ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 254 โหมโรงแห่งการแก้แค้น
หลีเหว่ยเคยพูดเอาไว้ว่าเหล็กในของนางผญาตัวต่อนั้นมีพิษร้ายแรงที่สุด แต่ก็เทียบไม่ได้กับเข็มของหมาป่าเขี้ยวพิษเลย
เมื่อเห็นหลิวเทียนเฉินเดินมาอยู่ข้างหน้าเขาแล้วหัวใจของหลัวจ้านก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนถูกบีบ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความรู้สึกเหมือนถูกมดกัดกินหัวใจมันเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เขาก็สามารถที่จะจินตนาการได้เลยว่ามันจะต้องทรมานมากกว่าความตายเป็นหลายเท่าอย่างแน่นอน และถ้าหากว่าอยากที่จะตายก็ไม่สามารถที่จะตายได้และไม่สามารถหลุดพ้นไปจากมันได้เลย
หลัวโจวนั้นก็รู้ดีว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะพูดก็ตามถึงยังไงแล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะต้านทานยาโจมตีจิตประสาทชนิดนั้นได้เลยแม้แต่น้อย และในท้ายที่สุดแล้วเขาไม่เพียงแค่ต้องพูดทุกอย่างออกมาอย่างหมดจดเพียงเท่านั้นแต่เขาก็ต้องทรมานเจียนตายอยู่ดี จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเหือกใหญ่แล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า “ก็ได้ๆ ..ฉันจะพูด..ฉันจะพูด”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ผู้การหลัว..มันคงจะดีถ้าคุณตัดสินใจได้ก่อนหน้านี้..ทำไมคุณต้องฝืนทรมานขนาดนี้ด้วยล่ะ”
หลัวจ้านถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ถ้าแกอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลย..แค่ส่งฉันให้ตายไปอย่างสบายๆ ก็พอ”
“ใครเป็นคนจ้างคุณ?” เย่เชียนถามตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมใดๆ
“เขาชื่อเฝิงเฝิง..ฉันรู้ว่าเขามีอิทธิพลมากในประเทศจีน..แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทำธุรกิจอะไร” หลัวโจวตอบตรงๆ
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเฝิงเฝิงก็คือเฝิงเฝิงจริงๆ “คุณติดต่อเขายังไง” จากนั้นก็เย่เชียนถามต่อ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็รู้ดีว่าในหลายๆ กรณีนั้นมันจำเป็นที่จะต้องมีคนกลางในการติดต่อเพื่อจ้างองค์กรรับจ้างเหล่านี้ เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วถึงจะไม่ต้องมีพิธีการอะไรมาก ซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้ว่ายังมีคนกลางระหว่างเฝิงเฝิงและหลัวโจวอีกหรือไม่ และเขาก็ต้องถามว่ามีหรือไม่เพราะถึงยังไงแล้วผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนแล้วก็เป็นคนที่ทำร้ายอู๋หวนเฟิงทางอ้อมทั้งนั้นและคนเหล่านั้นก็ต้องจ่ายด้วยชีวิตของตนเองเพียงเท่านั้น
“ฉันไม่รู้จักเฝิงเฝิงหรอก..เหว่ยเฉิงหลงแนะนำฉันให้รู้จักกับเขาน่ะ” หลัวโจวพูด
“เหว่ยเฉิงหลง?” เย่เชียนขมวดคิ้วอย่างแน่นเพราะผู้ชายคนนี้ไม่รู้จักจำเลยเพราะครั้งสุดท้ายเหว่ยเฉิงหลงก็ได้ติดต่อไปหาหวงฟู่เส้าเจี๋ยเพื่อสร้างปัญหาให้กับเขาและตอนนี้เหว่ยเฉิงหลงก็ได้ติดต่อไปหาเฝิงเฝิงและยุยงให้จ้างพวกทหารรับจ้างดอกฝิ่นให้มาจัดการกับเขา ซึ่งผู้ชายคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมที่ชั่วร้ายอย่างมากและเฝิงเฝิงก็ถูกเหว่ยเฉิงหลงหลอกใช้อย่างสมบูรณ์
