจิ้งยี่ที่ถูกเรียกตัวไปขึ้นศาลกลางแล้ว ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเองก็ถูกเรียกตัวไปด้วยเช่นกัน เพราะทั้งสองคนก็เคยมีประวัติพัวพันกับการติดสินบนให้เจียงเจิ้งยี่มาก่อน
แน่นอนว่าข่าวอื้อฉาวเหล่านี้ได้ถูกนักข่าวจากทุกสำนักทำการเปิดเผยไปจนทั่วเมืองจีน ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เมืองหนานจิงมีข่าวฉาวและประเด็นร้อนให้ผู้คนได้ติดตามกันหลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นข่าวของเย่เชียนที่ขึ้นมารับตำแหน่งใหม่จากยักษ์ใหญ่เฉินฟู่เฉิง
ทางด้านของเหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงเองก็ไม่นิ่งนอนใจ หลังจากที่ข่าวต่าง ๆ ถูกแพร่สะพัดออกไป พวกเขาก็ประกาศจัดการประชุมครั้งใหญ่ทั่วทั้งมณฑลเลยทันที นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เหมิงฉางเต๋อนั้นให้ความสำคัญกับปัญหาการทุจริตอย่างเป็นทางการ เขามีคำสั่งให้ตรวจสอบวินัยของคณะกรรมการทั่วทั้งมณฑลเจียงซูทุกระดับอย่างเข้มงวดและถี่ถ้วน เป็นผลให้บรรดาเจ้าหน้าที่หลายคนเกิดความวิตกกังวลว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
อันที่จริงแล้วเหมิงฉางเต๋อนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการมณฑลเจียงซูมาตั้งนานแล้ว ซึ่งตอนนี้มันก็ใกล้จะหมดเวลาเกษียณอายุของเขาเข้ามาเต็มที แต่ทว่าตลอดเวลาที่เขาครองตำแหน่งผู้ว่าการมา เขายังไม่มีผลทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่อะไรให้เห็นเลย เพราะเช่นนั้นการกระทำในครั้งนี้ของเขาก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เหมิงฉางเต๋อจะสร้างความสำเร็จทางการเมืองเพื่อจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของมณฑลเจียงซู
อีกข่าวหนึ่งที่เป็นที่สนใจของประชาชนไม่แพ้เรื่องการทุจริตของเจียงเจิ้งยี่หรือผลงานของเหมิงฉางเต๋อเลยก็คือ ข่าวที่เย่เชียนถูกทำร้ายที่สถานีตำรวจ สำนักข่าวเล็กใหญ่ทุกสำนัก รวมไปถึงโลกอินเตอร์เน็ตต่างก็พาดหัวข่าวกันอย่างดุเดือดถึงการกระทำอันไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในครั้งนี้ ภาพข่าวที่เป็นใบหน้าอันฟกช้ำและเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์มากมายยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความรุนแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง
เสี่ยวโม่ ผู้สื่อข่าวที่มีความประทับใจในตัวเย่เชียนอยู่แล้วเมื่อก่อนหน้านี้ยิ่งรู้สึกชื่นชมในตัวของเย่เชียนมากขึ้นไปอีก เขาคิดว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่เสียสละอย่างยิ่งใหญ่และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะเย่เชียนคนนี้สามารถแคล้วคลาดการโจมตีอันแยบยลของเจียงเจิ้งยี่ได้อย่างสง่างาม
จากที่ผู้คนเคยพูดถึงเย่เชียนในฐานะนักธุรกิจหน้าใหม่แห่งเมืองหนานจิง ตอนนี้พวกเขาต่างก็พากันยกย่องและสรรเสริญความไม่ยอมแพ้และความไม่ท้อถอยอันเข้มแข็งของเย่เชียนไปอีก พวกเขาต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตอย่างรุนแรงและเด็ดขาด
ความวุ่นวายครั้งใหญ่นี้เริ่มลุกลามไปทั่วทั้งมณฑลเจียงซูโดยมีเมืองหนานจิงเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งแม้แต่รัฐบาลกลางเองก็ติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ณ เมืองเซี่ยงไฮ้
