ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 3 กลับบ้าน
ตอนที่ 3 กลับบ้าน
เมื่อเย่เชียนเห็นว่ากัปตันไม่เปิดเผยเรื่องราวของตนตามที่ตกลงกันไว้ เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ ถึงแม้ว่ากัปตันจะไม่ได้บอกเรื่องของเขาออกสื่อในตอนนี้ก็ตามที แต่เขาก็ตระหนักดีว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ไปบอกกับหน่วยงานสืบสวนนานาชาติในภายหลัง
อันที่จริงเย่เชียนก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนักเพราะกล้องวงจรปิดทุกจุดบนเครื่องบินได้ถูกผู้ก่อการร้ายทั้งสี่ทำลายทิ้งไปหมดจนไม่เหลือชิ้นดี และพวกเขาก็คงจะไม่สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของเย่เชียนได้ง่ายนัก หากฟังคำให้การจากปากผู้โดยสาร พนักงาน และกัปตัน แล้วนำมาวิเคราะห์ดูก็ใช่ว่าจะสาวถึงตัวเขาได้ง่าย ๆ
เมื่อเย่เชียนเดินออกมาด้านนอกของสนามบิน เขาก็เห็นทั้งรถพยาบาลและรถตํารวจจอดอยู่ ในขณะเดียวกันเขาเห็นชายแก่คนหนึ่งถูกหมอและพยาบาลหามขึ้นเปลมาเพื่อนำตัวขึ้นรถฉุกเฉิน ชายแก่ผู้นั้นโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแทบขาดใจ ตามร่างกายของชายแก่ผู้นั้นมีบาดแผลฟกช้ำเหมือนเขามีเรื่องชกต่อยทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น รอยเลือดจากปากแผลหลายจุดยังคงมีเลือดไหลซิบ ๆ
เมื่อเย่เชียนเพ่งพินิจพิจารณาดูร่างของชายแก่ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต
เจ้าหน้าที่ตํารวจกําลังสอบสวนชายร่างท้วมในชุดสูทเรียบหรูคนหนึ่ง เย่เชียนรับรู้ได้ถึงความเย่อหยิ่งโอ้อวดตนจากชายร่างท้วมผู้นี้ เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่พักหนึ่งก่อนถูกนำตัวขึ้นรถตํารวจไป
ไม่นานนักเย่เชียนก็ได้ยินเสียงบทสนทนาดังขึ้นจากกลุ่มคนใกล้ ๆ
“โถ ไม่น่าเลย… ชายแก่คนนั้นช่างโชคร้ายจริง ๆ! ทั้งที่เขาหวังดีช่วยเก็บกระเป๋าเงินให้แท้ ๆ แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นขโมยไปเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังไม่พอยังจะถูกทำร้ายร่างกายอีก คนดี ๆ นับวันมันยิ่งหายากขึ้นทุกวัน”
“นั่นน่ะซี้ ทุกวันนี้ก็เห็นมีแต่พวกเลว ๆ ทั้งนั้นแหละ ชายแก่นั่นเป็นแค่คนเก็บขยะขายไปวัน ๆ ชีวิตเขาลำบากมากพออยู่แล้ว ยังจะต้องมาเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากไอ้พวกคนเลวนี่อีก สงสารแกจริง ๆ โลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกวัน ความยุติธรรมมันคงจะหายสาบสูญจากโลกนี้ไปแล้วล่ะ แล้วดูไอ้อ้วนนั่นสิ หัวจรดเท้ามีแต่แบรนด์เนมซะขนาดนั้น เฮอะ! คงจะต้องรวยมากแน่ ๆ แล้วชายแก่เก็บขยะขายจะเอาอะไรไปสู้กับเขากันล่ะ”
เย่เชียนชำเลืองมองไปยังชายร่างท้วมที่นั่งอยู่บนรถตํารวจ จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน หากไม่ใช่เพราะตำรวจนั่งอยู่กับชายคนนั้น เย่เชียนก็คงจะสอนบทเรียนที่สาสมให้กับเขาเป็นแน่แท้ แต่ตอนนี้ตํารวจก็ควบคุมสถานการณ์เอาไว้แล้ว และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดเย่เชียนก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอยู่ดี
