ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 33 องค์กรเซเว่นคิล
ตอนที่ 33 เซเว่นคิล
เย่เชียนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอคนรู้จักเก่าในประเทศจีนแห่งนี้ เขาเป็นนักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิล ซึ่งความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างองค์กรเซเว่นคิลและหน่วยเขี้ยวหมาป่าก็คือ สำหรับองค์กรเซเว่นคิลนั้น ตราบใดที่คุณมีเงิน พวกเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อเงินโดยไม่มีข้อแม้
หลายปีก่อนเคยมีคนส่งนักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลไปลอบสังหารเย่เชียน แต่ผลสุดท้ายนักฆ่าเหล่านั้นก็ต้องกลับบ้านไปอย่างคนพิการ ที่เย่เชียนไม่ได้ฆ่าคนพวกนั้นเป็นเพียงเพราะว่าเขาต้องการให้นักฆ่าเหล่านั้นส่งสารกลับไปยังผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลซึ่งมีนามว่า หลินเฟิง เพื่อให้เขามาด้วยตนเอง ไม่ใช่ส่งทหารเก้ ๆ กัง ๆ มาตายฟรี
นั่นเป็นครั้งเดียวที่เย่เชียนเคยติดต่อกับองค์กรเซเว่นคิล และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยพบเจอกับสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลอีกเลย เย่เชียนคิดว่าองค์กรเซเว่นคิลได้หายไปจากโลกนี้แล้ว แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะได้เห็นสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลอีกครั้งในวันนี้ ถึงเย่เชียนจะเห็นเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่เย่เฉียนก็จำสัญลักษณ์ขององค์กรนั้นได้อย่างแม่นยำ
เย่เชียนสังเกตเห็นคนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ และสวมหน้ากากในตอนกลางคืน และเขาก็รู้สึกถึงเจตนาอยากจะฆ่าที่แผ่ออกมาอย่างมากจึงแอบตามมาสักระยะหนึ่งแล้วและรับรู้ได้เลยว่าความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจนนั้นคือภัยคุกคามที่จ้องที่จะกลืนกินชีวิตคนอย่างแน่นอน
สมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลไม่ได้ดีแต่ก็ไม่ได้แย่ พวกเขามีกฎขององค์กรที่ทุกคนในองค์กรต้องยึดถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่สมาชิกระดับบนลงไปจนถึงระดับล่าง
จากคำว่าเจ็ดนักฆ่านั้น หนึ่งคือฆ่าคนทรยศ สองคือฆ่าเจ้าหน้าที่ทุจริต สามคือฆ่าพวกขายชาติ สี่คือฆ่าพวกเดนมนุษย์ฆาตกร ห้าคือฆ่าพวกคนรวยที่มีอิทธิพลและเลวทราม หกคือฆ่าพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง และเจ็ดคือฆ่าพวกเดนมนุษย์คดีข่มขืน
การที่เย่เชียนปล่อยให้นักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลหนีไปได้นั้นก็เพราะเขาเชื่อว่าสมาชิกขององค์กรจะต้องปฏิบัติตามคำปฏิญาณตน ถึงแม้ว่าเป้าหมายขององค์กรเซเว่นคิลจะไม่ได้อยู่ในคำปฏิญาณตนเสมอไปก็ตาม แต่พวกนั้นก็ไม่เคยฆ่าคนดี เย่เชียนรู้สึกเหมือนว่าพวกนั้นไม่ได้ผิดเพราะตัวของเย่เชียนเองก็ไม่ใช่คนดีเช่นเดียวกัน
มีหลายครั้งที่เย่เชียนต้องการพบผู้นำขององค์กรเซเว่นคิล ว่ากันว่าหลินเฟิงเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญมาก ถึงแม้กระนั้นเย่เชียนก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้พบเขาเลยสักครั้ง
เมื่อเย่เชียนเห็นว่าสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลกำลังวิ่งไปข้างหน้า เย่เชียนจึงตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้ แม้นักฆ่าคนนั้นจะไม่ได้วิ่งเร็วนักแต่เขาก็ไม่ได้วิ่งช้า เย่เชียนจึงรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากเขาตลอดเส้นทางที่ตามมา
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหัวมุมถนนและสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลก็หยุดลง ตรงหน้าของเขาเป็นชายวัยกลางคน เขาคือประธานของบริษัทเทียนหยากรุ๊ปนั่นเอง และไม่ใช่ว่าจ้าวเทียนห่าวไม่ต้องการวิ่งหนี แต่เมื่อเขาเห็นนักฆ่าแล้ว เขารู้ว่าเขาคงจะหนีไม่พ้นเป็นแน่ แทนที่จะหนีหัวซุกหัวซุนไปเรื่อย ๆ สู้ที่จะเผชิญหน้ากับนักฆ่าเลือดเย็นยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็อาจจะมีโอกาสรอดบ้างถึงแม้ว่ามันจะน้อยนิดและริบหรี่มากก็ตาม
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ฉันคงจะหนีไม่พ้น… แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าใครส่งแกมา ?” จ้าวเทียนห่าวถามอย่างกล้าหาญโดยไม่มีน้ำเสียงที่สั่นด้วยความกลัวผสมอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
นักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลไม่ได้พูดอะไรและก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เขายังคงนิ่งเงียบ
“แกจะไม่ยอมให้คนที่กำลังจะตายได้สมปรารถนาในสิ่งสุดท้ายที่ขอเลยเหรอ ?” จ้าวเทียนห่าวถามอย่างเย็นชา
นักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลยังคงเงียบต่อไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดว่า “อดีตหุ้นส่วนของแก… หลัวหยา ไม่ได้ตายเพราะแกใช่ไหม ?”
