ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 258 ความยุติธรรมโดยบังเอิญ
การร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ที่ถูกตัดสินใจในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้ หลี่จื้อเทียนและเย่เชียนถูกกำหนดให้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในมณฑลเหอหนานดั่งพายุลูกใหญ่อันนองเลือดและไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสิ่งต่างๆ มันจะรุ่งโรจน์สักแค่ไหน แต่แน่นอนว่ามันจะต้องมีทั้งเลือดทั้งเนื้อและกระดูกที่ถูกฝังอยู่ภายใต้ความรุ่งโรจน์ครั้งนี้อย่างแน่นอน
เย่เชียนนั้นจะได้ผลประโยชน์มากมายจากสิ่งเหล่านี้และไม่เพียงแค่เขาจะได้กำไรอย่างมหาศาลเพียงเท่านั้นแต่เขายังสามารถขยายอำนาจของเขี้ยวหมาป่าไปทั่วมณฑลเหอหนานได้อีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นด้วยเครือข่ายของหลี่จื้อเทียนนั้นจะทำให้หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างดำเนินการได้ง่ายอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับหลี่จื้อเทียนเองทั้งหมดนี่ก็เป็นผลประโยชน์อันมหาศาลแก่เขาเช่นกัน เพราะการร่วมมือกับเย่เชียนก็จะทำให้เขาได้รับผลกำไรและผลประโยชน์มากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบของทั้งสอง
“เมื่อไหร่ที่น้องเย่มีเวลาว่างๆ ก็ไปกับฉันเพื่อไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมของมณฑลเหอหนานก็แล้วกัน” ด้วยคำตอบในการตกลงร่วมมือกันนั้นทำให้หลี่จื้อเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างยินดี
เย่เชียนนั้นเข้าใจความหมายในคำพูดของหลี่จื้อเทียนดีเพราะเขาต้องการให้เย่เชียนเข้าใจถึงสถานการณ์เกี่ยวกับด้านมืดบางอย่างในมณฑลเหอหนานโดยเร็วที่สุดเพื่อความรอบคอบและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการในอนาคต และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยลพูดว่า “ผมมีธุระนิดหน่อยที่จะต้องทำน่ะ..แต่ก็ไม่นานนักหรอก”
หลี่จื้อเทียนยิ้มและพูดว่า “ได้เลย..เรื่องนี้มันก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร..เราแค่วางแผนและดำเนินการเบื้องต้นกันไปก่อนและรอให้นโยบายของรัฐบาลกลางอนุมัติและดำเนินการก่อนเท่านั้น”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีคนหนุ่มสาวสองสามคนวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกและเมื่อหันมองไปทางนั้นก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเย่เชียนนัก ซึ่งชายคนนี้ก็อายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ และเขาก็ดูไม่เหมือนคนจีนเลย
ด้านหน้าของชายคนนั้นก็มีหญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ ที่กำลังนั่งมองเขาอยู่ และจากท่าทีที่ดูสนิทสนมกันของพวกเขาก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาน่าจะเป็นคู่รักกัน
ทันใดนั้นคนหนุ่มสาวจำนวนหลายคนก็วิ่งไปข้างหน้าชายคนนั้นโดยไม่ถามเหตุผลใดๆ และพวกเขาเหล่านั้นก็ดูเดือดดาลอย่างมาก หญิงสาวคนนั้นที่นั่งอยู่ก็ตื่นตระหนกและพยายามที่จะห้ามเอาไว้โดยอ้อนวอนขอร้องว่า “อย่าทะเลาะกันนะ..อย่าทะเลาะกันเลย”
“ไอ้เด็กน้อยชาวเมียนมาร์..แกกล้าแย่งแฟนของฉันเหรอวะ! ..แกบังอาจ!” เด็กหนุ่มที่เกรี้ยวกราดที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวขณะปล่อยหมัดต่อยไปที่เด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์
เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นเรื่องรักสามเส้าและเห็นได้ชัดเลยว่าหญิงสาวคนนี้ชอบเด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์มากกว่าเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนหัวหน้าแก๊งอันธพาล ส่วนความจริงคืออะไรนั้นเย่เชียนก็ไม่สามารถรู้ได้แต่ทว่าวิธีการเหล่านี้ค่อนข้างหยาบคายไปหน่อย เพราะการจีบผู้หญิงนั้นก็เป็นเรื่องปกติและใครๆ ก็สามารถที่จะใช้วิธีการที่ดูเป็นสุภาพบุรุษและจริงใจกันได้ทั้งนั้น แต่เห็นได้ชัดเลยว่าฝ่ายหญิงนั้นไม่ได้ชอบคนที่ดูเหมือนอันธพาลเลยแต่เขากลับใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อรั้งและบังคับเธอเอาไว้ ซึ่งวิธีการนี้จะไมได้รับความโปรดปรานและความรักจากฝ่ายหญิงใดๆ เพียงเท่านั้นแต่ยังทำให้เธอยิ่งเกลียดและยิ่งตีตัวห่างออกไปเรื่อยๆ เลยด้วยซ้ำ
หลี่จื้อเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคนหนุ่มสาวนี่เอง!”
เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์นั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกลุ่มคนเหล่านี้เลยและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโต้กลับใดๆ เขาเพียงแค่นอนโอดครวญอยู่บนพื้นและเอามือปิดใบหน้าของเขาและจำใจปล่อยให้คนกลุ่มนั้นลุมต่อยและเตะเขาอย่างน่าสังเวช
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันแน่นซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเย่เชียนรู้สึกเอือมระอาไปกับการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้ และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะยอมรับว่าสำหรับผู้ชายแล้วความสง่าผ่าเผยและความแข็งแกร่งนั้นก็คือโลกของลูกผู้ชาย แต่ถึงยังไงก็ต้องรู้วิธีทำคะแนนและวิธีจีบผู้หญิงที่เหมาะสมด้วย แต่ถ้าหากต้องทำเพื่อผู้หญิงที่ไม่ได้รักและไม่ได้ชอบตัวเองเลยล่ะก็เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลำบากและยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอเลยเพราะมันจะเหมือนคนที่โง่เขลาอย่างมาก
หญิงสาวจ้องมองไปที่เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากหัวและใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์และเธอก็รู้สึกกลัวและเสียใจจนร้องไห้สะอึกสะอื้น อย่างไรก็ตามกลุ่มคนเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะยิ่งทำรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมราวกับว่าพวกเขามีความเกลียดชังฝังลึกอยู่ในใจอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยืนขึ้นและเดินเข้าไปอย่างช้าๆ และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลี่จื้อเทียนอย่างลับๆ พลางคิดว่าเย่เชียนจะจัดการเรื่องแบบนี้อย่างไร
“พอได้แล้ว!” เย่เชียนตะโกนใส่กลุ่มคนเหล่านั้นและพวกนั้นก็หันกลับมามองด้วยความงุนงงเล็กน้อย
กลุ่มคนเหล่านั้นก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นมาว่า “อะไรนะ! ..แกอยากมีเรื่องเหรอ?”
เย่เชียนก็ขี้เกียจที่จะวุ่นวายกับคนเหล่านี้มากเกินไปเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยรุนแรงมาก “พอได้แล้ว..เขาสาหัสมากขนาดนี้แล้ว..ถ้ายังกระทืบเขาต่ออีกล่ะก็เขาอาจจะตายได้นะ..และมันคงไม่ดีสำหรับพวกคุณด้วย” เย่เชียนพูด
“แล้วจะทำไม? ..แค่กระทืบมันให้ตายแล้วมันจะเป็นอะไร? ..ไอ้พวกเมียนมาร์ที่มันกล้ามาหยิ่งผยองในประเทศจีนของเราแบบนี้” เด็กหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษของชาติ
เย่เชียนยิ้มอย่างเย้ยหยันซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าคนหนุ่มสาวที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่เกรี้ยวกราดและหยิ่งผยอง แต่ทว่าพวกเขาเหล่านี้ก็ยังคงเป็นวัยรุ่นที่ทำตัวเหมือนอันธพาลอยู่ดี ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเยาวชนนั้นจะมีอยู่ 2 ประเภทซึ่งประเภทแรกก็คือคนหนุ่มสาวเหล่านี้ที่มักจะหยิ่งผยองและคิดว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่และอีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่มักจะใช้วิธีการที่เหมาะสมเพื่อพิสูจน์ความชอบธรรมของชาติของตนโดยไม่ใช้กำลัง
“พวกคุณน่าจะเป็นนักศึกษาใช่มั้ย” เย่เชียนพูดต่อ “แล้วเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของคุณด้วยหรือเปล่า?” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้าเย่เชียนก็พูดต่อ “ชาวต่างชาตินั้นมักจะเดินทางมาที่ประเทศของเราเพื่อมาศึกษาเล่าเรียน..เพราะงั้นมันคงไม่ดีที่ชาวจีนอย่างเราๆ จะมาทำแบบนี้”
