ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 251 เชิญศัตรูเข้าถ้ำเสือ
หวังเต๋อเซินถอนหายใจและอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “แล้ว..ต้องใช้เท่าไหร่ล่ะน้องเย่..ฉันใช้เงินจำนวนมากไปกับอาวุธยุทโธปกรณ์ล่าสุดเหล่านี้ไปหมดแล้ว”
เย่เชียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน..แต่ผมจะคอยสนับสนุนพี่ใหญ่ให้”
นี่คือสิ่งที่หวังเต๋อเซินอยากจะได้ยินอย่างมากและเมื่อเย่เชียนพูดออกมาหวังเต๋อเซินก็มีความสุขทันทีเขาจึงรีบพูดว่า “ถ้าน้องเย่พูดแบบนี้ฉันก็สบายใจ..ฮ่าฮ่า”
เมื่อหวังเต๋อเฉินพูดคำเหล่านั้นเย่เชียนก็เดาได้แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ทว่าสถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่ได้เปรียบอย่างมากเย่เชียนจึงไม่ได้สนใจเรื่องเงินมากนัก และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเงินก็ยังมีสิทธิ์ที่มันจะหมุนเวียนเข้ามาโดยธรรมชาติ
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และใบหน้าของเขาก็สงบเสงี่ยมลงและพูดว่า “อันที่จริงจุดประสงค์หลักที่ผมมาหาพี่ใหญ่หวังในวันนี้ก็มาเพราะเรื่องทหารรับจ้างดอกฝิ่นน่ะ..ผมไม่รู้ว่าพี่ใหญ่หวังมีเบาะแสหรือข้อมูลอะไรบ้างหรือเปล่า?”
“น้องเย่..จริงๆ แล้วหลัวโจวที่เป็นผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างดอกฝิ่นน่ะมีมิตรภาพที่ดีกับฉันอยู่” หวังเต๋อเซินพูด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเย่เชียนที่ดูไม่พอใจเล็กน้อยหวังเต๋อเซินก็รีบพูดต่ออย่างประหม่าเล็กน้อยว่า “แต่มันก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมันเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ ..มันเป็นแค่มิตรภาพเล็กๆ เพราะครั้งหนึ่งเราเคยร่วมมือกันแค่นั้น..เพราะงั้นถ้าน้องเย่ต้องการพบเขาจริงๆ ฉันก็มีลู่ทางอยู่”
“ถ้างั้นพี่ใหญ่หวังก็แค่บอกที่อยู่ของพวกเขามาก็พอ..ผมจะไม่ทำให้คุณลำบากใจ..แค่บอกที่อยู่หรือฐานที่มั่นของเขาให้ผมรู้ก็พอแล้ว” เย่เชียนพูด
“น้องเย่อย่าพูดแบบนั้นสิ..ความสัมพันธ์ของพวกเราพี่น้องจะไปมีอะไรที่ลำบากใจได้ล่ะ?” หวังเต๋อเซินพูดต่อ “พวกหลัวโจวปักหลักกันอยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ..และมีกำลังพลประมาณ 2,000 คน..ซึ่งพวกกองโจรแดนใต้นั้นมันมีอาวุธครบครัน..น้องเย่มันจะไม่เหมือนกับตอนที่นายไปจัดการกับพวกตี่ลุนครั้งที่แล้วนะ..ฉันเกรงว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้น..และยิ่งไปกว่านั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าพิกัดที่ตั้งแบบเจาะจงของพวกเขาอยู่ตรงไหนของสามเหลี่ยมทองคำ..เพราะงั้นถ้าน้องเย่เข้าไปเหยียบเขตของกองกำลังอื่นๆ ฉันเกรงว่าพวกน้องเย่จะถูกตีตราเป็นศัตรูน่ะสิ..ใช้วิธีอื่นเถอะ”
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะอันที่จริงหากไม่มีการวางแนวทางการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องล่ะก็มันก็จะไม่ดีต่อสิ่งต่างๆ อย่างมาก เพราะมันจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเพื่อหาที่อยู่และพิกัดแบบเจาะจงและสถานะรูปแบบการป้องกันของพวกเขา “แล้วพี่ใหญ่หวังคำแนะนำดีๆ อะไรบ้างมั้ย” เย่เชียนถาม
“ฉันมีข้อมูลที่น่าจะเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้” หวังเต๋อเซินพูด “ทหารรับจ้างดอกฝิ่นเป็นเพียงแค่กองกำลังหนึ่งของกองโจรหลัวโจวเพื่อหารายได้เสริมเพื่อดำเนินการและค่าใช้จ่ายของกองโจร..เพราะงั้นถ้าหากว่าเราแสร้งทำเป็นผู้ว่าจ้างพวกทหารรับจ้างดอกฝิ่นและเชิญพวกมันมาที่นี่มันก็น่าจะง่ายกว่าในการจัดการกับพวกมัน”
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยเพราะวิธีการเชิญศัตรูเข้าถ้ำนั้นเป็นวิธีที่ดีอย่างมาก “แต่หลัวโจวจะเชื่อใจผมง่ายๆ งั้นเหรอ..เขาคงไม่ประมาทถึงขนาดมาที่นี่ด้วยตัวเองหรอกนะ” เย่เชียนพูด
“ฮ่าฮ่า..มันง่ายมาก..ฉันจะเป็นคนกลางและเชิญเขามาเอง..หลัวโจวจะเชื่อใจฉันอย่างแน่นอน..แต่น้องเย่ต้องหางานที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้ล่ะนะ” หวังเต๋อเซินพูด
“ถ้างั้นก็ง่ายๆ ..ก็แค่ขึ้นราคาว่าจ้างให้สูงขึ้นเขาก็จะไม่พลาดมันอย่างแน่นอน” เย่เชียนพูด
หวังเต๋อเซินพยักหน้าแล้วถามว่า “ว่าแต่น้องเย่..โทษทีนะฉันขอถามหน่อยว่าพวกทหารรับจ้างดอกฝิ่นไปทำอะไรให้น้องเย่ขุ่นเคืองถึงขนาดนี้หรือ?”
