ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 280 จะยอมให้คนอื่นมาหยามได้อย่างไร
ตอนที่ 280 จะยอมให้คนอื่นมาหยามได้อย่างไร
เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาหวังปิงก็หัวเราะเบาๆ และยืนขึ้นพร้อมทักทายว่า “นั่งลงก่อนสิ!”
เย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความคิดที่วุ่นวายในใจของเขาและเดินเข้าไปช้าๆ และไปนั่งตรงข้ามกับหวังปิง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบหวังยู่เลย และเย่เชียนก็คิดว่าเธอคงยังไม่กลับมา
ดูเหมือนว่าหวังปิงจะรับรู้ได้ถึงความหมายภายในดวงตาของเย่เชียน และเมื่อเห็นเช่นนั้นหวังปิงก็ยิ้มและพูดว่า “เสี่ยวยู่ยังไม่กลับมา” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเขาก็พูดต่อ “เสี่ยวเย่พวกเราน่ะก็คนกันเอง..เพราะงั้นไม่มีอะไรที่เราต้องปิดบังต่อกัน..เสี่ยวเย่สนใจโครงการบูรณะเมืองเก่าใช่มั้ย?”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่!”
“โถ่เสี่ยวเย่..ถ้าเสี่ยวเย่ต้องการแล้วทำไมถึงไม่เข้าร่วมการประมูลของรัฐบาลก่อนหน้านี้ล่ะ..ฉันจะได้ช่วยสนับสนุนให้..เพราะวันนี้น่ะเสี่ยวเย่ทำเกินไปหน่อย..ฉันค่อนข้างลำบากใจเลยทีเดียว” หวังปิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูด
มุมปากของเย่เชียนฉีกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ผู้ว่าการหวัง..ผมน่ะสนใจโครงการบูรณะเมืองก็จริงแต่ผมสนใจพวกตงเซียงกรุ๊ปมากกว่า..และมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเทคโอเวอร์โครงการนี้..ผู้ว่าการหวังไม่คิดหรอว่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นทำเกินกว่าเหตุไปนะ?”
หวังปิงก็ตกตะลึงและพูดว่า “เอ่อเรื่องนี้ฉันรู้ๆ ..และฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง..แต่ตอนนี้มันก็เป็นปัญหาใหญ่มาก..พวกรัฐบาลต่างก็วุ่นวายกันไปหมด..และตอนนี้เองฉันก็ไม่รู้เลยว่ารัฐบาลกลางจะทำอะไรต่อ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเสี่ยวเย่กับพวกตงเซียงกรุ๊ปไปบาดหมางกันหรือมีปัญหาอะไรกันมากแค่ไหน..แต่ถ้าเป็นผลประโยชน์ทางการค้าแค่นั้นล่ะก็..ทำไมถึงไม่ยอมจับมือกันแล้วช่วยกันแก้ไขปัญหาล่ะ..ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?” หวังปิงพูดต่ออย่างจริงจัง
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันแน่นเพราะสามวันที่ผ่านมาเย่เชียนก็แอบตามสืบอยู่เช่นกัน ซึ่งหลังจากที่หวังปิงได้เป็นผู้ว่าการเทศบาลเมืองแล้วหวังปิงก็เริ่มไปสนับสนุนตงเซียงกรุ๊ปและเย่เชียนก็คอยจับตามองอยู่อย่างลับๆ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่เย่เชียนจะต้องทำบางอย่าง “ผู้ว่าการหวัง..ผมคิดว่าคุณน่าจะเคยได้ยินสำนวนที่ว่า..ทนให้คนอื่นเหยียบย่ำ..ใช่มั้ย..นั่นก็เหมือนกับตงเซียงกรุ๊ปที่ไม่ยอมผม..ส่วนผมเองก็ไม่ยอมตงเซียงกรุ๊ปเช่นกัน..สงครามนี้น่ะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ว่าการหวังจะเลือกยังไง” เย่เชียนพูด
หวังปิงก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะปรากฏว่าเย่เชียนกำลังเตือนตัวเองอย่างชัดเจนว่าให้เลือกเส้นทางเลือกที่เหมาะสม
“ผู้ว่าการหวัง..คุณไม่รู้เบื้องหลังของตงเซียงกรุ๊ปจริงๆ งั้นหรือ? ” เย่เชียนพูดเบาๆ
โดยปกติแล้วหวังปิงก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะในฐานะผู้ว่าการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วถ้าเขาไม่รู้รากฐานของตงเซียงกรุ๊ปล่ะก็เขาก็คงจะเป็นคนที่โง่เง่าอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าตงเซียงกรุ๊ปเป็นองค์กรบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้และภาษีประจำปีที่จ่ายให้กับรัฐบาลก็มหาศาลอย่างมาก ซึ่งสำหรับหวังปิงแล้วตราบใดที่ตงเซียงกรุ๊ปสามารถส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองเซี่ยงไฮ้และเพิ่ม GTP ของเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ล่ะก็เขาก็ทำได้แค่เพิกเฉยไปเพราะถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่ารากฐานที่แท้จริงของตงเซียงกรุ๊ปเป็นเช่นไรก็ตาม เพราะถ้าหากตงเซียงกรุ๊ปถูกกว้างล้างไปจริงๆ ล่ะก็มันก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองอย่างมากถึงมากที่สุด
