ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 277 การเผชิญหน้าของทหารและตำรวจ
ตอนที่ 277 การเผชิญหน้าของทหารและตำรวจ
ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนนั้นก็สามารถเตะเข่าของเจียงปินหยางได้โดยตรงเพื่อให้เขาคุกเข่าลงสำหรับการขอโทษชาวเมืองในย่านนี้ แต่ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เย่เชียนต้องการเพราะสิ่งที่เย่เชียนต้องการก็คือการทำให้เจียงปินหยางคุกเข่าลงด้วยตัวเองและมันก็ไม่สำคัญว่าจะจริงใจหรือเพราะถูกบังคับก็ตาม และยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลที่เย่เชียนจงใจปล่อยให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยอาละวาดนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเติมเชื้อไฟให้เรื่องเหล่านี้ใหญ่โตและบานปลายมากขึ้นและโกลาหลยิ่งกว่าเดิมเพราะเนื่องจากการกวาดล้างตงเซียงกรุ๊ปนั้นมันจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องทำให้สถานการณ์ต่างๆ มันโกลาหลยิ่งกว่าเดิม และยิ่งไปกว่านั้นในเวลาเดียวกันสิ่งเหล่านี้ก็สามารถแสดงให้หวังปิงเห็นและเพื่อให้เขารับรู้อย่างชัดเจนว่าเย่เชียนนั้นมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมและไม่ใช่แค่เขาต้องอาศัยหวังปิงอยู่ฝ่ายเดียว และด้วยวิธีนี้ทัศนคติของหวังปิงที่มีต่อตัวเองก็จะดีขึ้นอย่างมากและการร่วมมือกับตัวเองก็จะมั่นคงมากขึ้นอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าเย่เชียนก็ยังมีจุดประสงค์อื่นอีกด้วยซึ่งนั่นคือการแสดงทัศนคติและจุดยืนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งต่อผู้คนในละแวกใกล้เคียงเหล่านี้เพื่อที่พวกเขาจะได้พบกับความเป็นธรรมและมีคนที่เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของพวกเขาที่สามารถพูดแทนพวกเขาได้เช่นนี้
หลี่ฮ่าวเองก็รับมือต่อสิ่งเหล่านี้ได้ค่อนข้างยากเพราะฝ่ายหนึ่งก็เป็นถึงพี่ชายของเขาและอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นข้าราชการระดับสูงของรัฐซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย แต่ทว่าผู้ว่าการหวังปิงก็กำลังเดินทางมาที่นี่และเมื่อเขามาถึงสิ่งต่างๆ ก็น่าจะง่ายขึ้นอย่างมาก
จู่ๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงของเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้นไปทั่วท้องฟ้าและหลังจากนั้นรถหุ้มเกราะจำนวนหลายคันก็หยุดที่ทางเข้าของถนนและเหล่าทหารติดอาวุธหนักมากกว่าร้อยคนก็วิ่งกรูกันเข้ามาและทหารอีกหลายสินายก็โรยตัวลงมาจากด้านบนของเฮลิคอปเตอร์ราวกับว่าที่แห่งนี้กำลังจะมีสงครามเพราะทหารเหล่านั้นกำลังปิดล้อมพวกตำรวจอยู่ ทว่าก็มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งลดระดับลงใกล้ๆ ท่ามกลางพวกเขาและมีชายยศผู้พันทหารโรยตัวลงมาจากด้านบนและลงมาท่ามกลางฝูงชนอย่างสง่า
ทุกคนทั้งหมดต่างก็แปลกใจและประหลาดใจว่าทำไมกองทัพทหารถึงมาโดยไม่มีเหตุผล? ซึ่งเจียงปินหยางเองก็ดูตื่นเต้นอย่างมากเพราะคิดว่าทหารเหล่านี้คือคนที่จะมาช่วยเขาและเขาก็คิดอย่างชั่วร้ายว่าหูเยว่และหลี่ฮ่าวและเย่เชียนจะหนีไปได้อย่างไร
หลี่ฮ่าวและหูเยว่ต่างก็มองหน้ากันเพราะไม่ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ทันใดนั้นหัวใจของหูเยว่ก็เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อนึกถึงการโทรศัพท์ของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเมื่อครู่นี้และในทันใดนั้นเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘ไอ้เด็กคนนี้คงจะไม่ได้เป็นทหารจริงๆ หรอกใช่มั้ย? ..เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็เหตุการณ์ในครั้งนี้คงจะบานปลายไม่น้อยเลย..ไอ้แก่เจียงปินหยางนี่สมควรแล้วที่ต้องถูกลงโทษ!’