ฉินเทียนกำลังถือหนังสือพิมพ์ที่มีรูปถ่ายใบหน้าที่มีแผลฟกช้ำของเย่เชียนอยู่ในมือ รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่างมีความสุข จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับจางเซียงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า “พี่จาง… พ่อหนุ่มคนนี้เขามีพิษสงร้ายซะยิ่งกว่าพวกเราสมัยหนุ่ม ๆ อีกนะว่าไหม ? ตอนนี้มันแทบจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไปแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเด็กคนนี้น่ะไม่ธรรมดา! ดูอย่างครั้งแรกที่ฉันเจอเขาสิ เขามาขโมยรถฉันไปอย่างไม่ลังเลเลยนะ! พ่อหนุ่มคนนี้เป็นคนแรกเลยที่กล้ามาทำแบบนี้กับฉันน่ะ ” จางเซียงพูด
“เด็กคนนี้มันจะเก่งขั้นเทพเกินไปแล้ว! ดูสิ… ขนาดแม้แต่ฉันเองยังไม่รู้เลยว่าเขาน่ะไม่เอากองกำลังทหารมาจากที่ไหน นี่เล่นถึงขนาดเรียกทหารทั้งกองทัพมาปิดล้องสถานีตำรวจเลยนะ มันน่าประทับใจมากเลยจริง ๆ !” ฉินเทียนพูด “ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของฉันมันจะถูกต้องแล้วที่พาเขาไปหาเฉินฟู่เฉิงน่ะ”
“ประธานตัดสินใจแล้วจริง ๆ เหรอ ?” จางเซียงถาม
ฉินเทียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “โลกเรามันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นะพี่จาง… ตอนนี้มันหมดยุคของคนแก่รุ่นเราแล้ว พวกเราควรจะปล่อยวางและไปพักผ่อนได้แล้ว ขืนทำงานต่อไปมีหวังพวกเราคงจะนอนตายตาไม่หลับ”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉินเทียนพูดมามันจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็ไม่ผิดนัก เพราะเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป คนรุ่นใหม่ก็ต้องเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าเป็นธรรมดาของโลกอยู่แล้ว มันเป็นหลักการที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มันก็จริง… สมัยนี้จะเอาเราไปเทียบกับคนหนุ่มคนสาวมันก็คงจะไม่ไหวหรอก แต่จะว่าไป… คุณหนูหยูเอ๋อร์น่ะกำลังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพ่อหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เหรอ ? ฉันว่ามันน่าจะเป็นการดีถ้าเราจะให้พวกเขาทั้งสองคนแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด ประธานจะได้มีหลานให้อุ้มกะเขาซักทีไง” จางเซียงแนะ
ทว่าฉินเทียนกลับส่ายหัวไปมา “เรื่องแบบนี้เราคงเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก เพราะเด็กคนนี้น่ะมีบางอย่างที่เหมือนกับฉันเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ที่เอาแต่มุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ และจะทะเยอทะยานทำมันจนกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกอย่างเขาน่ะให้ความสำคัญกับความรักและมิตรภาพมากกว่าสิ่งใด พวกเราควรปล่อยให้พวกเขาจัดการเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ กันเอาเอง ฉันรู้จักลูกสาวของฉันดี… หยูเอ๋อร์น่ะเป็นคนหัวดื้อ ไม่มีใครไปบังคับอะไรเธอได้หรอก สงสัยเลือดแม่ของเขาจะแรงน่ะ ฮ่า ๆ ๆ ”
จางเซียงถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่เมื่อได้ยินฉินเทียนพูดถึงเหยาเหยาแม่ของฉินหยูในรอบหลายสิบปี เมื่อนึกถึงเรื่องของทั้งสองคนนี้แล้วมันก็ทำให้จางเซียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราออกมาเบา ๆ
เพราะย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน ฉินเทียนนั้นปฏิบัติต่อเหยาเหยาอย่างเย็นชาและคลุมเครือแบบเดียวกับที่เย่เชียนและฉินหยูมีให้กันในตอนนี้นี่แหละ ซึ่งในช่วงเวลานั้นคนที่อยู่รอบข้างฉินเทียนต่างก็รู้ดีว่าฉินเทียนมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเหยาเหยา แต่เขาดันเป็นคนปากแข็งเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกไป ทว่าในท้ายที่สุดเหยาเหยาก็สบโอกาสในวันเกิดของเธอในการมอมเหล้าฉินเทียน เพราะฉินเทียนนั้นคออ่อนมาก เขาดื่มเพียงไม่กี่แก้วก็เมาแอ๋แล้ว ในที่สุดทั้งคู่ก็มีอะไรเกินเลยกันในค่ำคืนนั้น
