ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 249 จุดเดือดแห่งความโกรธ
เย่เชียนส่ายหัวเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ
เหมิงฉางเต๋อตบบ่าเย่เชียนเบาๆ และพูดว่า “ไอ้พวกอาชญากรเหล่านั้นมันกล้าเกินไป..ถึงกับกราดยิงอย่างอุกอาจกลางเมืองกลางถนนแบบนี้..น้องเย่เรื่องนี้วางใจได้เลย..เพราะฉันจะสั่งให้ทุกฝ่ายตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดและจะให้คำอธิบายและการชี้แจงต่างๆ โดยเร็ว”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณครับ!” อันที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นก็รู้ดีว่าถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะถูกส่งให้ตำรวจและส่วนกลางสืบสวนและตรวจสอบแค่ไหนแต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย นั่นก็เพราะว่าพวกเขาจะไม่สามารถหาข้อมูลอะไรใดๆ ได้เลย และเย่เชียนเองก็ไม่ได้คาดหวังให้ตำรวจเหล่านี้มาช่วยเพราะถ้าหากใครกล้าที่จะทำร้ายพี่น้องของเขาแล้วล่ะก็มันก็ต้องจ่ายคืนด้วยเลือดเพียงเท่านั้น
เหมิงฉางเต๋อพยักหน้าและพูดว่า “อย่ากังวลมากนักเลย..น้องเย่เหนื่อยมากแล้วกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ..เดี๋ยวฉันจะคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้..และให้พวกพยาบาลเฝ้าดูอาการอย่างเคร่งครัดเองจะได้ไม่มีปัญหา..ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ขอบคุณครับ” เย่เชียนพูดต่อ “ลุงเหมิงไปทำธุระของคุณเถอะ..ผมไม่เป็นไร..คุณไม่ต้องห่วงผมจะไม่ทำอะไรที่มันไม่มีเหตุผลหรอก”
“ดีแล้ว” เหมิงฉางเต๋อพยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นฉันไปก่อนละกัน..เรื่องนี้ให้พวกตำรวจจัดการซะ..มันจะต้องมีข้อมูลและคำตอบที่น่าพอใจอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบเหมิงฉางเต๋อก็ถอนหายใจเหือกใหญ่ๆ แล้วเดินจากไป
อู๋หวนเฟิงก็ถูกย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉินเช่นกัน ซึ่งการที่เขาจะตื่นขึ้นมาได้นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและความพยายามของอู๋หวนเฟิงเอง ซึ่งนี่มันก็เป็นเรื่องที่น่าขันเล็กน้อยเพราะแพทย์และหมอไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้ได้และหวังเพียงปาฏิหาริย์ของคนไข้เพียงเท่านั้น
เย่เชียนเหลือบมองซ่งหลันและพูดว่า “พี่หลันกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ..วันนี้พี่เจอมาหนักมากพอแล้ว..ผมอยู่เฝ้าหวนเฟิงเองได้”
“ฉันไม่เป็นไร..ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายที่นี่” ซ่งหลันพูด
เย่เชียนยิ้มเจื่อนๆ อย่างน่าลำบากใจและพูดว่า “ไม่เป็นไรพี่กลับไปเถอะ..ผมอยากอยู่คนเดียว!”
ซ่งหลันเหลือบมองไปที่เย่เชียนและแอบถอนหายใจอยู่ในใจเพราะเธอรู้ว่าในหัวใจของเย่เชียนนั้นไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นซ่งหลันก็ลูบไหล่เย่เชียนเบาๆ และลุกขึ้นจากนั้นเธอก็ออกไปจากโรงพยาบาลทันที
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันแน่นพลางตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้และไตร่ตรองว่าเขี้ยวหมาป่านั้นก็มีศัตรูอยู่มากมายแต่หลังจากที่ไล่กวาดล้างมานานหลายปีแล้วมันก็เหลือศัตรูอยู่เพียงไม่กี่พวกเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นในประเทศจีนนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนจู้ซานและซูเจี้ยนจุนก็ไม่น่าจะใช่ผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาทั้งสองไม่มีเครือข่ายหรืออิทธิพลด้านนี้นัก ซึ่งบุคคลที่เป็นไปได้ที่จะศัตรูกับเย่เชียนก็คือเหว่ยเฉิงหลงจากเครือตงเซียนกรุ๊ปและเฝิงเฝิงราชาแห่งขุนเขาและตู้เหลียนเฉิงจากแก๊งชิงหรือเครือชิงกรุ๊ป นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดในการเคลื่อนไหวแบบนี้ และยิ่งไปกว่านั้นความบาดหมางระหว่างเหว่ยเฉิงหลงกับเย่เชียนนั้นก็อาจพูดได้ว่ามากที่สุดเพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นเหว่ยเฉิงหลังนั้นก็มากที่สุดเช่นกัน