ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 31 หน่วยเขี้ยวหมาป่า
ตอนที่ 31 เขี้ยวหมาป่า
จ้าวไถ่จู้หัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาตอบคำถามของหวันชุนหัว
“คืออย่างนี้… ที่หมู่บ้านของผม วิชากังฟูนี้ได้สืบทอดต่อกันมาในตระกูลของผมมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เมื่อตอนที่พ่อของผมยังหนุ่ม ๆ อยู่ ท่านเป็นเจ้าสำนักฝึกศิลปะการต่อสู้ในจังหวัดของเรา ผมก็เลยโชคดีได้เรียนรู้วิชามาจากท่านตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กไม่ค่อยรู้ประสีประสา แต่ทว่าท่านได้รับบาดเจ็บก็เลยเกษียณไปเสียก่อน…”
“ไถ่จู้…? นายพูดเป็นเล่นไป นี่นายฝึกวิชากังฟูมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยเหรอ ? มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย ไม่รู้ล่ะ! ถ้านายมีเวลานายจะต้องสอนฉันด้วย!” หวันชุนหัวพูดอย่างหนักแน่น
“แต่พ่อของผมกำชับไว้ว่าห้ามสอนวิชากังฟูนี้ให้คนอื่นน่ะสิ ฮ่า ๆ ๆ แต่ถ้าคุณต้องการเรียนจริง ๆ แล้วล่ะก็ ทำไมไม่ลองถามฟูจุนเฉิงหรือเย่เชียนดูล่ะ ? พวกเขาน่าจะเก่งกว่าผมนะ” จ้าวไถ่จู้ตอบอย่างอารมณ์ดี
หวันชุนหัวจ้องมองไปที่ฟูจุนเฉิงและเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสองคนนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้และเก็บเป็นความลับเอาไว้
“เฮ้ ๆ น้องฟู… น้องเย่… ได้โปรดพิจารณาด้วยเถอะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้มีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะการต่อสู้อยู่เลย แต่ฉันรับประกันได้เลยว่าฉันคนนี้นี่แหละจะช่วยส่งเสริมและเป็นกำลังที่สำคัญให้กับพวกนายในวันข้างหน้า!” หวันชุนหัวจ้องมองเย่เชียนและฟูจุนเฉิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ทักษะการต่อสู้แขนงของผมนั้นมันไม่เหมาะกับพี่หวันหรอก…” เย่เชียนยิ้มเบา ๆ
อันที่จริงแล้วทักษะของเย่เชียนนั้นเป็นทักษะแขนงพิเศษที่นำเอาศิลปะการต่อสู้จากทั่วทุกมุมโลกมาผสมผสานกันให้เกิดประสิทธิภาพอันสูงสุด และมันยังมีอันตรายถึงแก่ชีวิตเพราะมันทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และดุร้าย ซึ่งทักษะการต่อสู้แขนงนี้ เขาจะใช้มันแค่บางครั้งในการซ้อมกับกองทหารรับจ้างหน่วยเขี้ยวหมาป่า ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะใช้กับศัตรูในการต่อสู้มากกว่าเพราะมันอาจถึงตายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“คุณแข็งแกร่งอยู่แล้ว คุณไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากมายเลย…” ฟูจุนเฉิงพูดขึ้นบ้าง “แต่ถ้าคุณต้องการที่จะเรียนจริง ๆ ล่ะก็… ผมสามารถสอนให้คุณได้นะ แต่คุณต้องสัญญากับผมก่อนว่าคุณจะไม่นำทักษะการต่อสู้ที่ผมสอนให้ไปใช้ในทางที่ผิด!”
ในตอนแรกที่หวันชุนหัวได้ยินว่าเย่เชียนจะไม่สอนวิชาให้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นผิดหวัง แต่เมื่อฟูจุนเฉิงตกลงที่จะช่วยสอนให้เขา ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นและพูดซ้ำ ๆ ว่า
“แน่นอน! ฉันจะไม่เอาวิชาที่นายสอนไปใช้ในทางที่ไม่ดี! ว่าแต่… ฉันดูเหมือนคนแบบนั้นในสายตานายหรือ ? ฉันสัญญาว่าตราบใดที่ไม่มีใครมายั่วยุและบีบให้ฉันต้องทำล่ะก็ ฉันจะไม่ใช้มันอย่างผิด ๆ แน่!”
ฟูจุนเฉิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก ตัวเขานั้นได้ทำงานกับหวันชุนหัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้งนัก แต่เขาก็รู้จักและเข้าใจถึงตัวตนของหวันชุนหัวดีพอ หวันชุนหัวไม่ใช่คนที่ป่าเถื่อนหรือหุนหันพลันแล่นแต่อย่างใด เขามีความภักดีในแบบของลูกผู้ชายต่อเหล่าพี่น้องและเพื่อนฝูง มันจึงทำให้เขาเป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือ
“น้องฟูเยี่ยมที่สุด! งั้นเดี๋ยวคืนนี้ฉันเลี้ยงเอง! ทุกคนกินเลย ๆ ไม่ต้องกังวลกับราคา หมดก็สั่งได้เลย ฉันยินดีจ่าย…!” หวันชุนหัวพูดออกมาอย่างมีความสุข
“จริงเหรอ ?” จ้าวไถ่จู้ถามด้วยความตกใจระคนยินดี
“แน่นอน! คนอย่างฉันไม่กลับคำหรอก” หวันชุนหัวตอบอย่างเคร่งขรึม
“นี่เถ้าแก่…! ผมขอซี่โครงแกะเพิ่มอีกยี่สิบ น่องไก่สิบ กระเทียมสิบ ปลาหมึกและหอยนางรมด้วยรวม ๆ กันมาเลย!” จ้าวไถ่จู้หัวเราะอย่างสนุกสนานในขณะที่เขาสั่งเมนูชนิดที่ว่าแทบเหมาร้าน
“เฮ้! ไถ่จู้ ทำไมนายต้องฉวยโอกาสขนาดนี้ นายจะกินมันทั้งหมดนั่นเลยรึยังไง ?” หวันชุนหัวตกใจอย่างมาก เขาคิดว่าตัวเองกำลังถูกเพื่อนผู้นี้แกล้ง
“เถ้าแก่… เถ้าแก่! ผมด้วย… ผมด้วยครับ! ผมเอาเต้าหู้และมะเขือยาวด้วย!” เย่เชียนหัวเราะไปด้วยสั่งไปด้วย “ไหน ๆ พี่หวันก็จะเลี้ยงแล้ว ซึ่งพี่ก็คงไม่ได้เลี้ยงพวกเราบ่อย ๆ ฉะนั้นพวกเราจะกินให้หมดทั้งร้านไปเลยเป็นไง ! ฮ่า ๆ ๆ” เย่เชียนพูดอย่างมีความสุข
หวันชุนหัวยิ้มอย่างสิ้นหวังขณะพูด “เออ… ก็ได้ ๆ กินกันไปเหอะ! แต่ฉันจะสาปแช่งพวกนายทั้งหมดให้ท้องอืดพยาธิตัวตืดบุก ฮ่า ๆ ๆ”
ทั้งสี่คนสังสรรค์กันต่อจนถึงเวลาสี่ทุ่ม เมื่อถึงเวลาจ่ายบิล เย่เชียนก็ฉวยใบเสร็จไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าหวันชุนหัวไม่เต็มใจจะจ่าย แต่เป็นเพราะเย่เชียนรู้สึกว่าเขาต้องรับผิดชอบมื้อนี้ ก็ในเมื่อเขาบอกว่าเขาจะเป็นคนเลี้ยงมื้อนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาก็จะทำตามนั้นจะได้ไม่ผิดคำพูด และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูหวันชุนหัวแล้ว ฐานะของเขาก็คงไม่ได้ดีมากนัก ถึงแม้ว่าบาร์บีคิวร้านนี้จะไม่ได้แพงมากมายอะไรโดยราคาอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดในมื้อนี้รวมกันแล้วไม่น่าจะเกินหนึ่งพันห้าร้อยหยวน แต่มันก็มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายครึ่งเดือนของหวันชุนหัว
เย่เชียนประหลาดใจเมื่อพบว่าที่พักของฟูจุนเฉิงห่างกับที่พักของเขาเองเพียงหนึ่งถนนเท่านั้น แต่เดิมเย่เชียนวางแผนที่จะกลับบ้านโดยการเรียกแท็กซี่ แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกลับบ้านพร้อมฟูจุนเฉิงเพื่อที่จะได้พูดคุยกันต่อ
เย่เชียนรู้สึกว่าฟูจุนเฉิงต้องเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามในกองทัพสักแห่ง เมื่อมาถึงจุดนี้ เย่เชียนสามารถบอกได้ด้วยการมองตาที่เหมือนเสือโคร่งจากนัยน์ตาของเขาที่ดูมีเจตนาอยากจะฆ่าแอบแฝงอยู่ในนั้น ถึงมันจะดูเศร้าเล็กน้อยที่ชีวิตต้องผ่านความทรมานบางอย่างมาก็ตามซึ่งเขาไม่สามารถซ่อนมันจากสายตาของเย่เชียนได้
“พี่ชาย… คุณเคยอยู่หน่วยไหนมาก่อนงั้นหรือ ?” เย่เชียนถามระหว่างทางกลับ
การแสดงออกของฟูจุนเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็พูดอย่างเศร้า ๆ ว่า “มันเป็นอดีตไปแล้ว… ฉันไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่นัก”
เย่เชียนยิ้มเจื่อน ๆ แต่เขาก็ไม่แปลกใจที่คำตอบจะออกมาเป็นแบบนี้ จากการมองสายตาของฟูจุนเฉิงก็รู้แล้วว่าจะต้องมีสิ่งที่เลวร้ายอย่างมากเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขาอยู่ในกองทัพ