จ้าวเทียนห่าวจ้องมองไปยังชายผู้ที่สวมหน้ากากด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เนื่องจากมีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ เขาจึงต้องพูด
“แกรู้จักหลัวหยาด้วยงั้นรึ ?! พวกแกมีความสัมพันธ์กันยังไง ?” จ้าวเทียนห่าวถามด้วยความตกอกตกใจผสมกับความอยากรู้
“แกไม่จำเป็นต้องรู้… แกมีหน้าที่ตอบมาก็เท่านั้น! ว่าไง ? มันเป็นเพราะแกใช่ไหม ?!” ชายสวมหน้ากากถามย้ำ
“ใช่…” จ้าวเทียนห่าวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน หลัวหยาก็คงไม่ตาย… คนที่ควรตายคือฉันเอง… ถ้ามันเป็นเพราะเรื่องนี้ งั้นเชิญแกทำงานของแกเถอะ… ฉันจะไม่ขัดขืน…”
เย่เชียนที่อยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดของจ้าวเทียนห่าวชัดเจนและเขาก็ได้แต่ส่ายหัวพลางสบถในใจ ‘เวรเอ๊ย! แม้แต่ในเวลานี้คุณก็ยังจะไม่โกหกไปอีกเรอะ ?’
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็อดชื่นชมในความกล้าหาญของจ้าวเทียนห่าวไม่ได้เมื่อเย่เชียนได้ยินว่านักฆ่าคนนี้กำลังทำภารกิจประเภทใดอยู่ แต่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่พอนักฆ่าพูดถึงชื่อของหลัวหยา มันกลับทำให้เขารู้สึกเศร้าโศกในทันที ในมุมมองของเย่เชียน เขาคิดว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมันคงมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้นแน่นอน เย่เชียนจึงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งว่าหากชายผู้สวมหน้ากากคนนั้นเคลื่อนไหว เขาควรจะเข้าไปช่วยชายวัยกลางคนคนนั้นดีไหม
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่รู้จักจ้าวเทียนห่าวเป็นการส่วนตัว และจ้าวเทียนห่าวก็ไม่รู้จักเย่เชียนเช่นกัน อีกทั้งเย่เชียนก็ไม่รู้ด้วยว่าจ้าวเทียนห่าวนั้นแท้จริงแล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่ แต่เย่เชียนกลับคิดว่าคนที่กล้าหาญเช่นนี้ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของความชั่วร้ายแต่มันก็สามารถให้อภัยได้
นอกจากนี้ ความดีและความชั่วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนิยามว่าสิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนเลว…
“หึ! แกมีความเป็นลูกผู้ชายดีนี่… งั้นฉันสัญญาว่าจะทำให้แกตายอย่างไม่เจ็บปวดทรมานก็แล้วกัน !” พูดจบ ชายผู้สวมหน้ากากก็ดึงมีดออกมาจากซองข้างอกของเขาอย่างช้า ๆ และเดินตรงเข้าไปหาจ้าวเทียนห่าวอย่างเลือดเย็น
จ้าวเทียนห่าวค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ เขามิได้แสดงความหวาดกลัวใด ๆ ออกมาเลย ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มอย่างเปิดเผย
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
“เฮ้ย!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกน จ้าวเทียนห่าวก็ลืมตาขึ้นอย่างตกใจก่อนจะพบว่าข้างหน้าของตัวเขาเองมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ ชายหนุ่มคนนั้นสวมเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัยและมันก็ดูคล้าย ๆ กับเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทเทียนหยากรุ๊ป และจากนั้น เขาก็เห็นชายผู้สวมหน้ากากลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ โดยกำลังเช็ดเลือดออกจากมุมปาก!