“แล้วคุณกับเหว่ยเฉิงหลงเจอกันได้ยังไง” จากนั้นเย่เชียนก็ถามต่อ
“ก็พ่อของเหว่ยเฉิงหลงเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สุดของจีนและเป็นถึงหนึ่งในสามของผู้ค้ารายใหญ่ในแถบสามเหลี่ยมทองคำ..เพราะงั้นฉันก็เลยรู้จักเขาเป็นปกติอยู่แล้ว” หลัวโจวพูด
เย่เชียนพยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “พี่เฟิงหลาน..ส่งเขาไปสู่สุคติที..การฝังศพเขาในสภาพที่ดีก็ถือว่าเป็นความเมตตากรุณาเราเช่นกัน”
หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินออกไป โลกแห่งความจริงก็มักจะเป็นเช่นนี้เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องฆ่าแล้วล่ะก็จะไม่มีความเมตตาใดๆ แต่ทว่าสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คืออย่าให้คนที่เราฆ่าต้องอยู่ในที่ที่ไม่ควรแต่ต้องส่งไปยังที่ที่เหมาะสม ซึ่งนี่ก็เป็นการแสดงความเมตตาครั้งสุดท้ายสำหรับชีวิตของหลัวโจว
หลัวโจวก็ยิ้มอย่างขมขื่นและไม่ได้แสดงความเกรงกลัวความตายมากนักแต่กลับมีเพียงความเสียใจและความโศกเศร้าอย่างไม่เต็มใจ
ปัญหาของเหล่ากองกำลังทหารรับจ้างดอกฝิ่นได้รับการแก้ไขแล้วโดยการเชิญศัตรูเข้าถ้ำเสือนั้นเป็นแผนที่เสร็จสมบูรณ์และข้อมูลความจริงที่ต้องการรับรู้ก็ได้รับอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่สิ่งเดียวที่ยังคงทำให้เย่เชียนรู้สึกเศร้าเพียงเล็กน้อยก็คือบางครั้งเขาก็ไม่ได้อยากที่ฆ่าแต่ทว่ามันก็จะมีใครสักคนมาคอยขวางทางเขาอยู่เสมอ ปลายทางของเขี้ยวหมาป่าที่รุ่งโรจน์นั้นมันก็จะต้องเต็มไปด้วยการหลั่งเลือดพร้อมกับขี้เถ้าและกระดูก
…..
ตอนนี้เรื่องราวต่างๆ ก็ได้รับการแก้ไขแล้วและเย่เชียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่เมียนมาร์ต่ออีกต่อไป และแล้ววันรุ่งขึ้นเย่เชียนก็นั่งเครื่องบินกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้แล้วต่อเครื่องไปยังเมืองหนานจิง และเรื่องนี้ก็ยังคงต้องแก้ไขไปทีละขั้นตอนซึ่งเฝิงเฝิงก็เป็นเป้าหมายแรกที่ต้องจัดการ และเมื่อเทียบกับสถานการณ์ต่างๆ ในเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วเมืองหนานจิงและมณฑลเจียงซูนั้นดีกว่ามาก แต่แน่นอนว่าเหว่ยเฉิงหลงนั้นเย่เชียนจะไม่มีวันปล่อยให้เขาลอยนวลไปเพราะเขานั้นไปจ้างทหารรับจ้างและนักฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อมาสร้างปัญหาให้กับตัวเองมาเสมอและถ้าหากว่าเย่เชียนไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมล่ะก็ปัญหาต่างๆ ก็อาจจะตามมาอีกก็เป็นได้
