ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 290 เด็กน้อยผู้มีอนาคตไกล
ตอนที่ 290 เด็กน้อยผู้มีอนาคตไกล
“พวกเราออกมาล่าสัตว์น่ะ..และต้องโทษเด็กคนนี้แหละเพราะเขาทำเราเสียเวลาจนกลับไปไม่ทันก่อนที่ฟ้าจะมืด” เด็กที่สะพายคันธนูจ้องมองหูจื้อและหันมาพูดกับเย่เชียนว่า “ผมชื่อหลินฟาน!”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ฉันคิดว่าเอ็งเนี่ยไม่ธรรมดาเลยนะ..พวกเอ็งมาจากหมู่บ้านไหนกัน?”
“หมู่บ้านซูชูว..แล้วญาติของคุณชื่ออะไรหรอ” หลินฟานถาม
“หลินจินไท่..เอ็งรู้จักมั้ย?” เย่เชียนตอบและถาม
“นั่นปู่หนิ” หูจื้อจ้องไปที่หลินฟานและพูด
“พี่ชายชื่อเย่เชียนใช่มั้ย..เอ่อ..ปู่ของผมไม่เคยเอ่ยถึงพี่ชายเลย..และในครอบครัวของเราก็ไม่ได้มีญาติแซ่สกุลเหมือนพี่เลย” หลินฟานจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เอ็งเป็นหลานของเขาเหรอ..ปู่ของเอ็งหลินจินไท่น่ะเป็นอาจารย์ของฉัน..และเขาก็สอนศิลปะการต่อสู้ให้ฉันเอง”
“อ๋อ! ..เหมือนว่าผมจะเคยได้ยินคุณปู่พูดว่าเขาเคยรับลูกศิษย์มาสองคน” หลินฟานพยักหน้าและพูด
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยรู้สึกได้อย่างแผ่วเบาว่าความสำเร็จในด้านต่างๆ ของเด็กคนนี้ในอนาคตนั้นจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนและไม่เพียงแค่เขายอดเยี่ยมด้านทักษะการต่อสู้เท่านั้นแต่ยังมีสติปัญญาที่เหนือกว่าเด็กทั่วไปอีกด้วย “เราไปกันเถอะ..ขึ้นรถฉันสิ..เดี๋ยวฉันจะพาพวกเอ็งไปที่หมู่บ้านเอง..ว่าแต่จากที่นี่ไปหมู่บ้านต้องใช้เวลาเท่าไหร่” เย่เชียนพูดแล้วถาม
“ถ้าเดินเท้าก็ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน..แต่ด้วยถนนลูกรังสายนี้ผมคิดว่ารถของพี่ชายคงจะไปได้ไม่เร็วนัก..ผมกลัวว่ามันอาจจะช้ากว่าการเดินเท้าเสียอีก..เพราะถ้าเราไปตอนนี้ผมคิดว่าเราน่าจะไปถึงที่นั่นในตอนเช้ามืด” หลินเฟิงพูดจากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งจากนั้นก็พูดต่อ “แต่ว่าถ้าเรามีรถเราก็สามารถนำสัตว์พวกนี้ทั้งห้าตัวไปด้วยได้..เพราะมันน่าจะทำเงินได้เยอะเลย..พี่ชายช่วยผมหน่อยได้มั้ย”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ได้เลย!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินกลับไปที่รถและเปิดประตูรถให้ทั้งเด็กสองคนเข้าไป หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินไปแบกร่างของสัตว์ทั้งห้าตัวเอามาไว้หลังรถ ซึ่งหูจื้อก็ลูบไล้รถอย่างตื่นเต้นและพูดขึ้นมาว่า “พี่ครับ..เราจะมีรถแบบนี้กันเมื่อไหร่อะ..ถ้าพวกเรานั่งรถแบบนี้ไปรอบๆ เมืองล่ะก็พวกเราจะมีสาวๆ กี่คนมานั่งข้างๆ พวกเรากันนะพี่”
เย่เชียนถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างซุกซน เพราะปรากฏว่าเด็กน้อยเหล่านี้กลับเข้าใจเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก
“สาวน้อยในหมู่บ้านของเราก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ..ฉันบอกนายไปกี่ครั้งแล้วว่านายไม่เหมาะกับพวกแม่หม้ายหรอก..อย่าคิดที่จะเอาพวกเธอมาทำเมียเลย..ระวังวิญญาณสามีของเธอที่ตายไปแล้วคลานออกมาจากหลุมศพและบีบคอนายจนตายก็แล้วกัน” หลินฟานเหลือบมองไปที่หูจื้อและพูด
