ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 255 พบว่าที่พ่อตา
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเชื่อว่าหลังจากที่เคยเผชิญหน้ากับแม่ยายมาครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ควรกังวลมากเกินไป แต่เมื่อเขามาถึงหน้าประตูแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ดีว่าแม้ว่าพ่อกับแม่ของหลินโรวโร่วจะไม่เห็นด้วยก็ตามแต่ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับหลินโรวโร่วได้เลย อย่างไรก็ตามเพื่อหน้าตาของสังคมนั้นเย่เชียนก็ยังคงตระหนักถึงการเดินไปไหนมาไหนกับหลินโรวโร่วภายใต้การอวยพรของญาติๆ ทั้งหลายแทนที่จะเป็นศัตรูในสายตาพวกเขา
เย่เชียนก็ยกมือขึ้นเพื่อที่จะกดกริ่งหน้าประตูแต่เขาก็ยังคงลังเล ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันยากลำบากมากกว่าการเผชิญหน้ากับประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก เขานั้นรู้สึกประหม่าอย่างมากจนเย่เชียนถึงกับตระหนักว่าเขาควรเรียกให้เฉินเซิงมากับเขาด้วยดีกว่าหรือไม่ เพราะถึงยังไงแล้วเฉินเซิงก็คุ้นเคยกับพ่อและแม่ของหลินโรวโร่วอย่างมาก และเฉินเซิงก็จะช่วยชี้แจงเรื่องระหว่างเขากับหลินโรวโร่วให้พ่อกับแม่ของหลินโรวโร่วฟัง
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายเย่เชียนก็กดกริ่งซึ่งเขาได้ปล่อยหินในใจออกไป แต่ทว่าเขาก็ยังแอบภาวนาให้ไม่มีใครอยู่ข้างในและพ่อแม่ของหลินโรวโร่วก็ไม่ได้อยู่บ้านจะเป็นดีกว่าอย่างมาก
แต่ทว่าฟ้านั้นไม่เป็นใจไปตามความปรารถนาของผู้คนเลย เพราะหลังจากนั้นไม่นานคนที่ดูเหมือนพี่เลี้ยงเด็กก็มาเปิดประตูและจ้องมองเย่เชียนขึ้นลงจากหัวจรดเท้าซึ่งเธอนั้นแต่งตัวสุภาพและสง่างามและถือของขวัญอยู่มากมาย ซึ่งเย่เชียนก็คิดว่าเขาอาจจะมาหาหลินไห่หรือซูเหมยเรื่องธุรกิจเพียงเท่านั้น “คุณมาหาใครหรอ” ที่พูดกันว่าคนประเภทนี้มักจะหยิ่งยโสซึ่งบางครั้งมันไม่ใช่เรื่องเท็จเลย เพราะถ้าหากว่าเธอไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กจริงๆ ล่ะก็เย่เชียนก็คิดว่าอย่างน้อยๆ เธอก็น่าจะอยู่ในตระกูลชนชั้นสูงที่มีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่าสิบล้านหรือมีตำแหน่งทางการไม่ต่ำกว่าระดับมืออาชีพ
“สวัสดีครับ..นี่คือบ้านของเลขาหลินหรือเปล่า” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพ
ตอนนี้พี่เลี้ยงเด็กก็ยิ่งแน่ใจมากว่าเย่เชียนนั้นมาที่นี่เพื่อให้ของบางอย่างและเธอก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะมองเย่เชียนขึ้นและลงอีกครั้งและถามอีกครั้งว่า “คุณมาหาเลขาหลินทำไม?”
เย่เชียนก็ไม่สบอารมณ์อย่างมากในทันทีพี่เลี้ยงคนนี้ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยและน้ำเสียงของเธอก็ดูไม่พอใจเล็กน้อยและพูดว่า “ผมแค่อยากรู้ว่าเลขาหลินอยู่บ้านหรือเปล่า”
จู่ๆ พี่เลี้ยงก็ตะโกนขึ้นว่า “คุณมาที่นี่เพื่ออะไร? ..ฉันขอบอกคุณเอาไว้เลยนะว่าเลขาหลินเป็นข้าราชการที่มีชื่อเสียงและเขาจะไม่รับสินบนของคุณอย่างแน่นอน”
“แล้วใครบอกว่าผมจะมาติดสินบนกันล่ะ..ผมเป็นลูกเขยของเขา” เย่เชียนพูด
“หึ..คิดว่าคุณหนูของเราจะเหมาะสมกับคุณงั้นเหรอ? ..อย่ามาโกหกฉัน..ไปซะ!” พี่เลี้ยงเด็กพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม หลังจากนั้นเธอก็ปิดประตูดัง “ปัง!”