หลังจากกลับมาถึงที่เมืองหนานจิงแล้วเย่เชียนก็รีบไปที่โรงพยาบาลอย่างเร่งรีบและแจ็คก็ได้จัดการย้ายอู๋หวนเฟิงไปที่ห้องผู้ป่วยส่วนตัวและสถานการณ์ต่างๆ และอาการของอู๋หวนเฟิงก็ดีขึ้นและถึงแม้ว่าเขาจะยังขยับไม่ได้ก็ตามแต่อู๋หวนเฟิงก็ยังพูดได้ นั่นก็เพราะว่ากระสุนเกือบจะตัดขั้วหัวใจของเขาและการเสียเลือดจำนวนมากนั้นทำให้สมองของอู๋หวนเฟิงนั้นมีอาการผิดปกติและระบบการทำงานของร่างกายของเขาก็เสียหายอย่างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เชื่อว่าตราบใดที่อู๋หวนเฟิงสามารถตื่นขึ้นมาได้เขาก็จะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ นั่นก็เพราะว่าเจตจำนงของอู๋หวนเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าใครๆ
เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาแล้วอู๋หวนเฟิงก็พยายามที่จะลุกขึ้นแต่เย่เชียนก็รีบเดินเข้าไปกอดเขาและยิ้มเล็กยิ้มน้อยจากนั้นก็พูดว่า “นอนลงเถอะ..อย่าเพิ่งขยับตัวตอนนี้เลย..หน้าที่ของนายก็คือการหายจากอาการบาดเจ็บเร็วๆ”
ชิงเฟิงเดินไปใกล้ๆ เตียงของอู๋หวนเฟิงและยกนิ้วให้กำลังใจอู๋หวนเฟิงและเข้าไปลูบไหล่เบาๆ จากนั้นชิงเฟิงก็ยิ้มและพูดว่า “นี่นางพยาบาลเช็ดตัวของนายแล้วพวกเธอได้พูดอะไรบ้างมั้ย? ..เรื่องหนอนตัวน้อยๆ ของนายน่ะ”
ชิงเฟิงนั้นพูดหยอกล้ออู๋หวนเฟิงและอู๋หวนเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด แต่อู๋หวนเฟิงนั้นก็รู้นิสัยใจคอของชิงเฟิงดีและเขาก็รู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นของชิงเฟิงไม่ได้หมายถึงการดูถูกเขาเลยและมันก็เป็นแค่เรื่องตลกระหว่างเพื่อนและพี่น้อง
เย่เชียนจ้องเขม็งไปที่ชิงเฟิงและเตะตูดของชิงเฟิงเบาๆ พร้อมพูดว่า “ไอบ้านี่..มันใช่เวลามั้ย..หลบไป๊!”
ชิงเฟิงยิ้มอย่างซุกซนจากนั้นก็เดินออกไปข้างๆ
“บอส..รู้หรือยังว่าใครทำ” อู๋หวนเฟิงถาม
“อ่า” เย่เชียนพยักหน้าและพูดต่อ “มันเป็นพวกองค์กรทหารรับจ้างดอกฝิ่นน่ะ..แต่ไม่ต้องห่วงเพราะพวกนั้นมันไปพบเจ้ายมโลกแล้ว..ส่วนที่เหลือก็เป็นคนส่งสารและคนกลางเท่านั้น..เดี๋ยวฉันจะไปไล่ฆ่าพวกมันให้หมด”
อู๋หวนเฟิงมองไปที่เย่เชียนอย่างรู้สึกผิดและพูดว่า “บอส..ผมขอโทษ..ผมปกป้องพี่พลันไม่ได้..เธอเกือบจะบาดเจ็บแล้ว”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “นายพูดอะไรเนี่ย..นายทำได้ดีมาก..ถ้าไม่ใช่เพราะนายแล้วฉันคิดว่าพี่หลันคงตายไปแล้วล่ะ..ไม่ต้องกังวลไปถ้าเรื่องนี้จบเมื่อไหร่และนายหายดีเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน”
“ใช่! ..นายพักรักษาตัวให้หายดีก่อนเถอะ..ถ้านายดีขึ้นเมื่อไหร่เราจะมาแข่งกันอีกครั้ง..โถ่เอ้ย..ก็ครั้งล่าสุดฉันแพ้นายน่ะ ..แล้วถ้านายไม่หายดีแล้วฉันจะเอาคืนได้ยังไง” ชิงเฟิงพูด
อู๋หวนเฟิงยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพยักหน้าอย่างหนักแน่น
สถานการณ์ต่างๆ ในเมืองหนานจิงก็เริ่มมีเสถียรภาพขึ้นแล้ว ดังนั้นซ่งหลันจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่ออีกต่อไป และเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในเซี่ยงไฮ้นั้นก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เธอไปจัดการ ซึ่งเย่เชียนก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้เพราะถึงยังไงแล้วเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ยังเป็นรากเหง้าของเขี้ยวหมาป่าเช่นกัน เพราะฉะนั้นจะไม่มีวันเสียแตงโมไปเพียงเพราะจะเก็บเมล็ดแตงโมขึ้นมา
