ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 288 ตัวตนของหูวเค่อ
ตอนที่ 288 ตัวตนของหูวเค่อ
สโมสรเจิดจรัสนั้นมีอำนาจและอิทธิพลมากกว่าแก๊งชิง,หงเหมินกรุ๊ปและตงเซียงกรุ๊ปเสียอีกและนี่ก็ไม่ใช่เพราะระบบขององค์กรขนาดใหญ่และโครงสร้างบุคลากรภายในใดๆ แต่เป็นเพราะผู้นำที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งจนแม้แต่แก๊งชิงและหงเหมินกรุ๊ปและตงเซียงกรุ๊ปยังต้องหวั่นเกรงเลย
เมื่อเย่เชียนมาถึงหน้าประตูของสโมสรเจิดจรัสแล้วพนักงานต้อนรับก็มาเปิดประตูให้เย่เชียน จากนั้นเย่เชียนก็ยื่นธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนให้เขาอย่างเฉยเมยและเดินเข้าไปในสโมสร “คุณเย่ครับ..คุณผู้หญิงของเรากำลังรอคุณอยู่ในออฟฟิศครับ! ” ชางกวนที่รออยู่ที่ประตูพูดด้วยความเคารพเมื่อเห็นเย่เชียนเดินเข้ามา
เย่เชียนก็ผหงะไปครู่หนึ่งและพูดว่า “คุณผู้หญิงของคุณเป็นใครผมไม่รู้จักเธอ”
ชางกวนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คุณผู้หญิงชื่อหูวเค่อครับ..เธอขอให้ผมมาที่นี่เพื่อมารอต้อนรับคุณเย่น่ะครับ..เชิญทางนี้เลยครับคุณเย่”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะเขาเคยได้ยินหูวเค่อพูดว่าเธอทำงานเกี่ยวกับสโมสรแต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นสโมสรเจิดจรัส ปรากฏว่าหูวเค่อนั่นเองที่เป็นดั่งลาสบอสที่อยู่เบื้องหลังของความลึกลับที่เป็นตำนานของชาวเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ เธอคนนี้นั้นทำให้เย่เชียนประหลาดใจมากเกินไป
เย่เชียนค่อนข้างที่จะตกตะลึงอย่างมากและเขาก็เดินตามชางกวนไปที่ประตูห้องทำงานของหูวเค่อจากนั้นชางกวนก็เคาะประตูและในทันใดนั้นเสียงหวานๆ ของหูวเค่อดังมาจากข้างในว่า “เข้ามาได้!”
ชางกวนเปิดประตูและพูดว่า “คุณผู้หญิงครับ..คุณเย่มาแล้ว!”
เมื่อเห็นเย่เชียนแล้วหูวเค่อก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดกับชางกวนว่า “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ..คุณไปทำงานของคุณเถอะ” หลังจากนั้นเธอก็ขยิบตาให้เย่เชียนอย่างซุกซนและพูดว่า “เข้ามาสิคะ!”
ทว่าในห้องออฟฟิศทำงานนั้นนอกจากหูวเค่อแล้วก็ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอ ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็กำลังหันหน้ามามองเย่เชียนอยู่ เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะผู้ชายคนนี้มีรูปลักษณ์ที่พิเศษมากและเย่เชียนเองก็ไม่สามารถเข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้ได้ เพียงแต่ว่าผู้ชายคนนี้นั้นดูหล่อเหลาและสง่าผ่าเผยอย่างมากและเขาก็อายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เช่นกัน
เย่เชียนยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดขึ้นมาว่า “คุณมีแขกด้วยหรอ..ถ้างั้นผมจะไม่รบกวนก็แล้วกัน” ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะจากไปนัก บางทีผู้ชายเองก็มีความรู้สึกที่อ่อนไหวและหวั่นไหวเช่นเดียวกันกับผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งของความรักแล้ว นั่นก็เพราะว่าเย่เชียนสังเกตเห็นได้ในแวบแรกว่าผู้ชายคนนี้ชอบหูวเค่และก็เป็นคู่แข่งของเขาอย่างไงอย่างงั้น
ดูเหมือนว่าหูวเค่อจะรับรู้ได้ถึงความหมายคำพูดของเย่เชียนเช่นนี้เธอจึงเม้มริมฝีปากและยิ้มเล็กยิ้มน้อยดั่งนางฟ้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์และไร้มลทิน ส่วนผู้ชายคนนั้นก็จ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามพร้อมกับรอยยิ้มที่เย้ยหยันบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน จากนั้นเขาก็หันไปมองหูวเค่อและพูดว่า “เค่อเอ๋อ! ..นี่เหรอคือคนที่เธอตามหา..เขาธรรมดามาก”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นเพราะผู้ชายคนนี้จะหยิ่งผยองมากเกินไปแล้ว ซึ่งหูวเค่อเองก็ไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลยเพราะเธอรีบเดินไปหาเย่เชียนและควงแขนของเขาแล้วพูดว่า “เย่เชียนคะ..ให้ฉันแนะนำคุณนะ..เขาคือซงเจิ้งหยวน..เป็นพี่ชายของฉันเอง”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเพราะการกระทำของหูวเค่อนั้นแสดงให้เห็นถึงการเลือกและการตัดสินใจของเธออย่างไม่ต้องสงสัยเลย และเย่เชียนก็เป็นเหมือนผู้ชนะและถือไพ่เหนือกว่าซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเล็กน้อย จากนั้นเย่เชียนก็ยื่นมือของเขาออกไปและพูดว่า “สวัสดี!”