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงวิ่งวนอยู่ในใจของเย่เชียน เหมือนดั่งถนนที่ทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้า เขารู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนกับเด็กที่อยากจะกระโดดลงจากรถแท็กซี่แล้ววิ่งหนีกลับบ้านไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ในความเป็นจริง เขากลับทำได้เพียงอดทนนั่งอยู่ในรถและตกอยู่ในวังวนความคิดนั้นไปเรื่อย ๆ
หลังจากที่เย่เชียนต่อสู้กับความคิดของตัวเองอยู่นาน ในที่สุดรถก็หยุดลงที่จุดหมายปลายทางของเขานั่นก็คือ…บ้าน
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่คุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้า แม้จะเป็นเวลาผ่านไปกว่าแปดปีแล้วแต่ทุกอย่างกลับยังคงเหมือนเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย มันเป็นเมืองที่ดูเก่าซอมซ่อและเต็มไปด้วยขยะมากมายตามพื้นถนนที่ผุพัง ต้นไม้ใหญ่หลายต้นขึ้นตามแนวขนาบสองข้างถนน ด้วยเหตุนี้เองมันจึงยากมากที่จะพบเห็นรถราสัญจรไปมาผ่านเมืองแห่งนี้
เย่เชียนระลึกถึงความทรงจําของเขาในบ้านเก่าโทรม ๆ ที่เหมือนจะทรุดพังทลายลงได้ทุกวินาที ประตูหน้าบ้านถูกเปิดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี ข้างบนมีหินคู่รักที่มีตัวหนังสือสีขาวสลักอยู่ มันดูเหมือนเป็นลายมือของเด็กน้อยไร้เดียงสา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูสวยงามเป็นระเบียบ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดจะต้องเป็นลายมือของเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เขามีก่อนจะเดินตรงไปยังบ้านหลังเก่า เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้งแต่ไม่มีใครตอบรับกลับมา เขาจึงถือวิสาสะเปิดประตูและเดินเข้าไปข้างใน
ภายในนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมไม่ต่างไปจากเมื่อแปดปีก่อนเลยสักนิด ทั้งการตกแต่ง การจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งโต๊ะและเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นก็ยังคงเหมือนในวันเก่า
บนโต๊ะตัวนั้นมีรูปชายแก่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อตั้งอยู่ ชายในรูปแย้มรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขกับเด็ก ๆ รอบตัวเขา เย่เชียนยืนมองดูรูปภาพนั้นอยู่เพียงครู่เดียว น้ำตาก็รื้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ทั้งที่เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะเสียน้ำตาให้กับเรื่องอะไรได้ง่าย ๆ เว้นเสียแต่ในยามที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
จู่ ๆ ก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องครัว เย่เชียนปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็วและเดินเข้าไปในนั้น เขาเห็นเด็กผู้หญิงอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปีกําลังวุ่นอยู่กับการทําครัวซึ่งทำให้เขาประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเธอ ไม่รอช้าเขาก็เคาะประตูเพื่อส่งสัญญาณให้เธอรู้ตัว
“พ่อ!” เด็กสาวโพล่งขึ้นและหันกลับมาดูที่ต้นเสียงอย่างตื่นเต้น
แต่เมื่อเธอหันมากลับพบกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นกลับกลายเป็นสีหน้าของความฉงนสงสัยเข้ามาแทนที่ และทําให้เกิดความเงียบในฉับพลัน เมื่อเธอตั้งสติได้แล้วจึงสบตากับเย่เชียนและถามเขาว่า
“คุณเป็นใครและเข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง คุณต้องการอะไร บอกมานะ!”