“ไอ้เวรนี่! ..แล้วแกมายุ่งอะไรด้วยวะ” เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้าตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นและแววตาของเย่เชียนก็เริ่มเย็นยะเยือกขึ้นและทันใดนั้นเย่เชียนก็ต่อยปากของเด็กหนุ่ม “ปัก” และฟันหลายซี่ก็หลุดออกมาพร้อมกับเลือดสดๆ ส่วนคนที่เหลือก็รีบกรูเข้ามาหาเย่เชียนแต่เย่เชียนก็ต่อยพวกเขาไปคนละหมัด
“การทำแบบนี้มันจะทำให้พวกนายดูเป็นลูกผู้ชายกันหรือเปล่าล่ะ? ..ห๊ะ” เย่เชียนพูดอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของเย่เชียนเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะหยิ่งผยองอีกต่อไปและพูดอย่างหมดหนทางว่า “แต่ว่า..มันแย่งแฟนของฉันไป..ถ้าฉันไม่สั่งสอนมันบ้างฉันจะยังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกมั้ยล่ะ”
“แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ..การที่นายเอาชนะเขาได้เนี่ยนายคิดว่าแฟนของนายจะเปลี่ยนใจงั้นเหรอ..ผู้ชายอย่างเราๆ ควรจะทำสิ่งที่สง่าผ่าเผยสิ..และนายก็ต้องแยกแยะด้วยสิว่ามันคุ้มค่ากันหรือเปล่า..ฉันพูดถูกมั้ยล่ะ?” เย่เชียนพูด
เด็กหนุ่มคนก็แน่นิ่งไปเป็นเวลานานและพูดอะไรไม่ออก
“ออกไปซะ!” เย่เชียนพูดจากนั้นก็มองไปที่เด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์ที่กำลังนอนโอดครวญอยู่บนพื้นแล้วถามว่า “นายต้องการโทรหาตำรวจมั้ย?”
เด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร”
เย่เชียนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เพราะถึงยังไงแล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้มันก็เป็นเพียงแค่การทะเลาะเบาะแว้งกันของกลุ่มวัยรุ่นเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวและไม่จำเป็นที่เรื่องนี้จะต้องถึงมือของตำรวจเลย
หลังจากที่เย่เชียนพูดแล้วคนหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรใดๆ เลยเพียงมองไปที่เย่เชียนอย่างตื่นตระหนกและรีบวิ่งหนีกันออกไป เย่เชียนมองไปที่เด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์ที่พยายามลุกขึ้นมาด้วยการช่วยเหลือของหญิงสาวคนนั้นซึ่งทั้งจมูกและปากของเด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์ต่างก็มีเลือดไหลเปื้อนอยู่เต็มไปหมดแต่ทว่ามันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก “นายต้องการให้ฉันเรียกรถพยาบาลให้มั้ย?” เย่เชียนถาม
เด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์ก็ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..ขอบคุณมาก”
เย่เฉียนพยักหน้าเล็กน้อยและถามว่า “นายเป็นนักศึกษาชาวต่างชาติใช่มั้ย? ”
“ใช่ๆ ..ผมชื่นชมวัฒนธรรมของประเทศจีนมาโดยตลอด..เพราะงั้นฉันจึงมาเรียนที่ประเทศจีนหลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปลายน่ะ” เด็กหนุ่มชาวเมียนมาร์พูดต่อ “ผมชื่อไท่เหอ..พี่ชายชื่ออะไรหรอ”
“เย่เชียน!” เย่เชียนพูดเบาๆ “นายควรไปโรงพยาบาลก่อนนะ..ตอนนี้ก็เอาผ้ากับน้ำแข็งประคบเอาไว้ก่อนละกัน” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็หันกลับไปและเดินไปยังที่นั่งของเขา
ไท่เหอก็พูดอย่างเร่งรีบว่า “เดี๋ยวก่อนพี่ชายผู้มีพระคุณ..ผมขอเบอร์ติดต่อเอาไว้หน่อยจะได้มั้ย..ถ้าเมื่อไหร่ที่พี่ชายไปเยือนเมียนมาร์ในอนาคตผมจะได้ตอบแทนให้ดีที่สุดในฐานะเจ้าภาพน่ะ”
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกๆ ..แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ น่ะ” หลังจากนั้นเย่เชียนก็หันกลับไปและเดินกลับไปยังที่นั่งของเขาและนั่งลง