เย่เชียนก็ชำเลืองมองเด็กที่แก่แดดทั้งสองคนนี้อย่างตกตะลึงและรู้สึกขบขันและผ่อนคลายไปกับบทสนทนาของพวกเขา ทั้งสอง หลังจากนั้นเย่เชียนก็บอกให้เด็กทั้งสองคนขึ้นรถแล้วและเย่เชียนก็เริ่มขับรถไปช้าๆ
“นี่พี่จำไม่ได้เหรอ..ก็ตอนที่พี่กับผมไปแอบดูแม่หม้ายอาบน้ำครั้งสุดท้ายน่ะ..เราก็เห็นแล้วหนิว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนในหมู่บ้านของเราที่สามารถเปรียบเทียบกับเธอได้..พี่ไม่เห็นเหรอว่าหน้าอกของเธอน่ะใหญ่จนสามารถใช้เป็นหมอนได้เลย..และมันก็น่าจะนิ่มสบายมากและกอดจนนอนหลับฝันดีเลยน่ะ” หูจื้อโต้กลับ
“ไอ้บ้านี่..ในเมืองน่ะมีผู้หญิงตั้งเยอะตั้งแยะที่สวยกว่าแม่หม้ายนั่นอีก..ถ้านายไม่เชื่อก็ลองถามพี่ชายเขาดูสิ..สาวๆ ในเมืองน่ะหน้าอกและบั้นท้ายใหญ่กันทุกคนเลย” หลินฟานพูดอย่างหนักแน่น ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเคยเข้าไปในเมืองและได้เห็นเด็กผู้หญิงสวยๆ หลายคนในเมือง
หูจื้อก็โน้มตัวเข้ามาจากด้านหลังและถามเย่เชียนว่า “พี่ชายครับ..ที่พี่หลินพูดมามันเป็นเรื่องจริงหรอ..ผู้หญิงทุกคนในเมืองเป็นแบบนั้นเลยหรอ”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มและพูดว่า “ใช่ๆ! ..พวกสาวๆ ในเมืองน่ะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี..พวกเธอมีหน้าอกที่ใหญ่โตกันทุกคนเลย”
“เห็นมั้ยล่ะ..อย่าสายตาสั้นสิ..และนอกจากนี้แม่หม้ายนั่นก็ยังหลายใจด้วย..เพราะฉันเคยเห็นเธอกับผู้ใหญ่บ้านเฒ่านั่นทำเรื่องน่าสมเพชกันมาหลายครั้งแล้ว” หลินฟานพูด
ร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวก็ฉายอยู่ภายในดวงตาของหูจื้อและเขาก็พูดว่า “แล้วไง! ..ไม่ช้าก็เร็วเธอจะตัดใจจากตาเฒ่านั่น..แล้วมาเป็นผู้หญิงของฉัน”
“นายนี่มันไร้ยางอายจริงๆ ..เธอจะไปเป็นผู้หญิงของนายได้ยังไง” หลินเฟิงพูดต่อ “นายที่ยังไม่เคยแม้แต่ได้สัมผัสกับมือของเธอแบบนี้..เพราะขนาดฉันเคยจับบั้นท้ายของเธอมาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ฉันยังไม่กล้าพูดเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉันน่ะ”
“อ้าวพี่! ..พี่เคยจับบั้นท้ายของเธอด้วยเหรอ..ได้เลย..เดี๋ยวฉันจะไปฟ้องฉิงเอ๋อเอง..และดูซิว่าเธอจะจัดการกับพี่ยังไง!” หูจื้อพูดอย่างซุกซน
“ฉิงเอ๋อคือใครหรอ” เย่เชียนถาม
“ลูกสาวของคุณลุงในหมู่บ้านที่คุณปู่หลินหมั้นไว้ให้เขา..เธองดงามมากและเธอจะต้องเป็นดอกไม้งามของหมู่บ้านของเราในอนาคตอย่างแน่นอน..แต่สำหรับผมน่ะเหรอ..ผมก็ยังชอบแม่หม้ายคนนั้นมากกว่าอยู่ดี!” หูจื้อพูดอย่างหนักแน่น
“จะพูดก็พูดไปเถอะ..ถ้าเป็นฉันน่ะเหรอ..ฉันจะไม่หลงเธอจนหัวปักหัวปำมากเกินไป..เพราะไม่งั้นเธอจะข่มเหงนายและเธอก็จะอ้างว่าเธอนั้นรู้ว่าทุกครั้งที่นายยอมเธอมันก็เป็นเพราะว่านายชอบเธอนั่นเอง..และนายจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลยถ้านายไม่มีเธอ” หลินฟานพูด คำพูดของหลินฟานนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อยและเขาก็พูดได้ดีอย่างมาก
เย่เชียนถึงกับตะลึงไปกับเด็กน้อยสองคนนี้โดยเฉพาะหลินฟานที่เป็นเพียงเด็กน้อยแต่ถ้าหากวันหนึ่งเขาเดินเข้าไปในเส้นทางแห่งเมืองใหญ่แล้วเขาจะเป็นอย่างไร? เขาจะเป็นดั่งยักษ์ใหญ่รุ่นใหม่ได้มั้ย?
