ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 266 ลงพื้นที่ตรวจสอบ
เย่เชียนไปเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเพื่อดูข้อมูลต่างๆ ที่แจ็คส่งมาให้เมื่อคืนนี้และเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้ในช่วงที่เขาไม่ได้อยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ และแล้วโครงการปฏิรูปเมืองและบูรณาการเมืองใหม่ของรัฐบาลได้ตกอยู่ในมือของบริษัทตงเซียงกรุ๊ปแล้ว และการดำเนินการขั้นต้นและการรื้อถอนรวมไปถึงการจัดสรรพื้นที่ใหม่นั้นก็อยู่ในระหว่างดำเนินการแล้ว
เย่เชียนก็รู้สึกประหลาดใจล็กน้อยเพราะด้วยความแข็งแกร่งของเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปนั้นพวกเขากลับไม่สามารถแข่งขันกับตงเซียงกรุ๊ปได้และดูเหมือนว่าตงเซียงกรุ๊ปจะชนะอย่างง่ายดายเกินไป แต่เย่เชียนเองก็ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องธุรกิจมากนักแต่เขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าโครงการปฏิรูปเมืองและบูรณาการเมืองในครั้งนี้จะสามารถทำกำไรได้มากแค่ไหน และฝ่ายไหนที่จะทำเงินได้มากที่สุดกัน? แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นประเทศอยู่แล้วเพราะโครงการเหล่านี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างรายได้ในระยะยาว และต้นทุนในการดำเนินการหนึ่งพันล้านนั้นในท้ายที่สุดแล้วมันก็อาจจะได้กำไรเพียงแค่ 100 ล้านเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้แล้วตงเซียงกรุ๊ปก็ไม่น่าจะมีเงินทุนมากขนาดนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือถึงแม้ว่าตงเซียงกรุ๊ปจะมีเงินทุนมากอยู่แล้วก็ตามแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะดำเนินการทั้งหมดด้วยตัวเองได้และมันต้องมาจากเงินกู้จากธนาคารกลางอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากเป็นโครงการเช่นนี้ก็ทำให้สามารถกู้เงินจากธนาคารได้หลายร้อยล้านอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นความจำเป็นของการดำเนินธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และถ้าหากมหาเศรษฐีรายใดที่ไม่เป็นหนี้กับธนาคารเลยมันก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนรวยยิ่งร่ำรวยมากขึ้นและทำให้คนจนยิ่งยากจนลงมากกว่าเดิม
ความจริงที่ว่าการชนะการประมูลโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวของตงเซียงกรุ๊ปนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องดี เพราะอย่างน้อยๆ เครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปก็จะไม่ยอมให้ตงเซียงกรุ๊ปดำเนินการทุกอย่างไปอย่างตามคาดอย่างแน่นอน ใครไม่อยากได้รับส่วนแบ่งจากโครงการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ล่ะ? เย่เชียนเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่จุดประสงค์ของเย่เชียนนั้นไม่ใช่แค่การขัดขวางหรือทำให้เกิดอุปสรรคเพียงเท่านั้น เพราะถ้าหากต้องการที่จะทำลายใครสักคนแล้วล่ะก็เราก็ต้องดำเนินการใหญ่และใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้ตงเซียงกรุ๊ปย่อยยับและไม่มีวันยืนหยัดกลับมาได้อีก
แต่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่มากในขั้นตอนดังกล่าวเพราะมันจะสร้างความวุ่นวายในเมืองด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถ้าต้องการสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่เช่นนี้