“เอ่อ..แน่นอนว่าฉันรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว..ฉันรู้ว่าตงเซียงกรุ๊ปนะนำผลกำไรมหาศาลมาสู่รัฐบาลในทุกๆ ปีและยังส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองเซี่ยงไฮ้นี้ด้วย” คำพูดของหวังปิงขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด
เย่เชียนยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ผู้ว่าการหวังเนี่ยสายตาสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ..เพราะถึงแม้ว่าตงเซียงกรุ๊ปจะสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมากในทุกๆ ปีก็เถอะ..แต่ในขณะเดียวกันพวกนั้นก็เป็นภัยคุกคามไม่ใช่เหรอ..ถึงแม้ภัยคุกคามนี้อาจจะยังไม่มีผลกระทบต่อประเทศก็เถอะ..แต่เมื่อมันถึงเวลานั้นล่ะ..ผู้ว่าการหวังจะกล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์ของมันหรือเปล่า?”
หวังปิงสั่นสะท้านไปทั้งตัวและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
“นอกจากภัยคุกคามนี้แล้วผู้ว่าการหวังคิดว่าประเทศจะยอมให้นั้นดำรงอยู่ต่อหรือเปล่าล่ะ? ..ซึ่งสาเหตุที่พวกนั้นยังไม่ถูกกวาดล้างในตอนนี้ก็อาจจะเป็นเพราะการพิจารณาจากสิ่งอื่นน่ะ..แต่เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ล่ะก็ภัยคุกคามนี้จะถูกลบออกไปจากแผ่นดินอย่างแน่นอน..ผู้ว่าการหวัง..โชคชะตาและความจริงน่ะเป็นสิ่งที่ยากจะพูดได้” เย่เชียนพูดต่ออย่างจริงจัง
คำพูดของเย่เชียนนั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อหวังปิงแต่อย่างใด ซึ่งหวังปิงเองก็ยังรู้ดีว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดมานั้นมีเหตุผลอย่างมาก เพราะประเทศจะไม่ยอมให้มีภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่อย่างตงเซียงกรุ๊ปอยู่อย่างแน่นอนและไม่ช้าก็เร็วมันก็จะถูกลบออกไป เมื่อตระหนักเช่นนั้นหวังปิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “ฉันไม่รู้จริงๆ ..แต่ถ้ากวาดล้างตงเซียงกรุ๊ปไปล่ะก็มันจะมีผลกระทบต่อสิ่งต่างๆ และเศรษฐกิจของเมืองเซี่ยงก็อาจจะตกต่ำลงอย่างมากด้วย”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ถ้างั้นผู้ว่าการหวังก็แค่นั่งดูจากมุมมองของผู้สังเกตการณ์และเยี่ยมชมก็พอ..และให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง..ส่วนผู้ว่าการหวังก็แค่ทำสิ่งต่างๆ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นก็พอ..คุณจะไม่เพียงแค่ได้รับคำชื่นชมในหลายๆ ด้านแค่นั้น..แต่ยังเพิ่มความสำเร็จอันสูงสุดทางการเมืองของคุณอีกด้วย..เพราะผมจะเข้าไปแทนที่ตำแหน่งของตงเซียงกรุ๊ปในเมืองนี้และทำให้ศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้รุ่งโรจน์มากกว่าเดิม..และจะทำให้เมืองเซี่ยงไฮ้ของเรากลายเป็นแดนสวรรค์..ผู้ว่าการหวังคิดว่าไงบ้าง?”
หวังปิงกำลังตกอยู่ในการไตร่ตรองและตระหนักถึงสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้งและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่น เพราะนี่ก็คือการเดิมพันซึ่งถ้าเขาชนะล่ะก็อาชีพการงานของเขาก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นและถ้าเขาแพ้ล่ะก็เขาก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อเห็นท่าทางที่ครุ่นคิดของหวังปิงแล้วเย่เชียนก็เติมเชื้อไฟอันโชติช่วงเข้าไปอีก “ผมเพิ่งไปพบปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนมา..และเขาก็บอกว่ารัฐบาลกลางไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของวันนี้และจะไม่มีการดำเนินการหรือเข้ามาแทรกแซงใดๆ”
หวังปิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปกับคำพูดของเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนกำลังบอกตัวเองอย่างชัดเจนเลยว่าอิทธิพลของเย่เชียนนั้นไม่ได้มีอยู่แค่ในการเมืองหรือด้านธุรกิจเพียงเท่านั้นและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากตัวเองก็ตามถึงยังไงแล้วเย่เชียนก็ยังสามารถกวาดล้างตงเซียงกรุ๊ปได้อยู่ดี
เย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเขาเพียงหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาแล้วจิบเบาๆ ซึ่งมันก็ถึงเวลาแล้วที่หวังปิงต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะเย่เชียนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรมากนั่นก็เพราะว่าเขาเชื่อว่าหวังปิงเป็นคนฉลาดและจะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
หลังจากนั้นไม่นานหวังปิงก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ตกลง! ..ตามนั้น!”
รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียนทันที แต่ทว่าเย่เชียนก็ยังคงมีหลากหลายความคิดอยู่ในใจเพราะหวังปิงนั้นมีศักยภาพมากเกินไปในฐานะนักการเมืองและเย่เชียนก็ต้องกำจุดอ่อนของหวังปิงเอาไว้ให้แน่น เพราะไม่เช่นนั้นวันหนึ่งหวังปิงอาจจะหันกลับมาเล่นงานเขาก็เป็นได้
…..
หลังจากออกจากบ้านของหวังปิงแล้วเย่เชียนก็เดินเท้ากลับบ้าน ซึ่งเป็นคืนในฤดูใบไม้ร่วงและมีอากาศเย็นสบายอยู่ตลอดคืน
เมืองเซี่ยงไฮ้ในยามค่ำคืนนั้นล้วนเต็มไปด้วยแสงสีเสียงแห่งเมืองศิวิไล ทว่ามันก็เต็มไปด้วยกระดูกที่ถูกฝังอยู่เบื้องหลังความรุ่งโรจน์นี้ สงครามกับตงเซียงกรุ๊ปก็ใกล้เข้ามาแล้วและสิ่งที่สามารถทำได้ในเชิงเศรษฐกิจก็คือการให้กลุ่มโจรสลัดซาตานปล้นเรือบรรทุกสินค้าของตงเซียงกรุ๊ปในทะเล และตอนนี้โครงการบูรณะเมืองเก่าก็ตกอยู่ในกำมือของตัวเองแล้วและตงเซียงกรุ๊ปก็ยังต้องการที่จะรื้อถอนพื้นที่ของเขาอยู่ ซึ่งพวกนั้นก็ต้องข้ามศพของเย่เชียนไปก่อน พูดอีกนัยหนึ่งก็คือโครงการบูรณะเมืองเก่าของตงเซียงกรุ๊ปนั้นจะไม่สามารถดำเนินการได้ถ้าไม่กำจัดเย่เชียนเสียก่อน
เย่เชียนก็รู้สึกได้ว่ามันถึงเวลาที่ต้องไปคุยกับฉินเทียนแล้ว เพราะผู้นำของหงเหมินกรุ๊ปกลับไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย ดังนั้นเย่เชียนก็ควรจะไปพบกับเขาสักที
ในทันใดนั้นคิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเล็กน้อยเพราะเขาสัมผัสได้ได้ถึงเจตนาฆ่าและจิตสังหารที่อยู่รอบๆ ตัวเขาและนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีในการฝึกฝนในฐานะทหารรับจ้างมาเป็นเวลานาน จากนั้นเย่เชียนก็เร่งฝีเท้าและรีบเดินไปยังสถานที่ที่มีผู้คนน้อยๆ เพราะคิดว่านี่อาจจะเป็นแผนการของตงเซียงกรุ๊ป
เย่เชียนก็หยุดและหันกลับมาพร้อมพูดว่า “ออกมาเถอะ..คนที่ซ่อนหัวและหางเอาไว้น่ะไม่ถือว่าเป็นนักรบหรอก”
“พวกเราไม่ใช่นักรบ..พวกเราเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ะ” ในขณะที่เสียงพูดนั้นจบลงก็มีผู้หญิงสามคนเดินออกมาจากด้านข้างมุมมืด
“ดาร์คลิลลี่?” เย่เชียนขมวดคิ้วและพึมพำ
“ราชาหมาป่าเย่เชียนสมกับเป็นราชาหมาป่าจริงๆ ..คุณมีสายตาที่ยอดเยี่ยมไปเลยนะ” หญิงสาวที่นำหน้ามาพูด เนื่องจากพวกเธอสวมหน้ากากเอาไว้ทุกคนเย่เชียนจึงไม่สามารถรู้ถึงอายุของพวกเธอได้ แต่จากรูปร่างของพวกเธอแล้วพวกเธอน่าจะมีอายุอย่างน้อยๆ ก็สามสิบต้นๆ
“โถ่ๆ ..สาวงามจากดาร์คลิลลี่น่ะมีกลิ่นที่หอมพิเศษติดตัว..ผมชินแล้ว..มันไม่เกี่ยวอะไรกับสายตาเลย” เย่เชียนพูด แต่พอพูดจบเขาก็รู้สึกจุกอยู่ในหัวใจเล็กน้อยเพราะถ้าซ่งหลันได้ยินแบบนี้ล่ะก็เธอก็คงจะทรมานเขาเล่นอีก ซึ่งเขาจะลืมไปได้ยังไงว่าเธอก็เคยเป็นหนึ่งในนักฆ่าจากดาร์คิลลี่