“พวกนั้นมันลอบยิงพี่น้องของเขี้ยวหมาป่า..และน้องชายคนนั้นก็ยังโคม่าอยู่ที่ห้องฉุกเฉินอยู่เลยน่ะ” เย่เชียนพูดต่อ “ถ้าผมไม่ลบพวกทหารรับจ้างดอกฝิ่นออกไปจากโลกใบนี้แล้วพวกผมจะถูกเรียกว่าราชาแห่งโลกทหารรับจ้างได้ยังไง”
หวังเต๋อเซินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “เอาล่ะ..ถ้างั้นเรามาคุยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนกันดีกว่า! ..ยังไงก็เถอะคืนนี้นายไปไหนไม่ได้..เพราะนายต้องดื่มกับฉันทั้งคืนและเราเมากันเพื่อคลายความเศร้ากันเถอะ”
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อย
…..
แผนการกำลังดำเนินไปอย่างมีระเบียบและถี่ถ้วนและแน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่ทุ่มความหวังและความสำเร็จทั้งหมดเอาไว้ที่แผนการนี้อย่างแน่นอน เพราะงั้นเขาจึงส่งหลิวเทียนเฉิน,เจมส์,วิลเลี่ยมไปทำการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว
เย่เชียนนั้นลั่นวาจาเอาไว้ว่าคนที่ทำร้ายอู๋หวนเฟิงจะต้องจ่ายด้วยชีวิตและไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคนคนนั้นจะต้องสูญสิ้น
เย่เชียนนั้นไม่ได้นั่งอยู่เงียบๆ ที่บ้านพักของเขาเพราะตั้งแต่เขาตกลงกับหวังเต๋อเซินแล้วเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวและทำบางอย่างเบื้องต้นเตรียมพร้อมเอาไว้ เพราะเมื่อต้องติดต่อกับรัฐบาลของประเทศเมียนมาร์แล้วเย่เชียนก็ไม่ได้รู้จักดีนักและเขาก็ไม่มีคนวงในที่คุ้นเคยซึ่งมันก็มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะไม่รู้จักผู้นำทางทหารและหัวหน้าพรรคใดๆ เลยแล้วเย่เชียนก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใครแล้วนับประสาอะไรจะไปพูดคุยหรือทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
จริงอยู่ที่ว่าบางเรื่องนั้นพูดง่ายแต่หากจะนำไปปฏิบัติล่ะก็มันก็ยากมาก
อย่างไรก็ตามทุกๆ อย่างเป็นเรื่องที่ยากในช่วงเริ่มต้นและเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอนเพราะเย่เชียนประสบกับปัญหาต่างๆ มากเกินไปและตอนนี้สิ่งที่สำคัญเหนือกว่าสิ่งใดก็คือการกวาดล้างทหารรับจ้างดอกฝิ่นนั่นเอง
ข่าวดีก็มาจากเมืองหนานจิงเช่นกันเพราะอู๋หวนเฟิงได้ตื่นขึ้นแล้วและถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะขยับตัวและพูดไม่ได้ก็ตามแต่การตื่นขึ้นมาก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าเขามีความหวังในการฟื้นตัวอย่างมากและแล้วก้อนหินในใจของเย่เชียนถูกปล่อยลงในที่สุด แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ลดความโกรธแค้นของเย่เชียนที่มีต่อองค์กรทหารรับจ้างดอกฝิ่นเลยแม้แต่น้อยแต่กลับกันเพราะความมุ่งมั่นที่จะทำลายล้างนั้นยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