ไท่เหอก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เย่เชียนพร้อมกับพูดว่า “พี่ชายนี่คือเบอร์โทรศัพท์ของผม..ถ้าหากพี่ชายไปเมียนมาร์เมื่อไหร่ก็อย่าลังเลที่จะโทรหาผมนะครับ”
เมื่อเห็นท่าทางที่น่าเป็นมิตรและดูเคารพของไท่เหอแล้วเย่เชียนก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้เย่เชียนจึงพยักหน้าเล็กน้อยและรับนามบัตรเอาไว้ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าการเข้าไปแทรกแซงเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของวัยรุ่นเล็กน้อยๆ เช่นนี้จะทำให้เขาได้รับผลตอบแทนอย่างมากมายในอนาคตวันข้างหน้า แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลังเพราะฉะนั้นในตอนนี้เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
ไท่เหอก็บอกลาเย่เชียนอย่างสุภาพจากนั้นเขาก็เดินออกไปจากร้านกาแฟด้วยความช่วยเหลือของหญิงสาวคนนั้นและขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังจะออกไปพวกเขาก็เห็นชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยวิ่งกันเข้ามาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับตะโกนว่า “บอส! ..ผมมีอะไรจะบอก..คือวันนี้..” ชิงเฟิงตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ไอ้บ้านี่..ฉันจะบอกอาจารย์เอง..อาจารย์คือวันนี้..” หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ดูตื่นเต้นมากเช่นกัน
“เอ้าไอบ้านี่..ฉันเป็นรุ่นพี่ของนายนะ..นายควรเรียกฉันว่ารุ่นพี่สิ” ชิงเฟิงพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ย
“โถ่เอ๊ย..ฉันอายุมากกว่านายนะเว้ย!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างเย้ยหยัน
เย่เชียนนั้นรู้สึกตกตะลึงและประหลาดใจไปกับสองคนนี้เพราะพวกเขาทั้งสองนั้นกลับมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเย่เชียนก็ยังคงเศร้าใจอยู่ที่เขาตัดสินใจผิดพลาดที่พาสองคนนี้มาที่นี่กับเขาด้วย ส่วนหลี่จื้อเทียนและเฉินเซิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ดูตกตะลึงและประหลาดใจมากเช่นกันแต่พวกเขาก็รู้สึกดีที่ได้เห็นชายหนุ่มทั้งสองที่ดูกระตือรือร้นกันอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไอ้บ้านี่นายโง่หรือเปล่า..นายเรียกบอสของฉันว่าอาจารย์งั้นเหรอ..เขายังไม่ได้แก่ถึงขั้นเป็นลุงเลย” ชิงเฟิงพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“ทำไม! ..นายรับไม่ได้งั้นเหรอที่ฉันเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์น่ะ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างเย้ยหยัน
“งั้นมาสู้กันให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยดีกว่า” ชิงเฟิงพูดขณะที่เขากำลังเตรียมตัวที่จะต่อสู้ ส่วนหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็พับแขนเสื้อของเขาขึ้นเพื่อรับคำท้า
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเชื่องช้าและจ้องเขม็งพวกเขาทั้งสองจากนั้นก็พูดว่า “ถ้าพวกนายสองคนยังไม่หุบปากกันอีกล่ะก็ฉันจะสั่งสอนทีละคนเลย..พวกนายยืนเถียงกันมาตั้งนานแล้วฉันยังไม่ได้รู้อะไรเลย..ค่อยๆ พูดอย่าแย่งกันพูด..เอ่าว่ามามีเรื่องอะไรล่ะ”
ชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ตกตะลึงและทั้งคู่ก็หัวเราะอย่างโง่เขลาพร้อมกับรอยยิ้มที่ประจบกันอย่างชั่วร้ายบนใบหน้าทั้งสอง “บอสคือ…”
ทันทีที่ชิงเฟิงกำลังจะพูดหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “ไอ้บ้านี่เดี๋ยวฉันบอกอาจารย์เอง”
“แม่งเอ๊ย! ..” ชิงเฟิงตะโกนขึ้นอีกครั้ง.
.
.
.
.
.
.
.