ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 30 กังฟูที่หลับใหล
ตอนที่ 30 กังฟูที่หลับใหล
หลังจากที่เด็กนักเลงผมสีม่วงพูดจบ เขาก็ก้มลงหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาพร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาพวกเย่เชียนที่นั่งอยู่…
หวันชุนหัวโกรธมาก เขาลุกขึ้นยืนขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา มือทั้งสองของเขากำหมัดแน่น ส่วนฟูจุนเฉิงก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเหล่านี้ทำหน้าทำตาเยาะเย้ยพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือหวันชุนหัวยังคงยืนอยู่นิ่ง ๆ และกลุ่มเด็ก ๆ ก็แสร้งทำเป็นลุกลี้ลุกลนพร้อมกับก้มหัวโค้งคำนับล้อเลียนเขาอย่างสนุกสนาน
แต่ทันใดนั้น! จ้าวไถ่จู้ตบไหล่ของเด็กนักเลงผมสีม่วงเบา ๆ และมองหน้าเขาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไอ้น้อง… พี่ขอเล่นด้วยคนสิ!”
“ไถ่จู้… นายจะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอ ?” หวันชุนหัวถามอย่างเป็นกังวล
วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานของเย่เชียน เขายังไม่ทันได้มีโอกาสทำความรู้จักกับจ้าวไถ่จู้มากนัก แต่หวันชุนหัวนั้นรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาทำงานร่วมกับจ้าวไถ่จู้มาเกือบสองปีแล้ว
หวันชุนหัวไม่เข้าใจการกระทำอันกล้าบ้าบิ่นของจ้าวไถ่จู้เลยแม้แต่น้อย เพราะบุคลิกของจ้าวไถ่จู้เป็นคนที่เรียบง่ายและออกจะซื่อ ๆ เสียด้วยซ้ำไป ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตามที่มารังแกกดขี่ข่มเหงจ้าวไถ่จู้ ตัวเขาก็เพียงแค่ยิ้มกลับอย่างโง่เขลา ฉะนั้นลืมไปได้เลยว่าเขาจะไปสู้รบปรบมือกับใคร
จ้าวไถ่จู้หันหน้ามาแล้วหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ลองดูซักตั้งสิ! มันจะไปยากอะไร กะอีแค่สู้กับไอ้พวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนี้!”
“เดี๋ยว!”
หวันชุนหัวพยายามห้ามอย่างสิ้นหวังและไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เขาพยายามจะแย้งเรื่องนี้จริง ๆ เพราะมันอาจจะเกิดเรื่องราวเลวร้ายที่สุดถึงขั้นทำให้ชีวิตของใครบางคนต้องดับสูญได้ หรืออย่างน้อยที่แน่ ๆ คือมันจะต้องมีคนบาดเจ็บอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง หวันชุนหัวไม่เข้าใจว่าทำไมจ้าวไถ่จู้ถึงทำตัวกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ เขาจะต้องเป็นคนงี่เง่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ปฏิกิริยาของฟูจุนเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดูเขาจะมั่นใจในตัวของจ้าวไถ่จู้มากทีเดียว ส่วนเย่เชียนก็เพียงแค่ยิ้มอย่างเฉยเมย ทั้งที่เขาไม่รู้จักจ้าวไถ่จู้มากนัก แต่เมื่อเห็นจ้าวไถ่จู้ได้ไม่นาน เย่เชียนก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายเลยว่าจ้าวไถ่จู้เป็นคนที่มีฝีมือมากพอตัว
เด็กนักเลงผมสีม่วงตลกขบขันและไม่เข้าใจในท่าทีของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องไปที่จ้าวไถ่จู้และพูดว่า
“มาสิไอ้พวกผู้ใหญ่! เข้ามา! เดี๋ยวฉันคนนี้จะเล่นแกให้ตายก่อนแก่เลย!” พูดจบเขาก็เหวี่ยงขวดเบียร์ในมือไปที่หัวของจ้าวไถ่จู้ทันที
จ้าวไถ่จู้หันหัวหลบไปทางด้านข้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเขาก็ใช้กระบวนท่ามังกรคู่ปะทะเข้าไปที่อกของเด็กนักเลงผมสีม่วง พร้อมกันนั้นก็กระโดดเตะจนเด็กนักเลงหัวม่วงลอยขึ้นไปกลางอากาศ จ้าวไถ่จู้คว้าตัวเด็กนักเลงเอาไว้ไม่ให้ร่วงพื้น ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นการช่วยเหลือเขาแต่อย่างใด เพราะมันกลับทำให้ซี่โครงหักทันทีด้วยหมัดที่ชกออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับพายุหมุน ด้วยทักษะวรยุทธ์ทุกท่วงท่านี้ เห็นได้ชัดว่าจ้าวไถ่จู้ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ
มีเพียงเย่เชียนและฟูจุนเฉิงเท่านั้นที่รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขามีทักษะความสามารถซ่อนอยู่ แต่นอกจากเขาสองคน ทุกคนต่างก็ตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวันชุนหัว เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจ้าวไถ่จู้ผู้ที่ถูกข่มเหงรังแกอยู่เสมอจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเช่นนี้
เด็กนักเลงทั้งสามที่เหลืออยู่ช่วยกันพยุงเด็กผมสีม่วงขึ้นมาจากพื้น เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสั่นสะท้านด้วยความกลัวจับใจ ที่ผ่านมาพวกเขามักจะรังแกแต่คนที่ไร้เดียงสาและไม่มีทางสู้เท่านั้น พวกเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรกลับไปและต่างรู้ตัวดีว่าพวกของตนไม่สามารถต่อกรกับคนมีฝีมืออย่างจ้าวไถ่จู้ได้
โชคดีแค่ไหนแล้วที่คนที่ก้าวออกมาคือจ้าวไถ่จู้ ไม่ใช่เย่เชียน ถึงแม้ว่าจ้าวไถ่จู้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แขนงกังฟูก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับเย่เชียนได้เลย เพราะเย่เชียนนั้นผ่านหุบเขาแห่งความตายมาแล้ว หากเย่เชียนได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่เด็กนักเลงอ่อนหัดก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะออมมือ
จ้าวไถ่จู้หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงดัง “ว่าไงไอ้พวกเด็กเมื่อวานซืน พวกเอ็งวางแผนจะทำอะไรกันอยู่ ? ฉันว่า… เพียงแค่หนึ่งหมัดมันก็มากพอแล้วที่จะเอาชนะพวกเอ็งได้ ฉันเชื่อว่าในอนาคตพวกเอ็งสามารถแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้ แต่ตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดฉันว่าพวกเอ็งกลับบ้านและไปเรียนหนังสือก่อนดีกว่าไหม ?”
จ้าวไถ่จู้ยิ้มอย่างเฉยเมยขณะที่เขาพูดคำเหล่านั้น ซึ่งมันทำให้ทุกคนรู้สึกว่านั่นเป็นคำพูดที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ แต่ที่จ้าวไถ่จู้ต้องการจะสื่อก็คือเขายังมีความปรารถนาดีให้เด็กเหล่านี้ได้ฉุกคิดและกลับไปตั้งใจเรียน เพราะหากมีการศึกษาที่ดี พวกเขาก็จะมีโอกาสเติบโตและมีอนาคตที่ดี แต่ถ้าพวกเขายังมัวแต่หลงทางไม่ยอมไปตั้งใจเรียนหนังสืออยู่อย่างนี้ พวกเขาก็จะมีอนาคตที่มืดมนเป็นแน่แท้ อย่างน้อย ๆ พวกเขาควรตระหนักถึงเรื่องนี้กันสักเล็กน้อยเพื่อตัวของพวกเขาเอง
ตู้ไคว่ตัวสั่นเทาเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็พูดโพล่งออกมาอย่างห้าวหาญว่า
“พวกแกรู้ไหมว่าลูกพี่ของพวกฉันเป็นใคร ? มาทำซ่าแบบนี้นี่พวกแกยังต้องการทำมาหากินในเมืองนี้อยู่เปล่าวะ ? ใช่… ฉันยอมรับว่าพวกแกเก่งที่สามารถสู้กับคนคนเดียวได้ แต่พวกแกจะสู้กับคนหลายร้อยคนได้เหรอวะ ? ลูกพี่ฉันมีพี่น้องติดตามอยู่มากมาย ถ้าพวกแกแน่จริง พวกแกไม่ลองสู้กับพวกเราทุกคนดูล่ะ ไอ้พวกเวร!”
จากคำพูดที่เด็กนักเลงคนนี้เอ่ยออกมา มันสื่อแล้วว่าพวกเขาช่างโง่เขลาและไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจริง ๆ
ตอนแรกฟูจุนเฉิงก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ ไม่แสดงอารมณ์ แต่ทัศนคติของพวกเด็กเมื่อวานซืนในตอนนี้กำลังทำให้คิ้วของฟูจุนเฉิงเริ่มขมวด และหวันชุนหัวก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและตะคอกใส่พวกเด็กนักเลง
“ช่างหัวมันสิ! ลูกพงลูกพี่อะไรวะ ? ฉันไม่สนหรอกโว้ยว่ามันจะเป็นใครมาจากไหน! ถ้าไม่มีปืนแล้วมันจะทำอะไรได้! ไอ้พวกเด็กเลว พวกเอ็งลองเรียกลูกพี่ของพวกเอ็งมาดูสิ แล้วจะได้รู้กันว่าใครเป็นใคร!”