ร่องรอยของความโกรธก็ฉายอยู่ภายในดวงตาของซงเจิ้งหยวนและจากนั้นไม่นานมันก็หายวับไปและเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือกับเย่เชียนแล้วพูดว่า “สวัสดี!” ดูเหมือนว่าเหล่าสุภาพบุรุษจะโปรดปรานในการจับมือกันเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง ด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งซงเจิ้งหยวนเองก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เพราะทันทีที่เขาจับมือกับเย่เชียนเขาก็เพิ่มพละกำลังของความแข็งแกร่งอย่างลับๆ
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียหน้าและรวบรวมพละกำลังเพื่อบีบมันอย่างแรง แต่หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็รู้สึกได้มันว่ามีบางอย่างผิดปกติเพราะพละกำลังของอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และเย่เชียนเองก็ไม่สามารถทนได้จนฝ่ามือของเขาแดงไปหมดแล้วและความเจ็บปวดก็แผ่ออกไปทั่วมือของเขา
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะความแข็งแกร่งของซงเจิ้งหยวนนั้นถือว่าไม่น้อยเลยควบคู่ไปกับการที่เขาคนนั้นคงได้ฝึกฝนวิธีการรวบรวมพลังปราณกับปรมาจารย์และอาจพูดได้ว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีมากที่จะพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ตอนนี้นั้นเย่เชียนก็ไม่สามารถต้านทานผู้ชายตรงหน้าได้และที่สำคัญผู้ชายตรงหน้าของเขาดูเหมือนจะยังคงผ่อนคลายอยู่มาก
หูวเค่อเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างลับๆ และเธอก็รู้ดีว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซงเจิ้งหยวนผู้เป็นพี่ชายของเธอได้เลย หลังจากนั้นความโกรธเกรี้ยวก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอและเธอก็พูดขึ้นมาว่า “พี่คะพอได้แล้ว!”
ซงเจิ้งหยวนก็หัวเราะเยาะและเพิ่มพละกำลังขึ้นอย่างมาก เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ต้องการให้เย่เชียนกรีดร้องจนอับอายขายหน้าและหลังจากนั้นเขาก็จะยอมปล่อยไปและเขาก็จะรู้สึกสบายใจอย่างมาก ทันใดนั้นเองซงเจิ้งหยวนก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลที่มาจากมือของเย่เชียนและเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมากและก่อนที่ซงเจิ้งหยวนจะได้ตอบสนองเพื่อเพิ่มพละกำลังนั้นจู่ๆ เขาก็เห็นอะไรบางอย่างและความตกใจกับความหวาดกลัวก็แวบเข้ามาในหัวของซงเจิ้งหยวน จากนั้นเขาก็รีบคลายมือตัวเองและดึงกลับมาด้านหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้มือของซงเจิ้งหยวนก็กำลังสั่นจากความเจ็บปวดและชาอย่างมาก
ซงเจิ้งหยวนจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจอย่างมากเพราะเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนและความสงสัยของเขาเกี่ยวกับเย่เชียนก็มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองหูวเค่อโดยคิดว่าเธอต้องแอบช่วยเย่เชียนอยู่อย่างลับๆ แน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นคนอย่างเย่เชียนก็คงจะไม่สามารถที่จะรับมือตัวเองได้อย่างแน่นอน
ทว่าเย่เชียนเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะเขาแค่รู้ว่าเขาแทบจะไม่สามารถต้านทานพละกำลังของซงเจิ้งหยวนได้ แต่จู่ๆ ซงเจิ้งหยวนก็ผ่อนพละกำลังและดึงมือของเขากลับซึ่งมันไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็คิดแค่ว่าอาจจะเป็นเพราะซงเจิ้งหยวนกลัวว่าหูวเค่อจะโกรธจึงยอมปล่อยมือ เพราะงั้นเย่เชียนจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ซงเจิ้งหยวนก็ตะคอกด้วยความโกรธเคือวว่า “น้องสาวพี่..พี่จะไปแล้วนะ..เธอคิดให้ดีก่อนล่ะ..เขาไม่คู่ควรกับเธอเลย”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มและจงใจกอดหูวเค่อเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมพูดว่า “ผมขอบอกคุณเลยนะว่าเธอเป็นผู้หญิงของเย่เชียนคนนี้..และจะไม่มีใครพรากเธอไปจากผมได้”
หูวเค่อเองก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรที่เย่เชียนกอดเธอ เธอเพียงยิ้มและเล่นไปตามบทของเย่เชียนซึ่งเธอทำให้เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนี้ซงเจิ้งหยวนก็ตะคอกว่า “นายมั่นใจมากเกินไป..เดี๋ยวก็รู้!”