เย่เชียนเหลือบมองไปยังเด็กผู้หญิงที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ในชุดธรรมดาเรียบง่าย แต่นั่นก็ไม่สามารถบดบังความงดงามของเธอไว้ได้มิด
“พ่อของเธออยู่บ้านหรือเปล่า ?” เย่เชียนถามอย่างนุ่มนวล
“พะ… พี่สองเหรอคะ” เด็กสาวชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น
ภาพที่พ่อของเธอวางไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นแวบขึ้นมาในหัว แม้ว่าหน้าตาของผู้ชายในภาพจะเลือนรางจางหายไปตามกาลเวลา แต่เธอก็มั่นใจว่าชายตรงหน้าผู้นี้คือคนที่พ่อของเธอมักพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง
เย่เชียนงุนงงและจ้องมองเธอกลับไปอย่างแปลกใจ เพราะเขาคิดว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่น่าจะรู้จักเขาได้ อย่างไรก็ตาม ชายแก่ก็คงจะเล่าเรื่องของเขาให้เธอฟัง และยังมีรูปภาพของพวกเขาอยู่ด้วย ดังนั้นมันก็เป็นไปได้ที่เธอจะรู้จักเขาจากคำบอกเล่าของชายแก่
จากนั้นเย่เชียนรู้สึกเหมือนมีคลื่นซัดสาดเข้ามาในกลางใจจนน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นอีกครั้ง เขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาเพิ่งตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่ามันเป็นเวลานานกว่าแปดปีที่พ่อของเขายังคงคิดถึงเขาเสมอมา
มันจบแล้ว…
เย่เชียนในฐานะราชันแห่งทหารรับจ้างผู้เข้มแข็ง เขาทําใจให้เย็นลงและพยายามยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดกับเด็กสาวตรงหน้า
“ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักฉันสินะ แล้วเธอชื่ออะไรกันล่ะ”
“ฮันเซ่ลค่ะ! ฉันชื่อฮันเซ่ล” เด็กสาวตอบอย่างกระตือรือร้น ขณะที่เธอประเมินชายที่พ่อของเธอพูดถึงบ่อย ๆ
ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอช่างสุภาพและหล่อเหลาอย่างมาก หากไม่มีรอยแผลเป็นมากมายตามตัวแล้วล่ะก็ เขาถึงกับดูเหมือนนักวิชาการที่ดูฉลาดล้ำมากเลยทีเดียว เธอจำได้ว่าพ่อมักจะพูดถึงเย่เชียนไว้ว่า เขาเป็นคนที่แสนจะซุกซนซึ่งค่อนข้างแตกต่างกับคนที่เธอเห็น ณ ตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
“ตาแก่ยังไม่กลับบ้านเหรอ ?” เย่เชียนถาม
“เดี๋ยวเขาก็กลับมาค่ะ พี่นั่งพักผ่อนก่อนนะคะ” ฮันเซ่ลพูดพร้อมยื่นถ้วยน้ำชาให้เย่เชียน
“ขอบใจนะ” เย่เชียนรับถ้วยน้ำชาและตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้ว่ามันจะเป็นเวลากว่าแปดปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับบ้าน แต่นี่ก็เป็นที่ที่เขาเติบโตมาและความทรงจำทั้งดีและไม่ดีก็ไม่อาจถูกลืมได้ง่าย ๆ
เมื่อเห็นว่าพ่อยังไม่กลับมา เย่เชียนจึงเริ่มหาบทสนทนามาพูดคุยกับฮั่นเซ่ลเพื่อทำลายความเงียบ
“ว่าแต่พ่อสบายดีไหม เขาเป็นอย่างไรบ้าง ?” เขาเอ่ย
ฮันเซ่ลพยักหน้าและตอบว่า
“ค่ะ พ่อสบายดี สุขภาพแข็งแรง แต่ท่านก็อายุมากแล้ว ท่านทนกับสภาพอากาศที่แปรปรวนไม่ค่อยไหว”
“แล้วไอ้พี่ชายสารเลวของฉันมันไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ มันไม่มาเยี่ยมพ่อบ้างเลยเหรอ ?” เย่เชียนขมวดคิ้วแล้วทำหน้าบึ้งเมื่อพูดถึงพี่ชาย
พี่ชายที่เขาเอ่ยถามถึงนี้ จริง ๆ แล้วทั้งสองคนไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่อย่างใด ทว่าคนทั้งคู่ก็นับถือชายแก่ผู้นี้เหมือนเป็นพ่อแท้ ๆ ของพวกเขา เย่เชียนอดคิดไม่ได้ว่าพี่ชายคงมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานของตนจนไม่มีเวลากลับมาเยี่ยมพ่อที่บ้านบ้าง
“มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกค่ะ พี่ใหญ่เคยชวนพ่อไปอยู่ด้วยแล้วแต่พ่อก็ปฏิเสธ เพราะสําหรับพ่อแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจไปเท่ากับการที่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้” ฮันเซ่ลตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ
เย่เชียนพยักหน้ารับรู้ เขาเข้าใจในสิ่งที่ฮันเซ่ลพูดมาเป็นอย่างดี เขารู้ว่าพ่อเป็นคนดื้อรั้นมากแค่ไหน ถ้าหากพ่อตั้งใจจะทําอะไรแล้วล่ะก็ ต่อให้เอาวัวสิบตัวมาฉุดกระชากก็ไม่อาจเปลี่ยนใจพ่อได้ และลึก ๆ แล้วเย่เชียนเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าพี่น้องของเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนที่อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