“เอาเถอะ ๆ พวกเอ็งทุกคนรีบกลับบ้านแล้วไปตั้งใจเรียนซะดีกว่า จะได้มีอนาคตที่ดี เชื่อสิ! ไอ้บ้านั่นมันโหดร้ายกว่าฉันมากนะจะบอกให้ ถ้าหากพวกเอ็งยังไม่ไปแล้วเขาโกรธขึ้นมา ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะหยุดเขาได้นะ ฮ่า ๆ” จ้าวไถ่จู้หัวเราะ เขามองหวันชุนหัวและขยิบตาให้ในขณะที่เขาพูด
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหวันชุนหัวคงจะกล่าวถ้อยคำเหน็บแนมใส่เขา แต่หลังจากที่ได้เห็นทักษะการต่อสู้ของจ้าวไถ่จู้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ทันทีถึงความแตกต่างของสวรรค์และโลก เมื่อเปรียบเทียบตัวเขากับจ้าวไถ่จู้แล้ว เขานั้นเปรียบเป็นเพียงเด็กที่เพิ่งจะหย่านมแม่ ถ้าหากพวกเขาจะต้องสู้กันจริง ๆ แล้วล่ะก็ เพียงแค่จ้าวไถ่จู้ปลดปล่อยความขุ่นเคืองที่เขาสะสมมาตลอดออกมา หวันชุนหัวจะมีอีกกี่สิบชีวิตก็คงไม่เพียงพอ
ตู้ไคว่ที่เพิ่งพูดออกมาเพื่อรักษาหน้า เขารู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องโง่เง่าถ้าพวกเขายังไม่ยอมถอย และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาเปรียบเทียบพวกของตนกับผู้ที่มีวิชากังฟูเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กกลุ่มหนึ่งจริง ๆ เขาจึงพูดออกมาว่า
“เออ! แต่ยังไงฉันจะจำพวกแก ยามรักษาความปลอดภัยของเทียนหยากรุ๊ปเอาไว้…! คอยดูก็แล้วกัน!”
หลังจากที่ตู้ไคว่พูดคำเหล่านี้ทิ้งท้าย เขาก็สั่งให้คนอื่นช่วยพยุงคนที่บาดเจ็บ แล้วพวกเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวไถ่จู้เดินกลับไปยังที่นั่งของเขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เขาทักทายเพื่อนทั้งสามคนด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตากินบาร์บีคิวต่ออย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหิวโหยราวกับว่าเขานั้นเป็นผู้ลี้ภัยจากทวีปแอฟริกา เขาตั้งหน้าตั้งตากินทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเร็วดั่งพายุโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน
“ไถ่จู้… นายเก็บมันเป็นความลับจากเรามาตั้งนาน ไม่ยักรู้ว่านายมีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้!” หวันชุนหัวพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ… มีแต่นายเท่านั้นล่ะที่ไม่รู้! ขนาดฟูจุนเฉิงกับเย่เชียน พวกเขายังดูรู้เลย!” จ้าวไถ่จู้พูดและหัวเราะเบา ๆ เขามองฟูจุนเฉิงและเย่เชียนในขณะที่พูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็สามารถรู้สึกได้เหมือนกันว่าฟูจุนเฉิงและเย่เชียนเองก็มีทักษะบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นทักษะแขนงไหน
หวันชุนหัวจ้องไปที่ฟูจุนเฉิงอย่างสับสนก่อนจะเบนสายตาไปหาเย่เชียนต่อ เขาไม่เข้าใจว่าพวกเขารู้กันได้อย่างไร มันก็สมเหตุสมผลอยู่สำหรับฟูจุนเฉิงที่จะรู้ตั้งแต่ต้น เพราะเขาและจ้าวไถ่จู้ก็ได้ทำงานร่วมกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่วันนี้เป็นเพียงวันแรกของเย่เชียนแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร
เย่เชียนและฟูจุนเฉิงยิ้มจาง ๆ และไม่มีใครพูดอะไรเลย
“ไถ่จู้… นายบอกความจริงกับฉันมาว่านายไปฝึกวิชากังฟูของนายมาจากที่ไหน ?” หวันชุนหัวพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างน้อยใจ