ส่วนเฝิงเฝิงก็อาจจะแก้แค้นให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งที่แล้วแต่ก็ไม่มีใครทราบได้ สำหรับตู้เหลียนเฉิงแห่งแก๊งชิงนั้นเนื่องจากเย่เชียนรุกรานเขตของพวกเขาในครั้งที่แล้วแต่พวกนั้นกลับไม่ได้ตอบโต้เรื่องนั้นเลยเพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นได้ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีหมาป่าผีไป๋ฮวยอีกเพราะเขาก็อยากที่จะโค่นล้มและทำลายเขี้ยวหมาป่ามาโดยตลอด แต่เย่เชียนก็เชื่อว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยจะไม่ใช้วิธีการแบบนี้อย่างแน่นอน ส่วนความเป็นไปได้ของฝ่ายอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่นอกจากนี้แล้วเย่เชียนก็ไม่ทราบเช่นกัน
อู๋หวนเฟิงยังคงนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินและไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เขาจะตื่นขึ้นมา หัวใจของเย่เชียนนั้นเจ็บปวดและรวดร้าวราวกับถูกมีดแทง
เมื่อแจ็คมาถึงที่โรงพยาบาลมันก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้วและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนที่นั่งอยู่บนเอ้ากี้ตรงทางเดินของโรงพยาบาลด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าของเย่เชียนก็ทำให้แจ็ครู้สึกใจไม่ดีและรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติอย่างมากแจ็คจึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วถามว่า “บอสเกิดอะไรขึ้น?”
“หวนเฟิงถูกยิง! ..และยังนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินอยู่เลย..ฉันไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่เขาจะตื่นขึ้นมา” เย่เชียนนึกถึงเรื่องนี้พร้อมกับโทษตัวเองอยู่ลึกๆ ในใจและเมื่อคิดเช่นนั้นแล้วเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น พลางคิดว่าถ้าหากว่าเขามาถึงเร็วกว่านี้ล่ะก็บางทีอะไรๆ มันก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้
คำพูดของเย่เชียนราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจและแจ็คก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัว “ห๊ะ! ..มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ..ใครเป็นคนทำพี่น้องของเรา!” แจ็คตะโกนอย่างตกตะลึงและถึงกับทำให้นางพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลหันมาทางเขาและชำเลืองมองและเมื่อพบว่าเย่เชียนก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเธอก็หันกลับไปอย่างหมดหนทาง นั่นก็เพราะว่าสถานการณ์เมื่อช่วงบ่ายยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอและถ้าหากว่าเหมิงฉางเต๋อมาไม่ทันเวลาล่ะก็หมอผ่าตัดคนนั้นก็อาจจะถูกเย่เชียนโยนลงไปชั้นล่างอย่างแน่นอน
“ที่ฉันให้นายมาที่นี่ก็เพื่อจะให้นายช่วยตรวจสอบเรื่องนี้น่ะ” เย่เชียนพูดขณะที่เขายืนขึ้น “ตามฉันมา..เราจะไปที่ห้องชันสูตรศพและไปดูร่างของพวกที่ไล่ล่าหวนเฟิงกัน..ฉันอยากรู้ที่มาที่ไปของพวกนั้นและคนที่อยู่เบื้องหลังที่สั่งการเรื่องพวกนี้”
แจ็คก็พยักหน้าและเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ณ ห้องชันสูตรศพของโรงพยาบาลนั้นกลางดึกเช่นนี้ดูน่ากลัวอย่างมากมาก ซึ่งมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ประตูห้องเก็บศพและกำลังดื่มเบียร์อย่างสบายใจเฉิบ เขาคนนี้ทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้มาหลายสิบปีแล้วและเขาก็เคยเห็นคนตายและศพมาแล้วเป็นพันๆ ศพซึ่งมันทำให้เขานั้นลืมไปหมดแล้วว่าความกลัวนั้นคืออะไร
เมื่อเห็นเย่เชียนและแจ็คกำลังจะเข้าไปในห้องเก็บศพนั้นชายชราคนนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบและไปขวางทางพวกเขาเอาไว้และพูดว่า “นี่เป็นห้องเก็บศพนะ..หลานชายเข้าไปไม่ได้หรอก”
