ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 27 จิตวิญญาณชายชาติทหาร
ตอนที่ 27 จิตวิญญาณชายชาติทหาร
เย่เชียนได้แต่หัวเราะเบา ๆ ไปตามน้ำกับคำพูดของหวันชุนหัวอย่างเสียมิได้
“น้องชาย… นายมาจากไหนเหรอ ?” หวันชุนหัวถาม
“ผมเหรอ ? ผมมาจากเซี่ยงไฮ้ครับ” เย่เชียนตอบอย่างสุภาพและเป็นมิตร
หวันชุนหัวจ้องมองเขาสักพัก จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นายรู้ไหมว่ามีชาวบ้านจากเซี่ยงไฮ้หลายคนที่ต้องผันตัวมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของที่นี่เพราะแผ่นดินของเรามีค่าดั่งทองคำ คนจนน่ะอยู่ยาก มีแต่คนรวยเท่านั้นแหละที่จะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของที่ดิน พวกเขาสามารถสร้างอะพาร์ตเมนต์หรือคอนโด ไม่ก็โครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ บนที่ดินที่มีอยู่นั้นแล้วก็เรียกเก็บค่าเช่ารายเดือนไปตลอดจนวันตายได้”
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า
“ที่เซี่ยงไฮ้แห่งนี้ หรือแม้กระทั่งที่แห่งอื่นมีผู้คนมากมายที่โชคดีเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ผมน่ะเกิดมาท่ามกลางความยากจน…”
คำพูดของเขาดู ๆ แล้วก็เป็นคำพูดตัดพ้อทั่วไป ทว่าสิ่งที่เย่เชียนต้องการจะสื่อให้หวันชุนหัวเข้าใจจริง ๆ ก็คือ เซี่ยงไฮ้ที่รุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาเป็นดินแดนแห่งโอกาสทอง แต่ภายใต้โอกาสทองนั้นอาจจะถูกฝังไว้ด้วยกองกระดูกของผู้คนมากมาย…
“แล้วพี่ล่ะ ? มาจากไหนเหรอพี่ชาย ?” เย่เชียนถามกลับเมื่อเห็นว่าหวันชุนหัวยังไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ฉันมาจากมณฑลอานฮุย ย่านเดียวกับท่านประธานาธิบดี…” หวันชุนหัวพูดด้วยความภูมิใจราวกับว่าประธานาธิบดีเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง
ในประเทศจีนนั้น หากคนที่มาจากบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกันประสบความสำเร็จได้เป็นคนใหญ่คนโต มันจะทำให้ผู้คนที่มาจากเมืองเดียวกันมีความสุขไปโดยปริยาย ไม่ต้องพูดถึงทัศนคติของผู้ที่ประสบความสำเร็จเลย คนเหล่านั้นจะทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาบ้านเกิดของตนไม่ให้เสียหน้าและเสื่อมเสียเกียรติ
“พี่ชาย… แล้วพี่ล่ะชื่ออะไร มาจากไหนเหรอ ?” เย่เชียนหันไปถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนซึ่งนั่งอยู่เงียบ ๆ
แม้เย่เชียนจะไม่เคยเป็นทหารของรัฐบาลมาก่อน แต่ประสบการณ์ของเขาก็มีมากจนสามารถเทียบเท่ากับทหารคนหนึ่งได้ เขารับรู้ถึงจิตวิญญาณในแบบนายทหารมาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น เย่เชียนเดาว่าเขาจะต้องเป็นทหารจากหน่วยพิเศษที่ไหนสักที่ ชายชาติทหารย่อมมีสัญชาตญาณพิเศษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ถ้าทั้งสองคนได้เผชิญหน้ากัน พวกเขาก็คงจะประกาศตนได้ว่าตัวเองมาจากหน่วยใด
ในกองทัพมักจะมีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาอาจจะเคยเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีก็ได้ ทหารหลายคนชอบพูดเกินจริงและชอบแบ่งปันประสบการณ์ให้แก่คนอื่นไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี และแน่นอนว่าสิ่งที่ต้องมีในการเล่าประสบการณ์ของทหารก็คือ การต่อสู้และร่วมรบเคียงข้างเทพแห่งสงครามที่มโนขึ้นมาเองของพวกเขา
“ฉัน ฟูจุนเฉิง มาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นตอบอย่างสุขุม และการพูดก็เหมือนทหารอย่างสมบูรณ์แบบ