อุตสาหกรรมรายอื่นๆ ทั้งหมดในเมืองหนานจิงต่างก็พ่ายแพ้ให้กับเลขาเฉิงเหวินเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่คอยติดตามเฉินฟู่เฉิงเมื่อก่อน ซึ่งพูดได้ว่าเขานั้นเป็นดั่งมือขวาและเย่เชียนเองก็เชื่อเขามากเช่นกัน และเห็นได้ชัดเลยว่าเฉิงเหวินเองก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะมีโชคชิ้นใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเขาจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือแพร่กระจายกันไปว่าเฉิงเหวินนั้นมาเพื่อแทนที่เย่เชียนเพื่อจัดการธุรกิจของ บริษัทแต่ทว่าโดยพื้นฐานแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะไปแทรกแซงในกิจการของบริษัทเลย ซึ่งมันหมายความว่าเฉิงเหวินนั้นมีสิทธิ์และอำนาจทั้งหมดที่จะบริหารหรือยกเลิกบริษัทชั้นนำทั้งหมดในเครือของบริษัท
อย่างไรก็ตามเฉิงเหวินนั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจหรือเกิดความคิดที่จะทรยศใดๆ เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วพลังและความมุ่งมั่นที่เย่เชียนแสดงให้เขาเห็นในตอนแรกนั้นได้ทำให้เขาพร้อมที่จะติดตามเย่เชียนอย่างสุดความสามารถ แต่สำหรับอนาคตนั้นเย่เชียนก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกสักกี่คนกันที่ยังคิดที่จะขัดขวางเขาอยู่ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้เลย
เย่เชียนนั้นยังพาเฉิงเหวินไปเยี่ยมเหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงและแนะนำเฉิงเหวินให้พวกเขาในทางอ้อมอีกด้วย ซึ่งเหมิงฉางเต๋อและอู๋จื้อปิงนั้นก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมายแล้ว เพราะงั้นพวกเขาจึงสามารถเข้าใจความหมายของคำพูดของเย่เชียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดให้ชัดเจนถ้าตราบใดที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้นั้นได้ทำให้เฉิงเหวินเห็นและยอมรับอีกครั้งว่าเย่เชียนนั้นผูกสัมพันธไมรตรีที่ดีกับบุคคลที่เป็นถึงผู้ว่าราชการมณฑลและนายกเทศมนตรีของเมืองอย่างน่านับถือและน่าประทับใจ
หลังจากจัดการกิจกรรมทางการเมืองและทางธุรกิจที่เมืองหนานจิงแล้วเย่เชียนก็พาชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยไปที่เมืองหางโจวโดยไม่หยุดพักใดๆ เพราะเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงนั้นปักหลักอยู่ที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ได้ปิดกั้นข่าวสารเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมดในเมืองหนานจิงและเขาก็เชื่อว่าเฝิงเฝิงนั้นยังไม่รู้แน่ชัดว่าเย่เชียนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