เย่เชียนนั้นที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่เขาจึงไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพียงขมวดคิ้วด้วยความโกรธเกรี้ยว ส่วนแจ็คก็รีบเดินเข้าไปหาชายชราคนนั้นและหยิบธนบัตร 100 หยวนออกมาสามใบและยื่นมือออกไปเพื่อวางเงินใส่มือของชายชราคนนั้นและพูดว่า “ลุง..เราแค่เข้าไปดู..ไม่ต้องห่วง”
เงินเดือนต่อเดือนของชายชรานั้นไม่มากไปกว่า 1000 หยวนและคราวนี้แจ็คก็ให้เงินเกือบครึ่งเดือนของเขาอย่างง่ายดายและเมื่อเป็นเช่นนั้นชายชราก็รับเงินเอาไว้และใส่มันเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและพูดว่า “ก็ได้ๆ ..ฉันจะพาพวกหลานเข้าไปนะ..แต่จำไว้ล่ะว่าอย่าแตะต้องศพตามอำเภอใจและห้ามดูหมิ่นหรือไม่ให้เกียรติคนตายล่ะ”
เขาเห็นเรื่องแบบนี้มามากแล้วและเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งเพราะครอบครัวของผู้เสียชีวิตบางคนก็มักจะไม่พอใจและโกรธเกรี้ยวอย่างมากและพยายามกรูกันเข้าไปในห้องเก็บศพและทำลายศพของฆาตกรหรือผู้กรณีที่ฆ่าญาติของพวกเขา ซึ่งชายชราก็แอบคิดว่าพวกเขาอาจจะเหมือนกันกับคนพวกนั้น
ชายชราก็เปิดประตูและเดินเข้าไปส่วนเย่เชียนและแจ็คก็เดินตามเข้าไป อุณหภูมิในห้องเก็บศพนั้นต่ำอย่างมากเพราะพวกเขากลัวศพจะเสียหายและเน่าเปื่อย
“ลุงครับ..ศพของวันนี้ที่มาพร้อมกันหลายๆ ศพอยู่ตรงไหนหรอ” แจ็คถาม
“โอ้..นี่ไง!” ชายชราพูดขณะเปิดตู้แช่แข็งและพูดว่า “ศพอื่นๆ ของพวกเขาก็อยู่แถบนี้หมด..เห้อ..ฉันไม่คิดเลยว่าใครจะโหดร้ายถึงขนาดนี้..ถึงกับฆ่าคนตั้งหลายคนในวันเดียว..เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ..ฉันคิดไม่ถึงเลย”
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันแน่นและมุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อยแจ็คจึงรีบห้ามเย่เชียนเอาไว้และพูดกับชายชราว่า “เอาหน่าลุงไม่มีอะไรหรอก..พวกผมแค่เข้ามาดูเฉยๆ ..ลุงออกไปก่อนเถอะ”
ชายชรามองไปที่เย่เชียนและแจ็คขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าจากนั้นเขาก็พยักหน้าและหันกลับไปและเดินออกไปจากห้องเก็บศพ
แจ็คก็เปิดถุงพลาสติกที่ห่อศพเอาไว้ซึ่งมันมีรูทะลุที่หน้าอกของศพพร้อมกับมีดบินของอู๋หวนเฟิง จากนั้นแจ็คก็ถกเสื้อขึ้นและคิ้วของแจ็คก็ขมวดแน่นจากนั้นก็พูดว่า “บอส! ..นี่มันเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างดอกฝิ่น..ไอ้พวกนี้มันทำงานในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้! ..บอสดูสิพวกมันมีรอยสักดอกฝิ่นอยู่ตามตัว..ต้นกำเนิดของพวกมันคือกองกำลังต่อต้านรัฐบาลในปักกิ่งทางใต้..พวกมันใช้วิธีนี้เพื่อสะสมทุนและสร้างกองทัพของตนเองเพื่อพยายามล้มล้างรัฐบาลหยวนหนาน”
ตามชื่อก็หมายถึงดอกฝิ่นและบางทีในสายตาของคนนอกนั้นดอกฝิ่นอาจเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งแต่ทว่าในสายตาของพวกนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ก็คืออาหารและเสื้อผ้าของพวกเขาซึ่งพวกนั้นต่างก็เพาะปลูกฝิ่นและแอบลักลอบขายเพื่อเลี้ยงชีพเสมอมา
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพึมพำว่า “ทหารรับจ้างดอกฝิ่น..แล้วรู้มั้ยว่าสำนักงานใหญ่ของพวกมันอยู่ที่ไหน?”
“รายละเอียดมันไม่ชัดเจนเลย..แต่ก็น่าจะอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถวๆ สามเหลี่ยมทองคำน่าจะเป็นไปได้ที่สุด..ระหว่างประเทศไทย..ลาวและเมียนมาร์มีโอกาสมากที่สุด..ใช่ๆ เฟิงหลานและคนอื่นๆ ก็อยู่แถวๆ นั้น..บอสบอกให้พวกเขาไปตรวจสอบก่อนก็ได้..และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีนายพลหวังเต๋อเซินที่ปักหลักอยู่เมียนมาร์มาตั้งนานแล้ว..เขาน่าจะรู้เรื่องพวกนี้บ้างแหละ..และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก”
“นายรีบไปติดต่อเฟิงหลานและขอให้พวกเขาช่วยตรวจสอบในทันที..และติดต่อไปหานายพลหวังเต๋อเซินให้เขาช่วยตรวจสอบให้ด้วย” เย่เชียนพูดต่อ “และบอกพวกเขาไปด้วยว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะรีบไปสมทบด้วย! ..ไอ้พวกดอกฝิ่น! ..มันต้องพินาศ!”