ผู้พันทหารคนนั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ และสั่งเหล่าทหารของเขาว่า “ปลดอาวุธของตำรวจทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”
หลี่ฮ่าวถึงกับผงะไปชั่วขณะและพูดขึ้นมาทันทีว่า “คุณกล้ามาก!” ในฐานะอธิการกรมตำรวจส่วนกลางของเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วเขานั้นไม่สามารถทำให้ศักดิ์ศรีของเขาลดลงได้และนี่ก็ไม่ใช่การท้าทายเย่เชียนหรืออะไรใดๆ หลี่ฮ่าวเพียงต้องการขจัดความขัดแย้งทางทหารและการเมืองที่แยบยลเหล่านี้เท่านั้น
ผู้พันทหารมองไปที่หลี่ฮ่าวขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและพูดว่า “คุณสุภาพบุรุษคุณเป็นใครหรือ?”
“อธิการกรมตำรวจส่วนกลางและกระทรวงความมั่นคงเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้..หลี่ฮ่าว!” หลี่ฮ่าวพูดโดยไม่มีความถ่อมตัวหรือหยิ่งยโสใดๆ ซึ่งเขาดูเป็นธรรมชาติมาก
ผู้พันทหารถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยและพูดว่า “โอ้..คุณยังหนุ่มยังแน่นอยู่..คุณคงมีอนาคตที่ดี! ..แต่ต้องขอโทษด้วยเพราะถึงแม้ว่าคุณจะเป็นอธิการกรมตำรวจส่วนกลางเทศบาลเมืองก็ตาม..แต่พวกคุณก็ต้องมอบอาวุธทั้งหมดให้พวกเรา..หากใครกล้าที่จะขัดขืนละก็..พวกเราจะใช้กฎอัยการศึก!”
“น้องสาม..นายอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
หลี่ฮ่าวถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ และนอกจากนี้เขาก็รู้ดีว่าทหารเหล่านี้ค่อนข้างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยและตำรวจของเขาเองก็คงจะหาทางตอบโต้กับกองทัพทหารเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ผู้พันทหารหันกลับมามองไปที่เย่เชียนและคนอื่นๆ จากนั้นก็ถามว่า “คนไหนคือหวงฟู่เส้าเจี๋ย?”
“รายงานครับ..ผมร้อยเอกหวงฟู่เส้าเจี๋ย..ครับท่าน!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างสุภาพกับทหารมากและผู้พันคนนั้นก็ยศสูงกว่าเขาถึงสองระดับ
ผู้พันทหารยิ้มเบาๆ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เย็นชาและพูดว่า “ใครทำร้ายคุณ?”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “ยังครับ..แต่ถ้าผู้พันมาช้ากว่านี้ผมคิดว่าผมคงถูกยิงไปแล้ว”
ผู้พันทหารมองไปที่เจียงปินหยางซึ่งหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็กำลังจ่อปืนเอาไว้ที่หน้าผากของเขาดังนั้นผู้พันจึงถามว่า “เขาคือใคร?” เจียงปินหยางรู้สึกหดหู่จริงๆ เพราะเดิมทีเขาคิดว่าทหารเหล่านี้จะมาช่วยชีวิตตัวเองแต่กลับเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด แต่ไม่ว่าเขาจะโง่สักแค่ไหนถึงยังไงเขาก็รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว
“เขาเป็นรองเลขาผู้ว่าการเทศบาลเมือง..พวกเขาทำร้ายชาวบ้านชาวเมืองเหล่านี้..และผมก็ทนดูไม่ได้ครับท่าน”
“ไม่เป็นไรแล้ว..พี่น้องทหารของเราอยู่ที่นี่กันแล้ว..สบายใจได้”
“ท่านผู้พัน..ผมขอแนะนำท่านหน่อย..นี่คืออาจารย์ของผม” หวงฟู่เส้าเจี๋ยยื่นมือไปทางเย่เชียนและพูด
“ผม..เย่เชียนครับ!” เย่เชียนยื่นมือออกไปและพูดอย่างสุภาพ
ผู้พันถึงกับตกตะลึงเพราะเขารู้ถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลหวงฟู่เป็นอย่างดี ซึ่งการที่ใครจะเป็นเจ้านายหรือาจารย์ของเด็กคนนี้ได้นั้นความสัมพันธ์ของคนคนนั้นกับตระกูลหวงฟู่อันยิ่งใหญ่คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปทันทีและจับมือกับเย่เชียนพร้อมพูดว่า “ฉันลีเมิ่ง!”