บางทีหลินฟานกับหูจื้ออาจจะเหนื่อยล้ากันมากเพราะขณะที่พวกเขาคุยกันไปตามทางไม่นานนักทั้งคู่ก็ค่อยๆ หลับไป ซึ่งถนนนั้นก็ขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทางเย่เชียนจึงขับไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งท้องฟ้าสางและในที่สุดเย่เชียนก็มองเห็นหมู่บ้านแล้ว เหล่าผู้คนในพื้นที่ชนบทนั้นตื่นเช้ากันมากและควันจากการทำอาหารก็ลอยขึ้นมาเหนือหลังคาบ้านจนเห็นได้ชัดจากระยะไกล
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนักและมีเพียง 30 กว่าครัวเรือนเท่านั้นและมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน และนี่ก็คือเหตุผลที่หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าซูชูวที่แปลว่าต้นไม้นั่นเอง ที่อยู่อาศัยนั้นก็ทรุดโทรมอย่างมากซึ่งปูนที่ผนังบ้านอิฐบางส่วนก็หลุดร่วงเป็นจุดๆ แล้วและบ้านบางหลังก็สร้างด้วยดิน
เย่เชียนก็ปลุกเด็กทั้งสองคนและถามว่า “บ้านของพวกเอ็งอยู่ที่ไหน”
หลินฟานชี้ไปที่ด้านในของหมู่บ้านและพูดว่า “ตรงไปข้างในสุดเลย..มันอยู่ที่ทางขึ้นภูเขา”
เย่เชียนก็พยักหน้าและขับรถเข้าไปข้างในซึ่งระหว่างทางนั้นชาวบ้านต่างก็จ้องมองด้วยความสงสัยและประหลาดใจกันอย่างมากเพราะหมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลจากโลกที่เจริญแล้วอย่างมากและพวกเขาก็ไม่ได้เห็นรถขับผ่านเข้ามานานหลายสิบปีแล้วและสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
หมู่บ้านแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาและเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่านและสายลมในยามเช้าก็เย็นสบายอย่างมากและมีกลิ่นดินจางๆ อบอวลอย่างสดชื่น จากระยะไกลเย่เชียนก็เห็นบ้านดินหลังเล็กๆ ตั้งอยู่บนภูเขาและมีชายชราคนหนึ่งที่กำลังฝึกมวยไทชิอยู่ที่หน้าประตูอย่างช้าๆ และแล้วรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่เชียนเพราะเห็นได้ชัดเลยว่าหลินจินไท่ผู้เป็นดั่งอาจารย์ของเขายังคงมีสุขภาพที่ดีเช่นนี้
เย่เชียนก็จอดรถและหลินฟานกับหูจื้อก็ลงจากรถและช่วยกันลากสัตว์ทั้งห้าตัวลงจากรถ จากนั้นหูจื้อก็เหลือบมองไปที่หลินฟานและเย่เชียนแล้วพูดว่า “พี่ๆ ครับ..ผมขอกลับบ้านก่อนนะ”
หลินฟานก็พยักหน้าและพูดว่า “นี่! ..เอากลับไปด้วยสิ..ถ้าหมักเนื้อแล้วบ้านนายสามารถเก็บเอาไว้กินได้ตั้งหลายวันเชียวนะ..ส่วนที่เหลือถ้ามีใครเข้าเมืองเราจะฝากเขาไปขาย”
หูจื้อก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและยืนเกาหัวพูดว่า “ขอบคุณครับพี่!”