แจ็คพยักหน้าตอบและหลังจากนั้นแจ็คก็ดึงมีดออกมาและเฉือนหนังตรงส่วนรอยสักดอกฝิ่นบนร่างกายของชายคนนั้นออกและเนื่องจากศพถูกแช่แข็งเอาไว้จึงไม่มีเลือดเปื้อนอะไรใดๆ “นี่เป็นหลักฐานที่สำคัญ..เมื่อถึงเวลาเราสามารถใช้สิ่งนี้ในการยืนยันได้”
เย่เชียนก็พยักหน้าและหลังจากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากห้องเก็บศพและแจ็คก็บอกกับชายชราว่าห้ามบอกใครว่าเขากับเย่เชียนมาที่นี่ ซึ่งชายชราก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างง่ายดายเพราะถ้าหากเรื่องแบบนี้หลุดออกไปล่ะก็เขาก็จะตกงานและต้องรับผิดชอบและถูกดำเนินคดีทางอาญาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากออกจากห้องเก็บศพแล้วแจ็คก็โทรหาเฟิงหลานทันทีเพื่อถ่ายทอดคำสั่งของเย่เชียน ส่วนเย่เชียนก็โทรหาชิงเฟิง และบอกให้ชิงเฟิงรีบจองเที่ยวบินไฟต์เมียนมาร์ในทันที ซึ่งชิงเฟิงก็ดูมีความสุขเป็นอย่างมากเพราะเห็นว่าบอสของเขาที่ดูกระตือรือร้นและกำลังจะสร้างความวุ่นวายในโลกใบนี้อีกครั้ง ซึ่งในตอนแรกชิงเฟิงก็รู้สึกสนุกสนานที่ทรมานเจ้าหน้าที่ที่เข้ารับฝึกอบรมกับเขาแต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หมดความสนใจในเรื่องนี้ไปในทันที ทว่าชิงเฟิงก็ได้ยินว่าน้ำเสียงของเย่เชียนนั้นแปลกไปเขาจึงตระหนักได้ว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าชิงเฟิงจะตื่นเต้นมากสักแค่ไหนก็ตามแต่ชิงเฟิงก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงดังใส่โทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้นั้นชิงเฟิงไม่กล้าที่จะทำให้เย่เชียนโกรธ เพราะไม่เช่นนั้นความปรารถนาของเขาที่จะได้ไปเมียนมาร์กับเย่เชียนจะต้องพังพินาศลงอย่างแน่นอน และหลังจากที่วางสายไปชิงเฟิงก็หยิบโทรศัพท์ออกมาทันทีและเตรียมที่จะสั่งซื้อตั๋วบินออนไลน์ แต่ทว่าเนื่องจากมันดึกมากแล้วชิงเฟิงจึงโทรไปที่สำนักงานของสนามบินผู่ตงโดยตรงและจองตั๋วเครื่องบินสองใบไฟต์เมียนมาร์สำหรับบ่ายวันพรุ่งนี้
แจ็คเดินมาที่ด้านข้างของเย่เชียนหลังจากที่คุยโทรศัพท์กันเสร็จและพูดว่า “บอส! ..ผมแจกแจงรายละเอียดให้แล้ว”
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “แจ็ค..หลังจากที่ฉันเดินทางแล้วนายมีหน้าที่ดูแลหวนเฟิงนะ..และหลี่เหว่ยจะดูแลบริษัทไอร่อนบลัดชั่วคราวเอง..และถ้าหวนเฟิงตื่นแล้วล่ะก็นายรีบโทรหาฉันทันทีเลยนะ” อันที่จริงมันมีอีกประโยคหนึ่งที่เย่เชียนนั้นไม่ได้พูดออกไปซึ่งนั่นก็คือ ‘ถ้าหวนเฟิงตายแล้วนายก็โทรมาบอกฉันด้วย’ ซึ่งนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เย่เชียนไม่ต้องการรู้ไม่ต้องการเห็น ดังนั้นเขาจึงกลืนคำพูดนั้นลงไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่อู๋หวนเฟิงจะตื่นขึ้นมานั้นมีน้อยมาก แต่ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยสักแค่ไหนมันก็จะต้องเป็นไปได้
.
.
.
.
.
.
.