ในแววตาของฟูจุนเฉิงดูเหมือนว่าเขาจะมีแรงกดดันอะไรบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าจะมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมซึ่งชายชาติทหารเท่านั้นที่จะมีได้ ชายสุขุมที่มีพื้นเพมาจากดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนผู้นี้ ช่างมีวิธีการพูดที่ทำให้คนฟังฟังแล้วรู้สึกค่อนข้างอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“คนนั้นเขาไม่ค่อยพูดน่ะ… แต่เขานิสัยดีนะ นายไม่ต้องกังวลไปหรอก หึ ๆ ๆ” หวันชุนหัวพูดพร้อมกับหัวเราะ
“ยินดีที่ได้รู้จักกับทุกคนนะครับ… วันนี้ผมมาทำงานวันแรก ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย งั้น… เย็นนี้หลังเลิกงานพวกเราไปหาอะไรกินด้วยกันดีไหมครับ ? เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง…”
“เอาสิ! ไม่พลาดอยู่แล้ว อาหารฟรีไม่ได้มีบ่อย ๆ! ฉันรู้จักร้านบาร์บีคิวที่มีเมนูเด็ดที่สุดอยู่! ที่นั่นมีอัณฑะแพะรสดีสุด ๆ เลยแหละ เราไปร้านนั้นกันเถอะ” หวันชุนหัวตอบอย่างมีความสุข
“โห! หวันชุนหัว คุณกล้ากินอาหารพวกนั้นเหรอ คุณไม่สงสารพวกมันหรือไง! ถ้าคุณไม่มีมันบ้างล่ะ ฮ่า ๆ ๆ” เย่เชียนหัวเราะและถามเชิงหยอกล้อ
“มีอะไรต้องกลัวในเมื่อมันอร่อยจะตายไป! ว่าแล้วเดี๋ยวฉันหาสาว ๆ ไปนั่งกินด้วยดีกว่า… จ่ายให้พวกเธอพันหยวนแล้วให้ทิปเพิ่มอีกซักห้าร้อย จะได้เสร็จในปากของเธอไง…” หวันชุนหัวพูดอย่างมีอารมณ์
เย่เชียนชอบคนประเภทนี้ ประเภทที่ไม่เสแสร้งและตรงไปตรงมา เพราะเขาเองก็เป็นคนประเภทเดียวกัน เขาหัวเราะอย่างชอบใจกับคำพูดของหวันชุนหัว
“ฮ่า ๆ ๆ คุณหวันหาพวกเธอตามท้องถนนงั้นเหรอ ? ไม่กลัวติดโรคหรือยังไง ? แต่ถ้าจะไปหาสาว ๆ ในผับในบาร์ล่ะก็ ผมเกรงว่าเงินเดือนเดือนนึงของคุณก็คงยังไม่พอนะ ฮ่า ๆ ๆ”
“เฮ้อ… ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ! เราจะไปทำอะไรได้ในเมื่อพวกเราไม่ได้มีเงินเป็นถุงเป็นถังอย่างคนอื่นเขานี่ พวกผู้หญิงเขาคงไม่มาสนใจพวกเราหรอก ถ้าไม่ให้หาตามท้องถนนแล้วจะให้ไปหาจากที่ไหนกันล่ะ ?” หวันชุนหัวพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าเล็กน้อย
สิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริงทุกประการ บุคลากรปกสีฟ้าในประเทศจีนทุกคนอาศัยอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งงานแล้วหรือว่ายัง พวกเขาก็ล้วนต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเดียวกันทั้งหมด เพื่อชีวิตที่ดีกว่า พวกเขาจึงต้องจำใจออกจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อมาหางานทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็พบว่าเงินที่พวกเขาพยายามอดทนหามาได้ด้วยความยากลำบากเพื่อส่งกลับไปให้คนที่รออยู่ที่บ้านนั้น พวกเขาเองก็ต้องนำมาแบ่งกินแบ่งใช้ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว หลายคนยอมทนจากบ้านเกิดเมืองนอนมาหลายปี พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็กลับไปอยู่บ้านเกิดตัวเองแต่กลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่
เย่เชียนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก หวันชุนหัวจึงพูดขึ้นมาว่า
“เราหยุดคุยเรื่องรันทดพวกนี้เถอะ! น้องชาย นายเพิ่งมาวันแรกเดี๋ยวฉันจะพานายไปดูรอบ ๆ เอง จะได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่ทำงานใหม่…”
เย่เชียนพยักหน้า “ครับ พี่เรียกผมว่าเย่เชียนก็ได้”
“โอ้…! งั้นนายเรียกฉันว่าพี่หวันก็แล้วกัน” หวันชุนหัวพูดพลางหยิบหมวกของตัวเองขึ้นมาใส่ก่อนจะเดินไปที่สำนักงานรักษาความปลอดภัย