สำหรับความจริงที่ว่าองค์กรทหารรับจ้างดอกฝิ่นนั้นได้ถูกกวาดล้างไปหมดอย่างสมบูรณ์แล้วเฝิงเฝิงก็ยังไม่รู้เช่นกัน และจุดประสงค์ของเย่เชียนในครั้งนี้ก็คือการลงทัณฑ์เฝิงเฝิงและเขาก็ไม่ได้สนใจกองกำลังต่างๆ ที่อยู่ภายใต้เฝิงเฝิงมากนัก แต่เย่เชียนก็รู้ดีว่าบางครั้งบุคคลที่ทรงอิทธิพลและมีอำนาจมากเกินไปนั้นอาจไม่ใช่เรื่องดีโดยเฉพาะกับในประเทศจีน เพราะเมื่อไหร่ที่ประเทศเริ่มการปราบปรามที่แท้จริงขึ้นมาล่ะก็คนพวกนั้นก็จะเป็นคนแรกๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการกวาดล้างของรัฐบาลในครั้งนั้น ดังนั้นบางครั้งในบางคนจึงจำเป็นที่จะต้องรักษาภาพพจน์ที่ถ่อมตนเอาไว้และไม่ทำตัวโออ่ายิ่งใหญ่มากเกินไป
สำหรับหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้ต้องการให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยติดตามมากเกินไป แต่เขาขอร้องให้เย่เชียนพาเขามาด้วยเพราะเขาอยู่ในฐานะลูกศิษย์คนแรกและเขาก็ต้องติดตามเย่เชียนไปและเย่เชียนก็ควรที่จะฝึกอบรมเพิ่มเติม ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้ปฏิเสธอำนาจและอิทธิพลของตระกูลหวงฟู่เลย เพราะถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นในประเทศจีนล่ะก็เย่เชียนก็จะสามารถแก้ไขมันได้อย่างง่ายดายด้วยตัวตนของเขาและการสนับสนุนของตระกูลหวงฟู่ แต่ทว่าสิ่งที่เย่เชียนไม่เข้าใจก็คือชายผู้ลึกลับที่เป็นพ่อของหวงฟู่เส้าเจี๋ยและเป็นลูกของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาและยิ่งไปกว่านั้นเขากลับปล่อยให้ทายาทในตระกูลของเขาติดตามเย่เชียนซึ่งคล้ายกับอันธพาลและพวกมาเฟีย และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาไม่เกรงกลัวการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเลยหรือ?
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังเดาว่าพ่อของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นอาจจะมีอำนาจบางอย่างในกองทัพของเมืองหนานจิง แต่ทว่าตำแหน่งอย่างเป็นทางการนั้นเย่เชียนก็ไม่รู้ ซึ่งเย่เชียนก็เคยถามหวงฟู่เส้าเจี๋ยอยู่หลายครั้งแต่ผู้ชายคนนี้กลับตอบแบบตลกๆ และไม่เคยตอบอย่างตรงไปตรงมาเลย ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากที่จะถามอีก
หางโจวนั้นเป็นบ้านเกิดของหลินโรวโรว่และเมื่อเย่เชียนได้มีโอกาสมาเยือนซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ต้องไปเยี่ยมพ่อตากับแม่ยายในอนาคตก่อนเพราะไม่งั้นก็จะดูไม่ดีในฐานะลูกเขย
ชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็หยุดพักหนึ่งวัน ส่วนเย่เชียนก็ไปซื้อของฝากและถามเกี่ยวกับที่อยู่ของบ้านตระกูลหลินและขับรถไปซึ่งชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นมีนิสัยที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก และทั้งสองคนนั้นก็ไม่สามารถที่จะอดใจรอได้ที่จะอยู่ห่างจากสายตาของเย่เชียน และในไม่ช้าหลังจากนั้นพวกเขาก็ออกไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนานหลังจากได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดพวกเขาก็มีความสุขอย่างมาก แต่ทั้งคู่ก็แสร้งทำเป็นห่วงใยเย่เชียนในแง่ของการที่ไม่สามารถคอยคุ้มกันให้เย่เชียนได้
เย่เชียนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าพวกเขาทั้งสองกำลังคิดอะไรกันอยู่เพราะหลังจากนั้นเย่เชียนก็ออกไปอย่างปกติเป็นธรรมชาติ
.
.
.
.
.
.
.