“มีบางสิ่งที่คุณอยากลืมแต่ก็ไม่สามารถลืมมันได้ใช่ไหม ? คุณจึงฝังมันลึกลงไปในความทรงจำของคุณสินะ… ผมบังเอิญเห็นรอยสักที่แขนของคุณ ถ้าให้ผมเดา คุณเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของจีนใช่ไหม ?” เย่เชียนพูดอย่างมั่นใจ
เย่เชียนรู้เรื่องเกี่ยวกับกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของจีนเป็นอย่างดี ทั้งนี้เป็นเพราะทหารรับจ้างหน่วยเขี้ยวหมาป่านั้น แต่เดิมถูกก่อตั้งขึ้นโดยทหารผ่านศึกของหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่าของจีน เป็นเพราะทหารผ่านศึกเหล่านั้นมีความรู้สึกซาบซึ้งและภักดีต่อกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่า และที่เขาจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าก็เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่ประเทศจีนมีภารกิจที่ยากเป็นพิเศษและจำเป็นต้องทำอย่างลับ ๆ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านี้มาทำแทน
ทุกคนที่สังกัดอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างจะต้องไม่เคยมีประวัติใด ๆ ในประเทศจีนหรือต่างประเทศเลยแม้แต่นิดเดียว กลุ่มเขี้ยวหมาป่าของจีนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับต่อโลกภายนอก รวมทั้งแม้แต่กับหน่วยงานอื่น ๆ ของกองทัพอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าทหารจากหน่วยงานอื่น ๆ ของกองทัพจะเกษียณ พวกเขาก็จะไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น
แม้แต่ผู้ก่อตั้งกองทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าเองก็ยังคงปฏิบัติตามกฎของความลับนี้ แต่เมื่อเขาได้เห็นพรสวรรค์อันพิเศษของเย่เชียน เขาก็พาเย่เชียนไปและบอกเขาถึงต้นกำเนิดทั้งหมดและความลับทั้งหมดทั้งมวลแก่เย่เชียน เขาบอกเย่เชียนว่าเย่เชียนจะต้องไม่ทำให้ประเทศชาติของเขาต้องผิดหวัง และแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในดินแดนใด ๆ ในโลกก็ตาม พวกเขาจะต้องมีจิตสำนึกที่ชัดเจนและอย่าลืมประเทศบ้านเกิดของตน
ฟูจุนเฉิงจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจที่เย่เชียนรู้ถึงตัวตนของเขา เขาเบิกตากว้างขึ้นและมองหน้าเย่เชียนอย่างเศร้าโศกในคราวเดียวกันราวกับว่าเขากำลังนึกถึงบางสิ่งที่สำคัญอยู่ ในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่มันก็เหมือนกับการยืนยันคำถามของเย่เชียนแล้ว
“ทำไมคุณถึงถูกปลดล่ะ ?” เย่เชียนถาม
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นความทรงจำที่ฟูจุนเฉิงไม่ต้องการที่จะจดจำก็ตาม แต่ถ้าบางสิ่งบางอย่างถูกเก็บไว้ในใจตลอดไป สักวันหนึ่งก็จะไม่สามารถกักกั้นมันเอาไว้ได้ กองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่านั้นแทบจะไม่ปลดประจำการสมาชิกของพวกเขาเลย ดังนั้นการปลดประจำการของฟูจุนเฉิงจะต้องมีเรื่องราวเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เรื่องที่หนักหนาสาหัสในใจของฟูจุนเฉิงนั้น เย่เชียนต้องการที่จะช่วยเขาขจัดความกังวลนี้ไม่มากก็น้อย และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่เย่เชียนก็อยากลองทำเพื่อเพื่อนที่เป็นชายชาติทหารด้วยกัน
กองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่ากับกองทหารรับจ้างหน่วยเขี้ยวหมาป่า ไม่ใช่หน่วยเดียวกันและยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวฟ้ากับเหว เพราะกลุ่มหนึ่งจะอยู่บนดิน แต่อีกกลุ่มหนึ่งจะอยู่ใต้ดิน มันมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นชายชาติทหารที่รักชาติยิ่งชีพ…