ครั้งเดียวติด! เพียงแค่เผลอเกินเลยกันไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นมันก็ทำให้ไม่กี่เดือนต่อมาท้องของเหยาเหยาก็เริ่มโตขึ้นจนสังเกตได้ ฉินเทียนจึงได้แต่งงานกับเหยาเหยาตามประเพณี ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันจะฟังดูแปลก ๆ หน่อย แต่มันก็เป็นการแต่งงานด้วยความรักในแบบฉบับของทั้งคู่
ซึ่งในมุมของฉินเทียนนั้นเขาก็คิดว่าเย่เชียนและฉินหยูก็คงจะมีรูปแบบของตัวเองในการดำเนินไปเช่นกัน
……
ณ เครือชิงกรุ๊ปของแก๊งชิง
ตู้เหลียนเฉิงเองก็กำลังถือหนังสือพิมพ์อยู่เช่นกัน ซึ่งด้านหน้าของเขาก็มีชายหนุ่มนั่งอยู่อีกคนหนึ่ง นั่นก็คือ หมาป่าดำเขี้ยวมังกรม่อหลงนั่นเอง
“นี่คุณกำลังพูดถึงเด็กหนุ่มคนนี้หรือเปล่า ?” ตู้เหลียนเฉิงถามพลางชี้ไปที่รูปถ่ายของเย่เชียนที่อยู่ในหนังสือพิมพ์
ม่อหลงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ใช่… เขาเป็นผู้นำกลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเรา ราชาหมาป่าเย่เชียน! คุณน่าจะจำเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ใช่มั้ย ? เขานี่แหละที่เป็นคนจัดการซือตู้ริเหรินเจ้าของโรงน้ำหอมเหรินจือ กลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเรากำลังเตรียมเคลื่อนทัพเข้าสู่ประเทศจีนแล้ว เดิมทีฐานที่มั่นแรกของเราก็คือเซี่ยงไฮ้ แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันตอนนี้คงจะเป็นเมืองหนานจิงที่จะเป็นฐานทัพแรกของเราแทน”
“ม่อหลง… ในเมื่อคุณน่ะเป็นถึงเจ้าแห่งม่อจื๊อ ฉันก็ควรที่จะฟังคุณ แต่ถึงยังไงแล้วรากฐานอันเก่าแก่นับศตวรรษของแก๊งชิงของเรา มันก็ไม่สามารถสืบทอดกันแบบนี้ได้โดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ ต่อให้ฉันจะทำแบบนั้นก็ตามเถอะ แต่พี่น้องคนอื่น ๆ ล่ะ ? เขาจะยอมเหรอ ? แล้วคุณล่ะ… คุณเคยคิดที่จะถอนตัวออกจากเขี้ยวหมาป่าบ้างมั้ย ? ด้วยพลังและอิทธิพลทั้งหมดของฉัน ฉันรับประกันได้เลยว่าฉันจะสามารถช่วยคุณในการฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของสำนักม่อจื๊อให้กลับมามีสง่าราศีใหม่ได้อีกครั้งในยุคนี้!” ตู้เหลียนเฉิงพูดอย่างยินดี
ม่อหลงขมวดคิ้วเล็กน้อยและแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นแววตาแห่งความดุร้ายในทันที เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันเข้าใจความหวังดีของคุณนะ แต่ฉันจะดูแลสำนักม่อจื๊อของฉันเอง ถึงยังไงก็เถอะ! ฉันขอแนะนำคุณว่าอย่ามาขวางทางเขี้ยวหมาป่าของเราจะดีกว่า ไม่อย่างงั้นก็อย่ามาโทษฉันที่ไร้เยื่อใยกับพวกคุณก็แล้วกัน”
ม่อหลงพูดจบ ตู้เหลียนเฉิงก็ขมวดคิ้วแน่น ขณะเดียวกันลูกน้องทั้งสองคนของเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ก้าวออกมาข้างหน้าทันทีและเอาปืนจ่อไปที่หัวของม่อหลง
ทว่าม่อหลงกลับไม่ได้มีท่าทีที่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงมองไปที่ตู้เหลียนเฉิงแล้วพูดว่า “อะไรกัน ? คุณต้องการที่จะฆ่าฉันอย่างงั้นเหรอ ?”
ปากและคิ้วของตู้เหลียนเฉิงกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นและตบหน้าของลูกน้องทั้งสองคนและตำหนิว่า “ไอ้พวกเวรนี่! ใครสั่งกันวะ!” จากนั้นเขาก็เหลือบไปที่ม่อหลงและพูดว่า “แค่เด็กน้อยน่ะ… อย่าไปใส่ใจเลย ฉันยังคงยืนกรานแบบเดิมเพราะธุรกิจของเครือชิงกรุ๊ปของเราได้รับผลกระทบอย่างหนักจากรุ่นก่อนหน้าของฉัน และตู้เหลียนเฉิงคนนี้จะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่าคุณม่อหลงต้องการที่จะฟื้นคืนสำนักม่อจื๊อล่ะก็… ฉันก็จะเต็มใจช่วยอย่างถึงที่สุด”
ม่อหลงยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “นั่นมันเป็นความรับผิดชอบของฉันอยู่แล้วที่ต้องฟื้นคืนสำนักม่อจื๊อขึ้นมา… ลาก่อน!”