“ไปๆ ได้แล้ว..ฉันน่ะใจดีจะตายไป!” หลินฟานพูด จากนั้นหูจื้อก็ลากสัตว์หนึ่งตัวและเดินตรงไปที่บ้านของเขา
“คุณปู่..ผมกลับมาแล้ว!” หลินฟานตะโกนมาแต่ไกล
“ไอ้หลานตัวน้อยของฉัน! ..เอ็งกลับมาแล้วเหรอ..หายไปตั้งนานฉันคิดว่าเอ็งถูกสัตว์ร้ายกัดตายไปแล้วเสียอีก” หลินจินไท่มองไปที่ หลินฟานและพูด แต่ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับมีความรู้สึกที่ตื้นตันอย่างชัดเจนและสายตาของหลินจินไท่ก็จับจ้องไปยังร่างของเย่เชียนและหลินจินไท่ก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและพูดอะไรไม่ออก
“อาจารย์!” เย่เชียนเดินเข้าไปหาและร้องไห้ด้วยความตื้นตันและเคารพอย่างมาก
หลินจินไท่ก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “โอ้..เอ็งกลับมาเมื่อไหร่กันเนี่ย..แล้วเอ็งมีเวลามาหาฉันได้ยังไง”
“ผมกลับมาได้สักพักนึงแล้วครับ..แต่ผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับสิ่งต่างๆ มาตลอดเลย..เพราะงั้นผมเลยใช้เวลานานมากกว่าจะมาหาอาจารย์ได้..ผมหวังว่าอาจารย์จะผิดหวังในตัวผมนะครับ!” เย่เชียนพูดด้วยความเคารพ
ความกตัญญูกตเวทีนั้นจะต้องมีให้กับผู้ที่มีพระคุณกับเราเพราะนี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ และหลินจินไท่ผู้นี้ที่เป็นดั่งอาจารย์ของเย่เชียนซึ่งเป็นผู้ที่คอยสอนศิลปะการต่อสู้ให้เย่เชียนจนทำให้เย่เชียนสามารถแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงได้ ซึ่งถือได้ว่ามันเป็นดั่งของขวัญอันล้ำค่าแห่งการสร้างชีวิตใหม่ อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าหลินจินไท่นั้นไม่สิ่งของตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้นำของขวัญใดๆ มาให้เขา
เย่เชียนนั้นไม่รู้เลยว่าหลินจินไท่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เย่เชียนรู้ก็คือหลินจินไท่นั้นไม่เคยแสวงหาความมั่งคั่งเลย ไม่เช่นนั้นหลินจินไท่คงจะไม่ออกเดินทางไปรอบๆ โลกเช่นนี้ และสาเหตุที่เขาอาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมเช่นนี้ก็เพราะว่ามันเป็นชีวิตในแบบที่หลินจินไท่แสวงหา นั่นก็เพราะว่าหลินจินไท่เคยพูดเอาไว้ว่าผู้ฝึกพลังฉีนั้นจะต้องมีจิตใจที่สงบสุขและไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกต่อสิ่งเร้าต่างๆ และยึดติดอยู่กับความจริงและต้องสัมผัสถึงธรรมชาติของโลก และหลินจินไถ่ก็คือผู้ที่เชื่อมั่นในลัทธิเต๋าอย่างสมบูรณ์
“คุณปู่ครับ..อาหารพร้อมรึยัง..ผมหิวจนจะตายอยู่แล้ว!” หลินฟานพูดขณะที่เขาเดินเข้าไปในบ้าน
“ป่ะ..เราไปกินข้าวกันเถอะ!” หลินจินไท่มองไปที่เย่เชียนและพูดขณะที่เขาเดินเข้าไปในบ้าน
เครื่องเรือนในบ้านนั้นดูเรียบง่ายอย่างมากและมีโต๊ะกับเก้าอี้อยู่สองสามตัวและเก้าอี้ไม้ไผ่อีกสองสามตัวตรงกลางห้องโถงและมีรูปปั้นของบรรพบุรุษตระกูลหลินประดิษฐานอยู่ หลินฟานก็ถือถาดอาหารมาซึ่งมันเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมดและผักป่าเหล่านี้ก็เก็บมาจากบนภูเขา “พี่ชายผมจะเสิร์ฟอาหารให้พี่เอง!” หลินฟานพูดอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรๆ ..ฉันทำเอง” เย่เชียนยิ้มและพูด ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้ถึงนิสัยของหลินจินไท่ดีเพราะเขามักจะคิดว่าขอแค่มีอาหารและเสื้อผ้ามันก็เพียงพอแล้วและเขาก็ไม่เคยเสแสร้งในการทำเป็นทำสิ่งต่างๆ เลย
“คุณปู่…” หลินฟานเปิดปากพูดแต่หลินจินไท่ก็จ้องเขม็งและพูดว่า “กินไปเถอะ..อย่าเพิ่งพูด” หลังจากนั้นหลินฟานก็แลบลิ้นออกมาเล็กน้อยและหันไปมองเย่เชียน “ได้เลยครับคุณปู่” เย่เชียนเองก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อย
หลินจินไท่ก็กินอย่างประณีตไม่เร็วและก็ไม่ได้ช้าเกินไป “กินเสร็จแล้วออกมาข้างนอกด้วยล่ะ!” หลินจินไท่ลุกขึ้นยืนและพูดกับเย่เชียนขณะที่เขาเดินออกไป
.
.
.
.
.
.
.