จู้ซานและซูเจี้ยนจุนนั้นถูกจับและถูกนำตัวส่งเข้าคุกเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกับเจียงเจิ้งยี่และแล้วในที่สุดชีวิตที่เหลือของพวกเขานั้นจะต้องใช้ชีวิตกันอยู่ในคุกไปตลอดกาล
ไม่กี่วันต่อมาก็มีข่าวมาจากหวังเต๋อเซินว่าหลัวโจวกำลังเดินทางไปที่ประเทศเมียนมาร์แล้วหวังเต๋อเซินก็จะไปรับหลัวโจว จากนั้นทั้งสองก็จะมาที่คฤหาสน์ของเย่เชียนเพื่อดำเนินตามแผนการ
นอกจากนี้ก็ยังมีข่าวจากหลิวเทียนเฉินเช่นกันซึ่งหลิวเทียนเฉินรายงานว่าเขาพบว่ากองทัพของหลัวโจวปักหลักอยู่ที่ไหนและกำลังเฝ้าติดตามอย่างเคร่งครัดและคอยเฝ้ารอคำสั่งของเย่เชียนต่อไป
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกและชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาซึ่งความหนาวเย็นนั้นลึกลงเข้าไปในกระดูกราวกับลมหนาวที่เสียดสีและแทงตรงกลางหัวใจของเขาและเฟิงหลานและคนอื่นๆ ก็เริ่มเตรียมตัวอยู่เช่นกัน ซึ่งแผนการเชิญศัตรูเข้าถ้ำนี้ก็ได้ผลแล้วส่วนที่เหลือก็รอให้หลัวโจวเข้าถ้ำเสือด้วยตัวเอง และเนื่องจากยังไม่ชัดเจนนักว่าหลัวโจวจะรู้จักเย่เชียนหรือไม่เพราะงั้นเย่เชียนจึงไม่ได้ออกมารับหน้าในครั้งนี้ และให้เฟิงหลานออกมารับหน้าแทนซึ่งเย่เชียนก็คอยซ่อนตัวอยู่และคอยเฝ้าดูสถานการณ์ต่างๆ อย่างใจจดใจจ่อ
ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้นหลัวโจวก็มาถึงคฤหาสน์ของเย่เชียนพร้อมกับหวังเต๋อเซินและนอกจากนี้ก็ยังมีลูกน้องอีกสองคนที่ติดตามหลัวโจวมาและกำลังพูดคุยและหัวเราะตลอดทางโดยไม่รู้เลยว่าอันตรายกำลังมาเยือนพวกเขาแล้ว
ชิงเฟิงก็กำลังเล่นกับช้างอยู่ข้างหน้าคฤหาสน์และเมื่อเขาเห็นพวกนั้นเข้ามาชิงเฟิงก็ทักทายพวกนั้นด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “โทษที! ..โปรดมอบอาวุธของพวกคุณด้วย!”
หลัวโจวก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปที่หวังเต๋อเฉินและเมื่อหวังเต๋อเฉินเห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “มันเป็นกฎและขั้นตอนของพวกเขาน่ะ..คุณยังไว้ใจฉันอยู่หรือเปล่าล่ะ?”
หลัวโจวก็ยิ้มและพูดว่า “มันไม่ใช่แบบนั้นท่านนายพลหวัง..ถ้าผมไม่ไว้ใจท่านนายพลหวังฉันก็คงไม่มาหรอก” ในขณะที่เขาพูดเขาก็ยื่นปืนของเขาให้ชิงเฟิงจากนั้นหลัวโจวก็หันกลับไปหาลูกน้องทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาและเมื่อลูกน้องทั้งสองคนเห็นผู้บังคับบัญชามองมาที่พวกเขาแล้วทั้งสองคนก็หยิบอาวุธปืนทั้งหมดของเขาให้ชิงเฟิงอย่างเชื่อฟัง
ชิงเฟิงจับมือเขาพร้อมยิ้มและพูดว่า “ภาษาจีนของคุณค่อนข้างดีเลยทีเดียว..ถ้าไม่ใช่เพราะคุณจมูกโด่งและตาโตล่ะก็..ผมคงคิดว่าคุณเป็นคนจีนจริงๆ ซะแล้ว”
ใบหน้าของหลัวโจวเปลี่ยนไปเป็นมืดมนซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะโกรธแต่เพราะเห็นแก่หน้าของหวังเต๋อเซินเขาจึงระงับความโกรธเอาไว้
ชิงเฟิงยิ้มและพูดว่า “ล้อเล่นน่ะผมล้อเล่น..บอสของเรารออยู่ที่ข้างในนานแล้ว..เชิญเลย!”