ภายในเสี้ยววินาทีที่ชายผู้สวมหน้ากากยืนขึ้น เย่เชียนก็ตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตของจ้าวเทียนห่าวแล้ว มันเป็นเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเทียนห่าวในขณะที่เขาอยู่ที่หน้าประตูแห่งความตายแท้ ๆ ที่ได้ใจเย่เชียนไปเต็ม ๆ
ทันใดนั้น เย่เชียนก็รีบก็พุ่งไปข้างหน้าและง้างหมัดออกไปอย่างรวดเร็วเตรียมกระแทกใบหน้าของชายผู้สวมหน้ากาก เมื่อชายผู้สวมหน้ากากได้ยินเสียงกำปั้นปะทะกับอากาศ เขาก็รีบหลบโดยเอนร่างของตนเองเข้าไปหาเย่เชียนพร้อมกับจ่อมีดไปทางลำคอของเย่เชียน แต่เย่เชียนไหวตัวทัน เขายื่นมือซ้ายออกไปจับข้อมือของชายผู้สวมหน้ากากที่ถือมีดไว้แล้วเตะชายผู้สวมหน้ากากไปสามครั้งไล่ระดับจากข้อเท้า ข้อพับ และเอวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตามด้วยการเสยหมัดที่รุนแรงอย่างยิ่งยวดเข้าไปที่หน้าอกของชายผู้สวมหน้ากากจนทำให้เขากระเด็นออกไปไกลและกระแทกเข้ากับกำแพงของอีกฝั่ง
เมื่อเย่เชียนเห็นว่านักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลยังไม่ตายด้วยหมัดและลูกเตะเมื่อครู่นี้ เย่เชียนจึงตะลึงไปชั่วขณะเพราะโดยปกติแล้ว ทักษะของเขาที่เพิ่งใช้ไปเมื่อครู่ ถ้าใครโดนแล้วไม่ตายในทันทีก็มักจะหมดสติไปชั่วขณะและหัวใจวายตายในไม่กี่วินาทีต่อมาเนื่องจากทนกับพิษความเจ็บปวดทั่วร่างไม่ไหว
ชายผู้สวมหน้ากากยืนขึ้นอย่างช้า ๆ และสำลักเลือดออกมาแต่เขาก็ยังคงสงบนิ่งอย่างเลือดเย็นได้เช่นเดิม…
เย่เชียนเดินเข้าไปหาและปลดกระดุมเสื้อของตนเองออกเล็กน้อยซึ่งเผยให้เห็นรอยสักหัวราชันหมาป่า และเขาก็พูดช้า ๆ ว่า
“ไว้หน้าฉันหน่อย… ปล่อยเรื่องนี้ไปซะ!”
เย่เชียนเผยรอยสักหัวราชันหมาป่าที่แสดงถึงความเป็นจุดสูงสุดในหน่วยเขี้ยวหมาป่าให้ชายผู้สวมหน้ากากเห็น แต่ทว่าชายผู้สวมหน้ากากกลับเห็นมันแค่เลือนราง แม้เขาจะรู้ว่ามันคือสัญลักษณ์หัวหมาป่าแต่เขากลับคิดว่าเย่เชียนคงเป็นแค่คนของกองทัพเพียงเท่านั้น
เมื่อชายผู้สวมหน้ากากเห็นสัญลักษณ์หัวหมาป่าแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตกตะลึงทว่าก็ยังไม่วายพูดออกมาอย่างเย็นชา
“แกก็รู้กฎของพวกเรา… ฉันทำสิ่งที่แกขอไม่ได้… เป้าหมายของเราคือต้องปลิดชีพเท่านั้น!!!”
เย่เชียนขมวดคิ้วขณะที่เขาตอบไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มาเดิมพันกันดีไหม…? หากภายในสามวันนี้ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือเวลาใด ถ้าแกสามารถฆ่าเขาได้ มันก็เท่ากับว่าฉันพ่ายแพ้ แต่ถ้าแกทำไม่ได้ล่ะก็ แกต้องปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปซะ!”