หลังจากที่ซงเจิ้งหยวนพูดจบเขาก็เดินออกไปด้วยความโกรธเคือง หูวเค่อก็ไม่ได้รั้งเอาไวเธอเพียงยิ้มอ่อนๆ และหลังจากที่เห็นว่าซงเจิ้งหยวนออกจากออฟฟิศของเธอไปแล้วหูวเค่อก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ยังไม่ปล่อยฉันอีกหรอคะ?”
เย่เชียนยิ้มอ่อนๆ และพูดว่า “อย่าลืมข้อตกลงของเราสิ..คุณบอกเองไม่ใช่หรอว่าถ้าผมกำจัดยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ลงได้คุณก็จะมาเป็นของผม..คุณจะคืนคำหรือไง?”
หูวเค่อก็ค่อยๆ ดันแขนของเย่เชียนออกพร้อมกับยิ้มและพูดว่า “ใช่ฉันพูด..แต่ฉันไม่ได้บอกให้คุณกอดฉันหนิ”
“เอ้า! ..ก็คนเป็นแฟนกันจะไม่ให้กอดกันได้ยังไง” เย่เชียนพูด
หูวเค่อก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คุณก็เห็นแล้วหนิคะ..คุณยังไม่สามารถเอาชนะพี่ชายของฉันได้เลย..แล้วแบบนี้ในอนาคตคุณจะปกป้องฉันได้ยังไง?”
การแสดงออกของเย่เชียนก็เปลี่ยนไปเพราะจริงๆ แล้วซงเจิ้งหยวนก็ทำให้เขาถึงกับต้องประหลาดเมื่อครู่นี้ ซึ่งเย่เชียนเองก็ค่อนข้างมั่นใจในทักษะของตัวเองอยู่ แต่ทว่าดั่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้พูดเอาไว้นั้นว่าในประเทศจีนยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างและยังมีอีกหลายคนที่แข็งแกร่งกว่า ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นและเขาเองก็ไม่สามารถที่จะรับมือได้ ซึ่งสิ่งนี้ก็ได้ทำให้เย่เชียนนั้นรู้สึกว่าเขาประเมินตัวเองสูงเกินไปจริงๆ หลังจากเงียบกันไปครู่เย่เชียนก็พูดขึ้นมาว่า “ผมไม่สนหรอกว่ามันจะเป็นยังไง..เพราะผมทำตามสัญญาของคุณแล้ว..และคุณก็พูดเองว่าคุณจะเป็นแฟนของผม”
หูวเค่อก็ยิ้มอ่อนๆ และพูดว่า “วันนี้คุณคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรื่องแค่นี้หรอกใช่มั้ย”
“โถ่..นี่ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ” เย่เชียนพูดต่อ “เอาล่ะๆ ..คุณบอกผมเองไม่ใช่หรอว่าถ้าเรื่องนี้จบแล้วคุณจะบอกตัวตนที่แท้จริงของคุณกับผมน่ะ?”
“ใช่ค่ะ! ..ฉันบอกแล้วว่าฉันจะบอกคุณเองเมื่อถึงเวลา” หูวเค่อพูด หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเธอและนั่งลงอย่างช้าๆ หลังจากนั้นหูวเค่อก็พูดขึ้นมาว่า “ปู่ของฉันคือหูวหนานเจียน!”