เย่เชียนหายใจเข้าลึกๆ และก็ปิดคอมพิวเตอร์ลง
ผ่านไปสองสามวันเย่เชียนก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเขาใช้เวลาอยู่กับฉินหยูอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากการห่างกันและการจากกันนั้นมันเป็นเรื่องที่แสนจะเจ็บปวดหัวใจ ถึงยังไงแล้วถ้าหากไม่มีความเจ็บปวดจากการจากกันที่ไกลห่างมันก็ไม่มีความสุขเมื่อได้พบกันอีกครั้ง ซึ่งสามวันต่อมาเย่เชียนได้ไปส่งฉินหยูขึ้นรถไฟเป็นการส่วนตัวเพื่อส่งเธอไปทำการสอนหนังสือในพื้นที่ภูเขาอันห่างไกลและเมื่อมองดูรถไฟที่จากไปต่อหน้าต่อตาของเขาแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมออกมาจากดวงตาของเขา
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เต็มใจที่พวกเธอต้องจากไปก็ตาม แต่จากอีกมุมมองหนึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันเพราะนับจากนี้ไปมันจะมีสงครามครั้งใหญ่ในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้และมันก็จะเป็นพายุแห่งการนองเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงต้องอดกลั้นและอดทนเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อพวกเธอไม่ได้อยู่รอบตัวของเย่เชียนแล้วเขาก็จะสามารถขยับมือและเท้าของเขาในการต่อสู้และเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ได้
ในตอนเย็นเย่เชียนได้รับโทรศัพท์จากซ่งหลันโดยเธอบอกว่าคนจากแผนกธุรกิจของบริษัทจะไปที่โรงงานผลิตเพื่อทำการตรวจสอบสถานที่ในพรุ่งนี้เช้าและถ้าหากเย่เชียนต้องการที่จะไปด้วยก็ให้มาที่บริษัทในเช้าวันพรุ่งนี้ ซึ่งเย่เชียนก็ตอบตกลงเพราะในเมื่อฉินหยูเดินทางไปแล้วบ้านแห่งนี้ก็ว่างเปล่าและขาดความมีชิวิตชีวาไปอย่างมากและการอยู่ที่นี่อย่างไร้จุดหมายนั้นมันก็จะกระตุ้นความเหงาของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงเท่านั้น ซึ่งเย่เชียนก็ตั้งใจที่จะอยู่ที่บ้านหลังนี้ในวันนี้ก่อนและจะย้ายไปที่บ้านของซ่งหลันในวันพรุ่งนี้และถึงแม้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานไปกับความงามและความร้ายกาจของซ่งหลันก็ตาม แต่การถูกนางฟ้าทรมานนั้นมันก็ย่อมดีกว่าความเหงาเป็นไหนๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนตื่นแต่เช้าและล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำและแต่งตัวอย่างประณีตตั้งแต่หัวจรดเท้าและสวมชุดสูท Armani ซึ่งรูปลักษณ์ของเขาดูดีอย่างมากและดูเหมือนนักธุรกิจเล็กน้อย และรอยยิ้มของเขานั้นก็ดูน่าดึงดูดอยู่ตลอดเวลาและรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขานั้นก็เปล่งประกายความเป็นลูกผู้ชายอย่างมากซึ่งมันทำให้เย่เชียนนั้นดูสง่าผ่าเผยและน่าหลงใหลอย่างมาก
หลังจากมาถึงสำนักงานใหญ่ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วเหล่าเจ้าหน้าที่แผนกธุรกิจที่รับผิดชอบการลงพื้นที่ตรวจสอบในครั้งนี้ก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าแล้วและเสี่ยวอิ๋งก็ยืนอยู่แถวหน้าของหนักงานเหล่านั้น ซึ่งข้างหลังของเสี่ยวอิ๋งนั้นเป็นพนักงานหญิงทั้งหมดซึ่งทำให้เย่เชียนตกใจและประหลาดใจอย่างมาก
เมื่อเห็นเย่เชียนมาเสี่ยวอิ๋งก็รีบทักทายโดยพูดว่า “สวัสดีค่ะท่านประ..”