เย่เชียนก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก เพราะเขาถูกพี่เลี้ยงปิดประตูใส่และทันใดนั้นความระคายเคืองและความขุ่นเคืองในใจก็ผุดขึ้นมาและเขาก็รู้สึกประหม่ามากขึ้น ซึ่งเขานั้นรู้สึกหนักใจกับพี่เลี้ยงคนนี้และความกังวลใจของเขาก็สั่งสมดั่งก้อนเมฆก้อนหนาๆ สักพักหลังจากนั้นเย่เชียนก็ตะโกนว่า “คุณพ่อตา! ..คุณต้อนรับแขกแบบนี้น่ะหรอ..ผมเดินทางมาตั้งไกลแต่กลับโดนดูถูกเหยียดหยามแบบนี้”
หลินไห่ที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่และหลังจากที่เห็นพี่เลี้ยงเด็กเข้ามาเขาก็ถามว่า “นั่นใคร”
“เลขาหลินคะ..เขาเป็นพวกติดสินบนน่ะ..ดิฉันไล่เขาไปแล้วค่ะ” พี่เลี้ยงเด็กพูดด้วยความเคารพ
“โอ้..” หลินไห่ตอบและนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ของเขาต่อไป อย่างไรก็ตามในทันใดนั้นเสียงตะโกนของเย่เชียนก็ดังเข้ามาและเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อยกับคำว่าพ่อตา? และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ตระหนักว่าลูกสาวของเขาดูเหมือนจะยังไม่ได้แต่งงานเลยไม่ใช่หรือ? แล้วเขาไปเป็นพ่อตาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ซูเหม่ยที่อยู่ใกล้ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดขึ้นมาว่า “ฉันจะไปดูเอง”
หลังจากพูดเสร็จเธอก็เดินไปที่ระเบียงและมองลงไปและสีหน้าของเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมากจากนั้นเธอก็หันหน้าไปพูดกับหลินไห่ว่า “หลินไห่..ลูกเขยที่แสนดีของคุณมาหาคุณน่ะ”
“ห๊ะ..ลูกเขยของฉันหรอ..ฉันจะไปมีลูกเขยได้ยังไง” หลินไห่ยังคงดูสับสนและงุนงงอย่างมาก ซึ่งแต่เดิมทีก็มีแค่เฉินเซิงที่กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของเขาที่มีอำนาจในตระกูลชนชั้นสูงและเป็นถึงลูกชายคนโตของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคการเมืองประจำมณฑลและพ่อของเขาก็กำลังจะถูกเลื่อนตำแหน่งไปประจำการที่รัฐบาลกลาง แต่มันก็น่าเสียดายที่ลูกสาวของเขาเองนั้นไม่ต้องการเฉินเซิงเลย และเฉินเซิงเองก็ยังบอกกับเขาด้วยตัวเองอีกว่าเขานั้นเห็นว่าหลินโรวโร่วเป็นเพียงแค่น้องสาวของเขาเท่านั้นและการแต่งงานทั้งหมดก็ถูกยกเลิกไปแล้ว
“คุณคิดว่าใครกันล่ะ? ” ซูเหม่ยถาม
จู่ๆ ทันใดนั้นหลินไห่ก็นึกขึ้นได้และจำได้ว่าลูกสาวของเขาดูเหมือนจะเคยพูดถึงแฟนหนุ่มจากเมืองเซี่ยงไฮ้และยังเป็นบุคคลที่มีประเด็นร้อนแรงและนิยมในเมืองหนานจิงเมื่อเร็วๆ นี้อีกด้วย และเมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มอย่างขมขื่นเพราะเด็กคนนี้บุ่มบ่ามและใจกล้ามากเกินไป ที่กล้าตะโกนออกมาอย่างเสียงดังท่ามกลางชุมชนเช่นนี้ จากนั้นหลินไห่ก็มองไปที่พี่เลี้ยงและพูดว่า “ไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา”
พี่เลี้ยงเด็กก็ยืนตัวแข็งไปครู่หนึ่งเพราะความประหลาดใจเพราะเธอก็ได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดอย่างชัดเจนเมื่อครู่นี้และเมื่อเห็นสีหน้าของหลินไห่แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นพูดจริงงั้นหรือ? เขาเป็นลูกเขยของตระกูลนี้จริงๆ งั้นหรือ? และเมื่อนึกถึงสิ่งนี้พี่เลี้ยงเด็กก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกและเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง
เย่เชียนที่เห็นซูเหม่ยยืนอยู่ที่ระเบียงเขาก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและตะโกนว่า “คุณแม่ยาย..ผมไม่ได้เจอคุณมาตั้งนานแล้วแต่คุณก็ยังสวยอยู่เหมือนเดิมเลยนะ..ให้ผมเข้าไปหน่อยได้มั้ย..ผมเดินทางมาตั้งไกลน่ะ..ได้โปรดเถอะนะ..อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ผมได้ดื่มน้ำซักแก้วก็ยังดี!”