เย่เชียนถึงกับผงะไปชั่วขณะและพึมพำว่า “หูวหนานเจียน..หูวหนานเจียน..นี่ปู่ของคุณคือรองนายกรัฐมนตรีของจีนน่ะเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” หูวเค่อพยักหน้าและพูดว่า “สโมสรนี้น่ะเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง..และจุดประสงค์ก็คือเพื่อทำความเข้าใจในความคิดและทัศนคติของผู้ที่อยู่ในชนชั้นสูงรวมไปถึงข้อมูลเชิงลึกของพวกเขา..ซึ่งนีก็คือจุดประสงค์ของสโมสรเจิดจรัสมาตลอด..และตอนนี้ฉันก็จะมอบความเจิดจรัสและความสง่าผ่าเผยให้กับคุณ..และเป็นใบเบิกทางให้คุณสามารถเข้าสู่ศูนย์กลางของคนระดับสูงของประเทศจีนได้อย่างแท้จริง..พูดได้ว่านี่เป็นการเบิกทางให้คุณ..ส่วนถนนสายนี้จะดำเนินไปยังไงน่ะเหรอ..มันก็ขึ้นอยู่กับคุณเอง”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและเดินไปที่ด้านข้างของหูวเค่อและยืนพิงเก้าอี้ของเธอและพูดว่า “แล้วคุณเป็นของขวัญสำหรับเรื่องนี้หรือเปล่าล่ะ?”
หูวเค่อเหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งงานกับคุณน่ะ..นอกจากนี้ก็ยังมีบรรดาแฟนๆ ของคุณอยู่อีกตั้งหลายคน..แล้วคุณไม่กลัวว่าพวกเธอจะหึงหรอ?”
“แล้วคุณล่ะ..คุณหึงหรือเปล่า?” เย่เชียนถามอย่างซุกซน
หูวเค่อจ้องมองเย่เชียนโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ และสิ่งนี้ก็ทำให้เย่เชียนสับสนอย่างมากเพราะเขาไม่รู้ว่าเธอนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ เธอจะหึงเธออิจฉาหรือเปล่า เธอรักเขาหรือเปล่า?
ทว่าผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ เย่เชียนเองก็หมดหนทาง หลังจากเงียบกันไปชั่วขณะเย่เชียนก็ถามว่า “หูวเค่อ..ผมขอถามตรงๆ เลยนะ..พี่ชายของคุณมีภูมิหลังแบบไหน..ดูเหมือนว่าเขาจะมีทักษะที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่หนิคะ..แต่ก็คงจะใช่แหละมั้ง..เพราะต่อหน้าเขาฉันเกรงว่าคุณจะไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้น่ะ..อาจจะไม่ได้แม้แต่จะตอบโต้เลยด้วยซ้ำ” หูวเค่อพูด
เย่เชียนถึงกับรู้สึกตกใจเพราะเขาทักษะแย่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? จากนั้นเย่เชียนก็โวยวายว่า “โถ่เอ๊ย..ถ้างั้นก็มาสู้กันเลยสิ..ทักษะการต่อสู้ของคุณจะเทียบกับผมได้ยังไง!”
หูวเค่อเหลือบมองไปที่เย่เชียนขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและพูดว่า “คุณน่ะเหรอ..ไม่มีอะไรเทียบกับฉันได้อยู่แล้วค่ะ”
“ยัยบ้านี่..คุณหมายความว่าไง..นี่คุณกำลังจะบอกว่าทักษะการต่อสู้ของคุณเหนือกว่าของพี่ชายคุณน่ะเหรอ?” โชคดีที่เย่เชียนนั้นมีความอดทนทางด้านจิตใจที่แข็งแกร่งและสูงมาก ไม่เช่นนั้นถ้าหากใครโดนดูถูกแบบนี้แล้วล่ะก็เกรงว่าคนคนนั้นจะไม่สามารถระงับโทสะและความโกรธได้เลย
“ก็มันคือความจริง!” หูวเค่อพูด
“บ้าเอ๊ย..พอๆ อย่าพูดเลย..ยิ่งพูดเรื่องนี้ผมก็ยิ่งหดหู่” เย่เฉียนยืนขึ้นและพูดอย่างหดหู่
หูวก็เค่อยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “กินข้าวมารึยัง..ป่ะ..ไปดินเนอร์กันเถอะ!”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและโน้มตัวไปด้านหน้าของหูวเค่ออีกครั้งและพูดว่า “ไปสิ..ไปดินเนอร์กันเถอะ” หูวเค่อจ้องเขม็งเย่เชียนเพราะผู้ชายคนนี้ถึงจะหน้าด้านไปหน่อยก็จริง แต่เขาก็ค่อนข้างที่จะน่ารักเลย
.
.
.
.
.
.
.