เย่เชียนก็รีบจ้องมองเสี่ยวอิ๋งอย่างกระวนกระวายและเมื่อเสี่ยวอิ๋งเห็นเช่นนั้นเธอก็จำขึ้นได้ว่าเย่เชียนได้บอกกับเธอเมื่อวันนั้นว่าในการลงพื้นที่ครั้งนี้จะเป็นการตรวจสอบแบบส่วนตัวและต้องเป็นความลับเธอจึงเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดอย่างเร่งรีบว่า “คุณเย่คะทุกอย่างพร้อมแล้ว..ไปกันเถอะค่ะ”
เย่เชียนยิ้มอย่างพอใจและพยักหน้า
พนักงานสาวจากแผนกธุรกิจทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหลังของเสี่ยวอิ๋งจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเธอไม่เข้าใจที่มาที่ไปของเขาและอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเสี่ยวอิ๋งอย่างงุนงงด้วยความสงสัย เสี่ยวอิ๋งจึงอธิบายว่า “อ๋อ..คุณเย่คนนี้ได้รับการมอบหมายจากประธานซ่งให้ไปกับพวกเราในการลงพื้นที่ในครั้งนี้..เพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมของโรงงานผลิตเท่านั้น”
ถึงแม้ว่าเสี่ยวอิ๋งจะพูดอย่างง่ายๆ คร่าวๆ ก็ตามแต่พวกเธอแต่ละคนก็สามารถเข้าใจได้เพราะถึงแม้ว่าพวกเธอจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเย่เชียนก็ตามแต่ทว่าซ่งหลันที่เป็นประธานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปถึงกับมอบหมายหน้าที่นี้ให้เขาด้วยตัวเองเป็นการส่วนตัว อาจพูดได้ว่าเย่เชียนเป็นดั่งองครักษ์ของราชินีแห่งบริษัท แต่สิ่งที่ทำให้พวกเธอไม่เข้าใจก็คือมีบริษัทจำนวนมากและอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งพันแห่งที่อยู่ภายใต้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปที่เป็นโรงงานแปรรูปและโรงงานผลิตขนาดเล็กประเภทนี้ แล้วเหตุใดจึงดำเนินการอย่างยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ เพราะไม่เพียงแค่เสี่ยวอิ๋งที่เป็นถึงหัวหน้าแผนกธุรกิจเพียงเท่านั้นที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยตนเองแต่ยังส่งองครักษ์ของราชินีของพวกเธอมาอีกด้วย
คนหกคนเดินทางโดยรถสองคัน ซึ่งเย่เชียนขอให้เสี่ยวอิ๋งไปกับเขาและให้พนักงานแผนกธุรกิจที่เหลืออีกสี่คนนั่งรถอีกคันซึ่งเป็น BMW 720 ของบริษัท ส่วนเย่เชียนก็ขับ Lamborghini ของฉินหยู ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของเสี่ยวอิ๋งที่ได้นั่งรถซูเปอร์คาร์สุดหรูเช่นนี้และเธอก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และเธอก็มองไปที่เย่เชียนที่นั่งข้างๆ เธอและเธอก็แอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยแต่ทว่าเธอก็ยังคงสุขุมและสงบเสงี่ยมเช่นเคย
“คุณกลัวผมหรอ เหอะเหอะ!” เย่เชียนยิ้มเบาๆ และหันหน้าไปมองเสี่ยวอิ๋งแล้วพูด
“ไม่ค่ะ..ไม่เลย” เสี่ยวอิ๋งรีบพูดอย่างเร่งรีบแต่ก็ยังคงตะกุกตะกักด้วยความประหม่า
“คุณอย่ากังวลไปเลย..ก็อย่างที่ผมพูดไปน่ะ..พี่หลันเธอเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างในบริษัท..และผมก็ไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องนั้นหรอก..และนี่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาแห่งความสุขเพื่อความฝันในวัยเด็กของผมน่ะ” เย่เชียนพยายามพูดให้เธอเข้าใจอย่างเต็มที่เพราะเขากังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะทำตัวประหม่าและทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่กับเขา “คุณเข้าทำงานที่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเมื่อไหร่หรอ?”
“ฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเพราะเพิ่งจะเรียนจบในปีนี้และจากนั้นฉันก็สมัครเข้าบริษัทเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะค่ะ” เสี่ยวอิ๋งตอบ
“แล้วเป็นไงบ้าง..คุณมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเครือน่านฟ้ากรุ๊ปยังไงบ้าง” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้ม “คุณพูดออกมาได้เลย..อย่ากังวลไป..พูดในมุมมองของคุณเอง”
“ฉันรู้จักเครือน่านฟ้ากรุ๊ปตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศน่ะ..หลังจากกลับมาที่ประเทศจีนแล้วฉันก็ไม่คิดเลยว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปจะมาเปิดสาขาใหม่ในประเทศจีนแบบนี้..เพราะงั้นฉันจึงมาสมัครน่ะ..ซึ่งเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็เป็นบริษัทระหว่างประเทศขนาดใหญ่และฉันก็สามารถที่จะแสดงความสามารถของฉันที่ฉันไปเล่าเรียนมาได้..และความทะเยอทะยานรวมไปถึงอุดมคติและความฝันของฉันก็สามารถเกิดขึ้นได้ในสถานที่แห่งนี้..และนอกจากนี้ผู้บริหารต่างๆ ของบริษัทก็ยังเป็นคนดีมีน้ำใจและพิถีพิถันในการทำงานอย่างมาก..และก็ใส่ใจพนักงานของเราเสมอ..เมื่อฉันอยู่ในสำนักงานเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านเลย” เสี่ยวอิ๋งพูดซึ่งคำพูดของเธอนั้นมีความจริงใจอย่างมากและไม่มีการโกหกหรือเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
“โห..ยอดเยี่ยมไปเลย..คุณเป็นแรงผลักดันและเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาของบริษัทเรา..ถ้าบริษัทนี้ไม่มีคุณล่ะก็..มันคงจะขาดความก้าวหน้าอย่างมากมายเลยในอนาคต” เย่เชียนชมเชยเธอและพูดต่อ “โรงงานผลิตของหวังฮุ่ยนั้นผลิตอะไรเป็นหลักหรอ?”
“ผลิตภัณฑ์ประเภทอุปกรณ์เสริมและเกมคอนโซลค่ะ” เสี่ยวอิ๋งตอบและพูดต่อ “ตอนนี้เราเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เสริมเกมคอนโซลรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบยุโรปค่ะ..ซึ่งความต้องการสินค้านี้ก็มีจำนวนมากทุกๆ ปีและยอดขายต่อปีก็มีมูลค่าประมาณห้าพันล้านหยวน..และนอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ก็ยังตกรุ่นเร็วและเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็วเช่นกันค่ะ..จึงทำให้ห่วงโซ่ของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้นั้นหมุนเวียนกันในทุกๆ ปีจึงทำให้ตลอดของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแถบยุโรปนั้นมีขนาดใหญ่อย่างมาก”
“โห..มันดูอลังการมาก..อุปกรณ์เสริมของเครื่องเล่นเกมแบบไหนหรอ..คุณช่วยเจาะจงมากกว่านี้หน่อยได้มั้ยครับ” เย่เชียนถามต่อ
“อุตสาหกรรมเกมและแอนิเมชั่นในต่างประเทศนั้นกำลังพัฒนากันอย่างรวดเร็วและยังเป็นตลาดใหญ่อีกด้วย..ซึ่งบริษัทของเรานั้นก็มีหน้าที่หลักในการผลิตอุปกรณ์เสริมเครื่องเล่นเกม PSP, DSL และ XBOX 360 เช่นเคสกันรอยและเคสลายยอดนิยมต่างๆ รวมไปถึงจอยและคอนโทรลเลอร์และอีกมากมาย ฯลฯ ..ซึ่งชาวต่างชาติก็ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้อย่างมากเลยทีเดียว” เสี่ยวอิ๋งพูด