ซูเหม่ยรู้นั้นสึกตกตะลึงอย่างมากกับเด็กน้อยเย่เชียนคนนี้ ซึ่งการต่อสู้และการเผชิญหน้าของวันนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มเลยเธอก็ได้พ่ายแพ้ให้เย่เชียนไปแล้วอีกครั้ง จะปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ งั้นหรือ? เด็กคนนี้ทำได้ทุกอย่างจริงๆ และถ้าหากว่าเขายังคงตะโกนอยู่นอกประตูแบบนี้ไปเรื่อยๆ และถ้าหากว่าใครเขาได้ยินกันล่ะก็ตระกูลของพวกเธอก็คงจะอับอายขายหน้าเล็กน้อยอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นพี่เลี้ยงเด็กเปิดประตูออกมาแล้วเย่เชียนก็ยิ้มให้และตะโกนใส่ซูเหม่ยที่ระเบียงว่า “ขอบคุณครับแม่ยายสุดสวย!”
ซูเหม่ยจ้องเขม็งเย่เชียนจากนั้นเธอก็หันกลับและเข้าไปในบ้าน เมื่อมองเธอแวบแรกนั้นเธอช่างสง่างามและสูงส่งอย่างแท้จริงในแบบของผู้หญิงที่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ
พี่เลี้ยงเด็กที่เดินมาเปิดประตูที่มีสีหน้าอับอายและรู้สึกผิดเล็กน้อยเธอเหลือบมองไปที่เย่เชียนแต่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรดี ส่วนเย่เชียนก็มองเธออย่างเคารพและพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยครับ..ผมไม่ตำหนิคุณเรื่องนี้หรอก..สบายใจได้” หลังจากพูดจบแล้วเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน พี่เลี้ยงเด็กที่ยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพังเพียงจ้องมองแผ่นหลังของเย่เชียนอย่างว่างเปล่าและพึมพำออกมาว่า “เด็กคนนี้นิสัยดีจัง”
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วเย่เชียนก็เห็นหลินไห่และซูเหม่ยที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นและจู่ๆ เย่เชียนก็มีภาพลวงตาเกิดขึ้นราวกับว่าพวกเขาทั้งสองกำลังนั่งรอนักโทษที่รอการลงทัณฑ์ของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างไงอย่างงั้น ซึ่งเมื่อครู่นี้ความกระวนกระวายของเย่เชียนที่เริ่มหายไปแต่ในขณะนี้มันกลับพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเดิม จากนั้นเย่เชียนจึงยิ้มอย่างโง่เขลาและพูดว่า “สวัสดีครับ..คุณลุง..คุณป้า!
หลินไห่หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นั่งลงก่อนๆ!”
“ขอบคุณครับ!” เย่เชียนค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ และระมัดระวังจากนั้นก็ส่งของขวัญให้และพูดว่า “คุณลุง..คุณป้าครับ..นี่เป็นของขวัญสำหรับการพบปะกันเล็กน้อยสำหรับคุณทั้งสอง..ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจ”
หลินไห่เหลือบมองไปที่พี่เลี้ยงและพี่เลี้ยงก็รีบรับของขวัญเอาไว้ จากนั้นหลินไห่ก็ยิ้มและพูดว่า “เธอคือเย่เชียน?”