เย่เชียนเหลือบมองฟูจุนเฉิงซึ่งดูเหมือนว่าเขาเองก็เหลือบมองกลับมานิดหน่อย เขาพยักหน้าให้เย่เชียน จากนั้นก็เฝ้าดูจอภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดต่อไปเงียบ ๆ
……
บริษัทเทียนหยากรุ๊ปมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ในขอบเขตธุรกิจของพวกเขากว้างขวางอย่างมาก พวกเขาครอบคลุมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการกระจายสินค้าระบบโลจิสติกส์ รวมไปถึงเสื้อผ้าแฟชั่นต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในเซี่ยงไฮ้นั้น เทียนหยากรุ๊ปถือได้ว่าเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในการจัดอันดับบริษัทธุรกิจในประเทศที่ดำเนินกิจการโดยเอกชนในประเทศ และตึกระฟ้าที่สูงหกสิบชั้นนี้ก็เต็มไปด้วยสำนักงานของเทียนหยากรุ๊ป พื้นที่ในส่วนชั้นใต้ดินถูกใช้เป็นที่จอดรถ ส่วนชั้นที่สูงที่สุดนั้นเป็นสำนักงานของประธานคณะกรรมการ จ้าวเทียนหยา
ตลอดเวลาที่หวันชุนหัวอธิบายรายละเอียดของงานที่ได้รับมอบหมายให้กับเย่เชียนอย่างต่อเนื่อง มีบางพื้นที่ที่จะต้องลาดตระเวนอย่างละเอียดทุกวัน และในขณะเดียวกันก็มีบางพื้นที่ที่ถูกห้ามไม่ให้แม้แต่จะเข้าไปเฉียดใกล้ นอกจากนี้หวันชุนหัวยังใจดีแบ่งปันเรื่องอื้อฉาวทางเพศของคนในบริษัทเทียนหยากรุ๊ปให้เย่เชียนฟังอีกด้วย
เย่เชียนตั้งใจฟังเขาอย่างเงียบ ๆ ตลอดเวลาและไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกมา เขาทำงานที่นี่เพียงเพื่อให้พ่อรู้สึกสบายใจที่ลูกชายมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งก็เท่านั้น เย่เชียนไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทหรือเรื่องใด ๆ นอกลู่นอกทางในเทียนหยากรุ๊ปไปมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะทหารรับจ้าง เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเรื่องอื้อฉาวทางเพศเหล่านั้นเลย มันเป็นแค่เพียงเรื่องพูดคุยกันระหว่างกินดื่มเท่านั้นเอง
หลังจากทัวร์ชมตึกระฟ้าของเทียนหยากรุ๊ปจบลง เย่เชียนและหวันชุนหัวก็กลับไปที่สำนักงานรักษาความปลอดภัย ทว่าระหว่างทางก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินชนเย่เชียน
“เฮ้!”
เสียงที่ดูน่ารักและรื่นหูดังขึ้นขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้ากลับสำนักงาน เขาทั้งสองคนมองอย่างประหลาดใจก่อนที่พวกเขาจะเห็นว่าเสียงนั้นมาจากเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวแฟชั่นจัดเต็มทว่ากลับดูมีเสน่ห์เหลือล้น เธอถือแฟ้มใส่เอกสารหนา ๆ แฟ้มหนึ่งอยู่ในมือพลางขมวดคิ้วแล้วตวัดสายตามองมายังพวกเขา
“คุณไม่มีตาหรือยังไง ?! เดินชนคนอื่นเข้าแล้วยังไม่กล่าวขอโทษอีก… คุณนี่ไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะ!” หญิงสาวมองเย่เชียนและตำหนิเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและเห็นว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นคนรีบวิ่งมาจนชนเขาก่อนหน้านี้ ตัวเองทำผิดเองแท้ ๆ แต่กลับกำลังตำหนิคนอื่น มันจึงทำให้เย่เชียนรู้สึกขุ่นเคืองและหงุดหงิด
หวันชุนหัวไม่รอให้เย่เชียนตอบอะไรกลับไป เขารีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
“เลขานุการลี่… ขอโทษ… ขอโทษครับ… เขาเพิ่งมาทำงานที่นี่วันนี้เป็นวันแรก โปรดอภัยให้แก่เขาด้วยเถอะนะครับ…”
“ฉันพูดกับคุณเหรอ ?” ลี่ซิ่วฉิน จ้องหวันชุนหัวอย่างดุร้าย จากนั้นเธอก็หันกลับมามองเย่เชียนแล้วตำหนิเขาซ้ำอีกครั้ง
“ว่าแต่คุณเถอะ เงียบทำไมล่ะ เป็นใบ้เหรอ ? คุณไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือไง ?”