เย่เชียนที่อยู่ต่างประเทศมาหลายปีนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อยู่บ้างเพราะเมื่อเทียบกับประเทศจีนแล้วการพัฒนาเกมและอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นในต่างประเทศนั้นมีความก้าวหน้ากว่าอย่างมาก และสิ่งสำคัญก็คือผู้คนสามารถเล่นเกมและใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างมีความสุข แต่ทว่าคนรุ่นเก่าและคนโบราณของประเทศจีนหลายคนเชื่อว่าเกมเป็นสิ่งที่อันตรายและห้ามไม่ให้ลูกๆ หลานๆ เล่นเกม แต่ทว่าอันที่จริงแล้วนี่มันเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างมากเพราะภายใต้ความกดดันและความเครียดต่างๆ นั้นสิ่งเหล่านั้นมักจะทำให้ผ่อนคลายมากกว่าที่เป็นความจริงจากโลภภายนอก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสอนวิธีปฏิบัติและวินัยต่อการเล่นเกมอย่างสมเหตุสมผลนั่นเอง
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อ “ผมเคยได้ยินพี่หลันพูดถึงแผนการดำเนินการที่ไม่ประสบความสำเร็จของบริษัทเราที่เกี่ยวกับการสร้างแอนิเมชั่นเกมขนาดใหญ่ในประเทศจีนน่ะ”
“ใช่ค่ะ..ถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมเกมและแอนิเมชั่นของจีนจะไม่เฟื่องฟูในต่างประเทศก็ตาม..แต่ก็ยังเป็นอุตสาหกรรมที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบันและผลกำไรในอุตสาหกรรมประเภทนี้ก็มหาศาลเช่นกัน..และเครือน่านฟ้ากรุ๊ปที่มีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างมากฉันก็เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปของเราจะสามารถกลายเป็นผู้พัฒนาและสร้างเกมรายใหญ่ที่สุดของจีนได้ค่ะ” เสี่ยวอิ๋งพูดอย่างจริงจัง
เย่เชียนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจโดยต้องบอกเลยว่าซ่งหลันนั้นเป็นคนที่ฉลาดอย่างมากและเสี่ยวอิ๋งคนนี้ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากมากเช่นกัน บุคลากรด้านธุรกิจที่มีคุณสมบัติเหมาะสมนั้นไม่เพียงแค่รับผิดชอบในการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเท่านั้นเพราะที่สำคัญกว่านั้นก็คือต้องสามารถวิเคราะห์ตลาดและสังเกตการณ์พัฒนาการของตลาดโลกได้อย่างสมเหตุสมผลด้วย และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสี่ยวอิ๋งนั้นทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้และเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวลกับทิศทางการพัฒนาและวิสัยทัศน์ที่เฉพาะเจาะจงของ บริษัท เพราะเขามีหน้าที่เพียงแค่รับผิดชอบในการวางแผนโดยรวมเพียงเท่านั้น
ระหว่างทางที่เย่เชียนและเสี่ยวอิ๋งคุยกันมาตลอดทางนั้นซึ่งทำให้อารมณ์และความกังวลของเสี่ยวอิ๋งนั้นผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเธอก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่า CEO ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีมูลค่าสุทธิหลายแสนล้านนั้นจะใจดีและเป็นกันเองและเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของเธอเช่นนี้ เพราะเย่เชียนไม่ได้มีท่าทางสุขุมและหยิ่งยโสหรือโออ่าแบบนั้นเลย เพราะเขาดูเหมือนเพื่อนสนิทของเธอเสียมากกว่า
ในขณะที่พวกเขาทั้งสองคุยกันนั้นเขาก็มาถึงหน้าประตูโรงงานผลิตที่เย่เชียนเคยทำงานเมื่อเขายังเด็กแล้ว เจ้านายนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปแต่ตึกของโรงงานได้บูรณาการใหม่แล้วซึ่งเป็นตึกหกชั้นที่ยังใหม่เอี่ยมอย่างมาก บนหลังคาของตึกนั้นมีแผ่นป้ายชื่อโรงงานและมีป้ายแขวนอยู่ตรงประตูซึ่งอ่านว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริษัทเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของเรา!”
.
.
.
.
.
.
.