คนในกองทัพนั้นต่างก็มีนิสัยที่ทะนงตัวประเภทที่ชอบแข่งขันกับผู้ที่แข็งแกร่ง ซึ่งหลังจากจับมือของเย่เชียนแล้วลีเมิ่งก็เพิ่มแรงอย่างช้าๆ และเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังอันแข็งแกร่งจากมือของอีกฝ่ายและเย่เชียนก็ต้องตกตะลึงเล็กน้อยและหลังจากนั้นก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้และเย่เชียนก็ค่อยๆ เพิ่มกำลังที่มือขึ้นเรื่อยๆ
ลีเมิ่งค่อยๆ เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจากพละกำลังที่มือของฝ่ายตรงข้ามซึ่งมันรุนแรงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็เริ่มไม่สามารถต้านทานมันได้และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและอยากจะถอนมือออกแต่ทว่ามือของฝ่ายตรงข้ามเหมือนโดนคาถามันเอาไว้เพราะเย่เชียนนั้นบีบเอาไว้อย่างแน่นและมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสลัดออก
หวงฟู่เส้าเจี๋ยที่เห็นฉากนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและจากนั้นก็มีรอยยิ้มที่มุมปากของเขาเพราะในสายตาของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นเย่เชียนคนนี้อยู่ยงคงกระพันในใบโลกนี้ แล้วผู้พันคนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของอาจารย์ของเขาได้อย่างไร ทว่าจู่ๆ หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เหมือนจะนึกถึงคนคนหนึ่งที่สามารถทำให้เย่เชียนนั้นหวั่นเกรงได้ซึ่งนั่นก็คือหมาป่าผีไป๋ฮวยนั่นเอง
เย่เชียนนั้นก็ไม่สามารถที่จะรุนแรงเกินไปเพราะเมื่อเห็นลีเมิ่งเริ่มทนไม่ได้เขาก็ค่อยๆ ผ่อนแรงและปล่อยมือไป ซึ่งลีเมิ่งเองก็จ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างซาบซึ้งและมีนัยยะแห่งการเคารพและชื่นชมอยู่ภายในดวงตาของเขาอย่างมากจากนั้นลีเมิ่งก็เอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “คุณเย่..คุณเคยเป็นทหารใช่มั้ย?” สัมผัสบนฝ่ามือนั้นมิอาจปิดบังจากลีเมิ่งที่เป็นถึงผู้พันของกองทัพทหารได้เลยซึ่งสัมผัสนี้นั้นสื่อได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องถือปืนและคุ้นเคยกับปืนมาอย่างยาวนานนั่นเอง
เย่เชียนยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ก็นะ”
ลีเมิ่งถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและอุทานว่า “จริงเหรอ!” ในหัวของลีเมิ่งนั้นก็คิดว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่หรือเป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ใช่ทหารจากกองทัพปกติ? เพราะในประเทศจีนแล้วนอกเหนือจากคนในกองทัพของชาติที่สามารถถือปืนได้ตลอดทั้งปีแล้วก็ไม่มีหน่วยงานไหนที่สามารถทำเช่นนั้นได้เลย และถึงแม้ว่าหัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจก็ตามแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเย่เชียนนั้นไม่ต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถามอะไรได้อีก
สถานการณ์ต่างๆ ยังคงเป็นทางตันเช่นนี้และไม่มีใครยอมใคร ส่วนคนที่กำลังทุกข์ทรมานและขมขื่นที่สุดก็คือเจียงปินหยางเพราะเขากำลังถูกปืนจ่อเอาไว้ที่หัวของเขาและปัสสาวะของเขาก็เกือบจะราดออกมาอยู่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานรถ Audi A6 ก็ขับผ่านฝูงชนเข้ามาโดยไม่แยแสใดๆ และมาจอดอยู่ตรงหน้าของทุกคนและประตูรถก็เปิดออกและเป็นหวังปิงกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนที่เดินออกจากรถมาพร้อมๆ กัน และเมื่อเห็นฉากนี้หวังปิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพราะเขาเห็นหวงฟู่เส้าเจี๋ยกำลังจ่อปืนเอาไว้ที่หัวของเจียงปินหยางเช่นนี้
เมื่อเห็นหวังปิงปรากฏตัวแล้วเจียงปินหยางก็ร้องห่มร้องไห้และพูดว่า “ท่านผู้ว่าการหวังครับคุณต้องช่วยฉันนะ..คนเหล่านี้เป็นบ้าไปแล้ว..รัฐบาลและกฎหมายไมได้อยู่ในสายตาของพวกเขาเลย”
หวังปิงจ้องมองเจียงปินหยางและตำหนิ: “เรื่องของคุณเอาไว้ค่อยจัดการกันทีหลัง” จากนั้นหวังปิงก็มองไปที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนและพูดว่า “หัวหน้า..”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็พยักหน้าและหันไปจ้องเขม็งที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยและพูดว่า “ปล่อยเขาไป”