“ใช่ครับคุณลุง!” เย่เชียนตอบ
“ทำไมเธอไม่เรียกพวกเราว่าพ่อตากับแม่ยายต่อล่ะ..เหมือนว่าเธอจะมีความสุขที่ได้เรียกแบบนั้นนะ..แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงได้เกร็งขนาดนี้ล่ะ? ” ซูเหม่ยจ้องมองเย่เชียนและพูดติดตลกหยอกล้อ
เย่เชียนถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “อ้อ..ถ้าคุณป้าชอบให้ผมเรียกคุณว่าแม่ยายล่ะก็..ผมก็จะเรียกคุณว่าแม่ยายก็แล้วกัน..เพราะถึงยังไงไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็ต้องเรียกอยู่ดี..จะได้เคยชินเร็วๆ เนอะ”
ซูเหม่ยถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเพราะเด็กคนนี้เป็นงูตัวใหญ่ที่ไม่รู้จักละอายใจบ้างเลย เธอได้แต่แน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไปสักพักโดยไม่ปฏิเสธว่าได้หรือไม่ได้
หลินไห่ก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ไม่ว่าเธออยากจะเรียกยังไงก็เรียกเถอะ..เรียกอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ..อันที่จริงฉันก็เคารพการตัดสินใจของเธอเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ของโรวโร่วล่ะนะ..นั่นก็เพราะว่าโรวโร่วน่ะรักเธอ..เราก็ต้องคอยสนับสนุนในฐานะพ่อแม่น่ะ”
“คุณพ่อตามีเหตุผลมากครับ” เย่เชียนพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณจากนั้นก็จ้องมองไปที่ซูเหม่ยที่อยู่ข้างๆ ซึ่งความหมายที่เห็นได้ชัดก็คือซูเหม่ยนั้นเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล
ซูเหม่ยก็รู้สึกตกตะลึงแต่เธอก็ขี้เกียจเกินไปที่จะโต้เถียงกับเด็กคนนี้
“เธอมาที่เมืองหางโจวตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?” หลินไห่ถาม
“เพิ่งจะมาถึงวันนี้เอง” เย่เชียนนั้นรู้สึกว่าการพูดคุยกับหลินไห่นั้นง่ายกว่ามากเพราะผู้ชายที่สื่อสารกับผู้ชายด้วยกันเองนั้นง่ายดายกว่าคุยกับผู้หญิงอย่างมาก
“แล้วเธอกินข้าวมาหรือยัง..ฉันจะได้ให้พี่เลี้ยงทำอาหารมาให้เธอกิน” หลินไห่พูด
“พูดตรงๆ เลยคือผมยังไม่ได้กินอะไรเลย..ผมรีบมาหาพวกคุณทันทีหลังจากลงจากเครื่องบินน่ะ” เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “แต่ไม่เป็นไรครับ..ผมจะแวะไปหาเพื่อนหลังจากนี้”
“โอ้! ..” หลินไห่ไม่ได้ลังเลใดๆ และถามตรงๆ ว่า “ที่เธอมาเมืองหางโจวในครั้งนี้ก็มาเพื่อเที่ยวหรอ?”
“เอ่อคือ..มีบางอย่างที่ผมต้องจัดการน่ะ..แต่ก็ไม่น่าจะใช้เวลานาน..อาจจะแค่สองสามวันเพราะผมต้องรีบกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้อีก..มันยังมีอีกหลายอย่างที่รอให้ผมไปจัดการน่ะ” เย่เชียนพูดง่ายๆ สบายๆ
หลินไห่ก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เธอเป็นประเด็นร้อนแทบจะทุกวันเลยที่เมืองหนานจิงน่ะ..เพราะงั้นที่เธอมาเมืองหางโจวก็มาเพื่อสร้างประเด็นร้อนที่นี้ด้วยหรือ”
“ไม่ไม่..มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ น่ะ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี” หลินไห่พูดต่อ “ฉันได้ยินมาว่าเธอได้เปิดโปงและจัดการผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางผู้ทรงเกียรติคนนั้นและเกือบจะผูกขาดสถานบันเทิงทั้งหมดในเมืองหนานจิงเลย..และตลาดหุ้นก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างดุเดือดอีก..ฉันอยากรู้เกี่ยวกับตัวเธอมากเลยล่ะ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ผมเกรงว่าคุณพ่อตาคงจะไม่เชื่อผม..ผมน่ะไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้จริงๆ และผมก็ไม่ได้มีวิธีการอะไรเลย ..ส่วนใหญ่ผมก็แค่เติมเชื้อไฟเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้น..ท้ายที่สุดแล้วผมก็เป็นแค่เด็กโชคดีคนหนึ่งเท่านั้นเอง..จริงๆ แล้วบางครั้งผมก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ..ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝันไปและผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำ”
หลินไห่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบของเย่เชียนเลย จากนั้นหลินไห่ก็พูดว่า “เอาหน่าๆ ..ถ้าเธอไม่อยากพูดฉันก็ไม่บังคับเธอหรอก..ฉันแค่หวังว่าเธอจะไม่ทำให้ฉันและโรวโร่วและซูเหม่ยต้องผิดหวัง..แล้วฉันก็หวังว่าเธอจะทำสิ่งที่ถูกต้องในอนาคตอย่างใจเย็น..ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม..แต่ถ้าทำให้ลูกสาวของฉันต้องเสียใจล่ะก็..ฉันก็จะไม่ไว้หน้าเธอ”
“สิ่งที่คุณพูดนะ..คุณมั่นใจได้เลย..คุณสบายใจได้เลยครับ” เย่เชียนพูด
.
.
.
.
.
.
.