หลัวโจวมีสีหน้าที่เย็นชาและเดินเข้าไปในคฤหาสน์และเมื่อเขามาถึงหน้าประตูชิงเฟิงก็ห้ามลูกน้องสองคนของหลัวโจวเอาไว้และพูดว่า “ผมต้องให้พวกคุณรอข้างนอกก่อน”
หลัวโจวก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองทั้งสองคนจากนั้นก็เดินเข้าไปเพราะท้ายที่สุดแล้วหลัวโจวก็เป็นคนที่ผ่านความตายมาในสนามรบและเขาก็มีความกล้าหาญอย่างยิ่งและยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไว้วางใจหวังเต๋อเซินเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไรมากนัก
เห็นได้ชัดเลยว่าลูกน้องของหลัวโจวทั้งสองคนนั้นไม่เข้าใจภาษาจีนเพราะงั้นชิงเฟิงจึงเริ่มแสดงความซุกซนของเขาอีกครั้งโดยแสดงท่าทางและทำภาษามือที่ทำให้พวกเขาเข้าใจได้และด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรบนใบหน้าของชิงเฟิงก็ทำให้ลูกน้องทั้งสองคนนั้นดูผ่อนคลายขึ้นและถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของชิงเฟิงก็ตาม แต่ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรบนใบหน้าของชิงเฟิงนั้นมันก็เป็นสิ่งที่แสดงแทนคำพูดที่สุภาพอย่างไงอย่างงั้นและพวกเขาทั้งสามก็สนทนากันด้วยภาษาที่คลุมเครือและเข้าใจได้ยาก
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหมือนกับไก่และเป็ดที่กำลังคุยกันก็ตาม แต่ก็แปลกที่ไม่มีใครรู้สึกเบื่อหน่ายเลยเพราะพวกเขาก็พยายามคุยกันอย่างสนุกสนานและชิงเฟิงก็พาทั้งสองไปยังอีกส่วนหนึ่งของคฤหาสน์และพวกเขาก็ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายใดๆ เลย ดังนั้นพวกเขาจึงผ่อนคลายและไปตามชิงเฟิงอย่างง่ายดาย
เมื่อเข้าไปในส่วนกลางของคฤหาสน์แล้วเฟิงหลานก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีและถือถ้วยน้ำชาพร้อมจิบชาอย่างใจเย็นและดูมีออร่าของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนักธุรกิจอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นหวังเต๋อเซินและหลัวโจวเข้ามาเฟิงหลานก็ยิ้มให้และยืนขึ้นจากนั้นก็พูดว่า “ยินดีต้อนรับครับ..คุณคือท่านผู้การหลัวใช่มั้ย..ผมได้ยินฉายานามของคุณมานานแล้ว”
หวังเต๋อเซินก็ตกตะลึงไปชั่วขณะแต่เขาตอบสนองสิ่งต่างๆ และเข้าใจได้อย่างรวดเร็วซึ่งเขาเดาได้ว่าเย่เชียนต้องบอกให้เฟิงหลานออกมารับหน้าแทนอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูด “ผู้การหลัว..นี่คือหัวหน้าเฟิงที่ฉันบอกคุณ..เฟิงหลาน”
หลัวโจวก็ยื่นมือออกมาอย่างสุภาพและจับมือกับเฟิงหลานพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มจากนั้นก็พูดว่า “หัวหน้าเฟิง..เคยเป็นทหารด้วยหรือ?”
คนที่เคยจับและถือปืนมาเป็นเวลานานนั้นจะมีสัมผัสบางอย่างอยู่ที่มือและเฟิงหลานก็เป็นเช่นั้น ดังนั้นหลัวโจวจึงสัมผัสได้เมื่อเขาจับมือ “ฮ่าฮ่า..ฉันเคยอยู่ในกองทัพจีนสองปีน่ะ..หลังจากปลดประจำการจากกองทัพฉันก็ไม่ชินถ้าไม่ได้จับปืนน่ะ..เพราะงั้นฉันจึงมักจะไปที่ชมรมยิงปืนเพื่อซ้อมยิงบ้างน่ะ” เฟิงหลานพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “นั่งลงเถอะๆ!”
หลัวโจวยิ้มด้วยความพึงพอใจเพราะคำตอบนี้นั้นเป็นที่ยอมรับและช่วยลดความสงสัยในใจของเขาได้ อย่างไรก็ตามเขาก็คิดเอาไว้เช่นกันว่าเฟิงหลานคงจะไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน เพราะหวังเต๋อเซินบอกเขาเอาไว้ว่าหัวหน้าเฟิงหลานคนนี้เริ่มต้นธุรกิจมาจากโลกใต้ดินซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้และสิ่งที่เขาโปรดปรานก็คือรางวัลใหญ่และค่าตอบแทนที่สูง
.
.
.
.
.
.
.