“แต่…” หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นรู้สึกกลัวลุงของเขาอย่างมากแต่ก็เขาไม่สามารถปล่อยเจียงปินหยางไปได้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากอาจารย์ของเขาและเขาก็ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไปสักพัก
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและประหลาดใจไปกับวิธีการของเย่เชียนที่สามารถทำให้หลานชายหัวดื้อของเขาเชื่อฟังเช่นนี้ได้อย่างไร? และยิ่งไปกว่านั้นหลานชายแท้ๆ ก็ยังกล้าที่จะไม่แยแสคำพูดของตัวเองเอง ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีและตระหนักว่าเขาคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่ให้เย่เชียนรับหวงฟู่เส้าเจี๋ยเป็นศิษย์ของเขา
หลังจากที่เงียบกันไปชั่วครู่เย่เชียนก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้ว่าการหวังคุณที่เป็นเสาหลักของเจ้าหน้าที่รัฐในเมืองเซี่ยงไฮ้..เพราะงั้นผมก็เชื่อว่าคุณจะสามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ผู้คนได้..ผมอยากรู้ว่าทำไมเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ถึงใช้อำนาจของตัวเองเพื่อรับผลประโยชน์จากตงเซียงกรุ๊ปและรับสินบนจนทำตัวเป็นเสือและบังคับให้คนในละแวกนี้ย้ายออกไปโดยได้รับค่าชดเชยการรื้อถอนอันน้อยนิดแบบนี้? ..และแม้กระทั่งการใช้กำลังกับชาวบ้านชาวเมืองแบบนี้! ..ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าทั้งหมดนี่คือผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหรอ..นี่คือรัฐบาลที่ประชาชนจะพึ่งพาได้งั้นหรอ?”
หวังปิงถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปมองเจียงปินหยางและถามอย่างดุเดือดว่า “จริงเหรอ?”
“ผู้ว่าการหวังนี่มันไม่มีอะไรเลย..มันไม่ใช่เลย..เราปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลจริงๆ ..และร่วมมือกับโครงการบูรณะเมืองเก่านี้” เจียงปินหยางยังคงยืนกรานปฏิเสธ
“จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลหรือไม่มันก็ไม่เกี่ยว! ..รัฐบาลสั่งให้คุณไปทำร้ายประชาชนงั้นเหรอ?” หวังปิงตะโกนอย่างเดือดดาล จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “คนไหนถูกทำร้าย?”
เย่เชียนชี้ไปที่ชายชราและหวังปิงก็รีบเดินเข้าไปหาและจับมือชายชราและพูดว่า “คุณลุง..คุณเชื่อมั่นในรัฐบาลของเรานะ..คุณลุงไม่ต้องกังวลไป..ฉันจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและให้ความเป็นธรรมแก่คุณเอง”
ชายชราตื่นเต้นอย่างมากเพราะในชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดว่าเขาได้จับมือกับผู้ว่าการเทศบาลเมืองอย่างสนิทชิดเชื้อกันเช่นนี้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ขอบคุณ..ขอบคุณ..คนแก่ๆ อย่างฉันต้องขอขอบคุณรัฐบาลดีๆ อย่างคุณจริงๆ”
เย่เชียนหันมองไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยและพูดว่า “ปล่อยเขาไป!”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยชักปืนเก็บไปและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และหันมองไปที่ลีเมิ่งและพูดว่า “คุณคือผู้พันลีเมิ่งใช่มั้ย..ฉันคุยกับหัวหน้าของคุณแล้ว..เรามาถอนกำลังทหารและตำรวจที่นี่กันเถอะ..มันไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่จะสร้างปัญหาใหญ่ๆ แบบนี้”
ถึงแม้ว่าลีเมิ่งจะไม่รู้จักหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ตามแต่ทว่าเขาก็ได้ยินจากหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วว่าคนคนนี้เป็นลุงของเขาซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะตระกูลหวงฟู่นั้นเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและสูงส่งอย่างมากในประเทศจีนและความแข็งแกร่งทางทหารและอิทธิพลต่างๆ นั้นก็ไม่น้อย และเนื่องจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้พูดกับเขาเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่อีกต่อไป ลีเมิ่งจึงตอบกลับจากนั้นจึงวิทยุสั่งให้กองกำลังทหารทั้งหมดของเขาขึ้นรถและสั่งให้เฮลิคอปเตอร์บินออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
มาเร็วไปเร็ว
.
.
.
.
.
.
.