“เดี๋ยวคุณม่อหลง… อย่าเพิ่งไป!” ตู้เหลียนเฉิงรีบพูดอย่างร้อนรน แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นตู้เหลียนเฉิงก็เหลือบไปมองทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาและพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปติดต่อองค์กรนักฆ่านานาชาติซะ บอกให้พวกเขารีบถอนตัวออกไปเดี๋ยวนี้! เพราะถ้าหากว่าพวกเขาไม่ยอมถอนตัวออกไปล่ะก็ ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนฝังพวกเขาทั้งหมดในแผ่นดินจีนแห่งนี้เอง!”
ทั้งสองตอบรับและหันหลังเดินออกไป
……
ณ มณฑลเจ้อเจียง
หลินไห่และซูเหม่ยก็นั่งกันอยู่ในบ้านและมองดูหนังสือพิมพ์ในมือ หลินไห่หัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า “ให้ตายสิซูเหม่ย! หนุ่มน้อยคนนี้เขามาเยือนเมืองหลวงเก่าแก่แห่งหกราชวงศ์จริง ๆ แล้วเป็นไงล่ะ ? ตอนนี้เมืองหลวงเก่าแก่แห่งหกราชวงศ์ต้องสั่นคลอนเพราะเขาแล้ว ฮ่า ๆ ๆ นี่มันยอดเยี่ยมไปเลย!”
ซูเหม่ยถึงกับตกตะลึงอย่างมาก เธอไม่คาดคิดเลยว่าเย่เชียนจะมีความสามารถมากมายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินเขาต่ำเกินไปมาก หรือว่าบางทีการที่หลินโรโร่วได้แต่งงานกับเขานั้นมันจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริง ๆ ? เมื่อเป็นเช่นนั้นความเจริญรุ่งเรืองและความรุ่งโรจน์ของตระกูลหลินก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
“ซูเหม่ยคุณคิดยังไงบ้างล่ะ ?” หลินไห่ถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ ? คุณน่ะไม่เคยสนใจลูกสาวของคุณเลย เพราะถ้าคุณถามฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอก” ซูเหม่ยพูดอย่างเฉยเมย
หลินไห่หัวเราะเบา ๆ แล้วถามว่า “โรโร่วโทรกลับมาบ้างหรือเปล่า ? ลูกอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ?”
“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก… สถานที่กันดารแบบนั้นมีทั้งโรคภัยไข้เจ็บและความอดอยากเท่านั้นแหละ ฉันก็แค่กังวลว่าลูกจะอดทนได้หรือเปล่า” ซูเหม่ยพูดอย่างทุกข์ใจ
“คุณนี่นะทำเป็นปากแข็งมาตลอด! แล้วดูสิ… ตอนนี้คุณเริ่มรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับลูกสาวของคุณแล้ว” หลินไห่พูดติดตลก
ซูเหม่ยจ้องเขม็งไปที่หลินไห่และพูดว่า “แหมคุณนี่ก็…! มีแม่คนไหนบ้างล่ะที่จะไม่สนใจและห่วงใยลูกสาวของตัวเองน่ะ ?ว่าแต่คุณเองเถอะ คุณคิดว่าคุณทำตัวเหมือนพ่อของเธอแล้วหรือไง ?”
หลินไห่ได้แต่หัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ
……
ทางด้านของเย่เชียนนั้น เขาไม่ได้สนใจความวุ่นวายภายนอกเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ เพราะที่บริษัทก็มีซ่งหลันคอยช่วยดูแลให้ ส่วนเจียงเจิ้งยี่นั้นก็ถึงจุดจบในหน้าที่การงานและหมดอนาคตแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดคุกในครั้งนี้ก็ตาม
ซึ่งในทุก ๆ วันของเย่เชียน เขานั้นก็ไม่ลืมที่จะพาหวงฟู่เส้าเจี๋ยไปที่ชมรมชาร์ปไนฟ์เพื่อทำการฝึกฝน ซึ่งเย่เชียนนั้นได้พยายามอย่างเต็มที่ในการทำหน้าอาจารย์ แต่เขาก็ต้องผิดหวังเล็กน้อยกับหวงฟู่เส้าเจี๋ย เพราะหนุ่มคนนี้มักขะเหนื่อยล้าเป็นประจำหลังการฝึก และบางครั้งเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการที่จะฝึกฝนต่อก็ตาม