“โอ้..ฉันไม่คิดเลยว่าราชาหมาป่าเย่เชียนจะเก่งกาจในเรื่องฝีปากอันหอมหวานแบบนี้นอกจากทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมน่ะ” หัวหน้านักฆ่าสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเป็นนักฆ่าก็ตามแต่เธอก็เป็นผู้หญิงและชอบให้คนอื่นชื่นชมเยินยอเธอในความงดงามของเธอ และแน่นอนว่ายกเว้นเมื่อพวกเธออยู่บนเตียงเพราะพวกเธอจะกรีดร้องครวญครางไปกับเสน่ห์ของพวกเธอ
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระอะไรเลย..บอกมาเถอะพวกคุณต้องการอะไร..หรือว่าสาวๆ จากดาร์คลิลลี่จะมาเป็นคู่นอนกับผมงั้นเหรอ?” เย่เชียนพูด
“ห๊ะ! ..พวกเรามาฆ่านาย!” หัวหน้านักฆ่าสาวพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “อะไรเนี่ย..พวกคุณลืมคำพูดของผู้นำของคุณไปแล้วหรอ..ที่ว่าเขี้ยวหมาป่าอยู่ที่ไหนดาร์คลิลลี่ก็จะถอยให้น่ะ”
“คือเมื่อคืนนี้หัวหน้าของเราสั่งให้พวกเรานำศพของนายกลับไปให้เธอดูน่ะสิ” หัวหน้านักฆ่าสาวพูด
“หัวหน้าของพวกคุณต้องการศพของผมใช่มั้ย..นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณมีความสามารถพอหรือเปล่า” เย่เชียนพูดจบก็ขมวดคิ้วและระเบิดเจตนาฆ่าและจิตสังหารออกมาภายในดวงตาของเขาและแสงสีแดงสว่างวาบดั่งเลือดสดๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาและเย่เชียนก็รีบวิ่งเข้าหาพวกเธอทั้งสามคน เพราะแทนที่จะป้องกันแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะเป็นการดีกว่าที่จะโจมตีเข้าไปอย่างตรงๆ เพราะนักฆ่าจากดาร์คลิลลี่นั้นไม่ทำธรรมดาและคราวนี้ก็มากันถึงสามคน และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักร้อยเท่าก็ตามเขาก็จะไม่มีวันประมาทไปกับเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นการจู่โจมของเย่เชียนแล้วหญิงสาวทั้งสามก็แยกตัวกันไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นรูปสามเหลี่ยมล้อมรอบเย่เชียนเอาไว้อยู่ตรงกลาง เย่เชียนต้องชื่นชมเทคนิคการลอบสังหารของหญิงสาวทั้งสามคนนี้เลยเพราะถ้าหากพวกเธอเข้ามาทีละคนล่ะก็เย่เชียนก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อทั้งสามอยู่ด้วยกันแล้วและยังล้อมรอบเอาไว้อีกก็ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเธอเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งสามคนก็ร่วมมือกันอย่างเชี่ยวชาญและเมื่อคนใดคนหนึ่งตกอยู่ในวิกฤตอีกสองคนก็สนับสนุนเธอได้เป็นอย่างดีและดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้ต้องปฏิบัติงานร่วมกันมาบ่อยครั้งแล้วจึงเกิดความสามัคคีกันเช่นนี้
มีดโลหิตหมาป่าดูเหมือนว่ามันจะมีชีวิตด้วยตัวมันเองภายในมือของเย่เชียนเพราะมันมีแสงสะท้อนที่แปลกประหลาดอย่างมากเพราะมันสามารถโจมตีจุดตายของคู่ต่อสู้ได้จากมุมที่แปลกประหลาดอย่างมาก เย่เชียนก็จู่โจมและเอาชนะหัวหน้านักฆ่าสาวไปและบังคับให้เธอถอยหลังไปทีละก้าวและผู้หญิงอีกสองคนก็ต้องถอยตามเธอไปเช่นกันเพื่อรักษารูปแบบค่ายกลของพวกเธอและในขณะเดียวกันก็พยายามโต้กลับเย่เชียนเพื่อพลิกสถานการณ์
.
.
.
.
.
.
.